ห้องผู้ป่วย SS-5092 (นางสาวศิรินันท์ วัลพิทักษ์วงศ์ษา)
“อาต้องขอบคุณหลานมากนะที่หาหมอเก่ง ๆ มาช่วยน้อง”
อัฐหรืออัฐธา วัลพิทักษ์วงศ์ษา ประธานบริษัทผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าพูดพร้อมกับมองลูกสาวที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความห่วงใย แต่เขาไม่รู้เลยว่าเสียงพูดของตัวเองทำให้ร่างบางของคนที่กำลังนอนหลับอยู่ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างรำคาญใจ
[ใครมาพูดอะไรตรงนี้เนี่ย รำคาญคนจะนอน]
“ไม่เป็นไรครับคุณอา มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วที่ต้องหาหมอเก่งมาช่วยผู้ป่วย”
[หมอเหรอ...อะไร หมอผีอีกหรือเปล่า อย่าบอกนะว่ายายพาหมอผีมาที่บ้านอีกแล้ว ยายนะยาย...แต่ว่าทำไมเธอถึงไม่มีเสียงพูดออกมาเลยล่ะ แล้วทำไมตาของเธอถึงได้พร่ามัวแบบนี้]
“แค่ก ๆ น้ำ ขอ...น้ำหน่อย” เสียงแหบแห้งของคนที่อยู่บนเตียงทำให้ชายต่างวัยสองคนที่คุยกันอยู่หันไปมอง
“คุณอาอย่าเพิ่งครับ น้องยังดื่มตอนนี้ยังไม่ได้” ชายหนุ่มที่ความรู้ทางการแพทย์มาบ้างรีบห้าม ก่อนจะกดกริ่งเรียกหมอกับพยาบาลเมื่อเห็นว่าคนไข้ฟื้นขึ้นมา
“ซอลเป็นยังไงบ้าง มันเกิดอะไรขึ้นเล่าให้พ่อฟังสิลูก?”
คนที่ถูกเรียกก็ลืมตาขึ้นมองช้า ๆ ตอนนี้ตาของเธอพร่ามัวไปหมดจนไม่เห็นใคร ราวกับว่าไม่ได้ใช้สายตามาเป็นเวลานาน
ซอล...ชายแก่คนนี้ทำไมถึงเรียกเธอว่าซอล?
เธอชื่อรินต่างหากจะเรียกผิดก็เรียกชื่ออื่นไม่ได้เหรอ แล้วมาเรียกตัวเองว่าพ่อกับฉันอีก พ่อของเธอตายไปตั้งแต่ตอนที่อายุได้ 10 ปีแล้ว
“พวกคุณเป็นใคร แล้วทำไมตาฉันถึงมองไม่เห็นอะไรแบบนี้?”
คำถามของคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงทำให้คนที่ยืนฟังอยู่ถึงกับงง รอยส์ลองเลือกที่จะโบกมือไปมาตรงหน้าหญิงสาว แต่เหมือนเธอจะมองไม่เห็นจริง ๆ
“คุณอาเดี๋ยวผมรบกวนออกไปข้างนอกก่อนนะครับ ขอให้หมอตรวจคนไข้สักหน่อย” รอยส์เห็นหมอเดินเข้ามาก็รีบบอกญาติผู้ป่วยทันที
“ฝากน้องด้วยนะรอยส์”
อัฐพูดด้วยความเป็นห่วง หลังจากเห็นอาการแปลก ๆ ของลูกสาว ที่มองมาหาตัวเองอย่างว่างเปล่าราวกับว่าไม่รู้จัก ให้มองแบบแต่ก่อนที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อยังดีซะกว่า
“เอาล่ะครับ เรามาเริ่มตรวจกันเลยดีกว่า คนไข้จำชื่อตัวเองได้หรือเปล่าครับ” หมอเจ้าของคนไข้พยายามที่จะสังเกตความผิดปกติของคนตรงหน้า ส่วนรอยส์ที่ยืนกอดอกมองก็ได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย
[เธอกำลังเล่นละครอะไรอีกหรือเปล่า?]
“ริน…รินดา เวียงผาสุข เกิดวันที่ 8 เมษายน พ.ศ.2542 อายุ 25 ปี หมู่เลือด A อาชีพ นักแสดง พ่อกับแม่ตายตั้งแต่อายุ 10 ปีเลยอยู่กับยายมาตั้งแต่เด็ก แต่ว่าคุณหมอทำไมตาฉันถึงมองเห็นไม่ชัดคะ?”
เพียงแค่ได้ยินสิ่งที่หญิงสาวเล่าก็เป็นอีกครั้งที่รอยส์ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย แต่ก็เงียบจนหมอตรวจอาการดวงตาเธอเสร็จ
“เธอจำฉันได้ไหม ฉันรอยส์ไง?”
“เรารู้จักกันด้วยเหรอ ตั้งแต่โตมาฉันไม่เคยรู้จักคนชื่อนี้”
จู่ ๆ ก็เหมือนมีกระแสไฟดูดที่สมองทำให้คนไข้ที่เพิ่งฟื้นตัวได้ไม่นานถึงกับต้องกุมหัวตัวเองไว้กับความเจ็บปวดที่ได้รับ
“ซอลเป็นยังไงบ้าง?” รอยส์รีบเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง
“ฉันชื่อรินไม่ได้ชื่อซอล คุณอย่ามาเปลี่ยนชื่อของคนอื่นตามใจชอบ แล้วก็รบกวนช่วยติดต่อญาติของฉันให้ที”
รอยส์ไม่ได้พูดอะไรต่อในเรื่องนี้ แต่เขายืนฟังหมอเจ้าของคนไข้ตรวจอาการต่อจนเสร็จ หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินออกจากห้องให้คนไข้พักรักษาตัวต่อ
“คุณพยาบาลช่วยดูแลคนไข้ด้วยนะ เดี๋ยวผมกับคุณหมอจะไปคุยกับญาติคนไข้สักหน่อย”
“ได้ค่ะคุณรอยส์”
รอยส์หันกลับไปมองประตูห้องที่เพิ่งเดินออกมาอีกครั้ง พอเห็นอาการของคนที่อยู่ด้านในห้องเมื่อกี้ก็ถึงกับต้องถอนหายใจยาว
[ความจำเสื่อมเหรอ!?]
แต่ตามผลตรวจไม่ได้รับการกระทบกระเทือนทางด้านสมองและดูเหมือนว่าคนไข้จะจำเรื่องของคนอื่นได้ดีกว่าตัวเองด้วยซ้ำ
ราวกับเป็นเรื่องราวของตัวเอง
“หมอขอสรุปอาการคนไข้นะครับ ตอนนี้ดูเหมือนว่าตาจะได้รับการกระทบกระเทือนเลยทำให้พร่ามัว แต่ไม่ถึงกับตาบอด พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตามการดูแลของหมอผู้เชี่ยวชาญก็จะกลับมามองเห็นเป็นปกติเหมือนเดิม และอีกเรื่องที่อยากจะแจ้งคือ คนไข้กำลังเป็นโรคบุคลิกภาพหรือศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่าโรคฮิสทีเรีย ตอนนี้คนไข้น่าจะอยู่ในสภาวะที่สองคือ Histrionic Personality Disorder หรือเรียกสั้น ๆ ว่า HPD คนที่เป็นโรคนี้ส่วนมากจะเกิดจากสภาวะขาดความรักอย่างมาก อาจเป็นปมฝังใจตั้งแต่วัยเด็ก หรือพบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ผิดหวังมากจนอยากจะเป็นคนอื่นที่มีบุคลิกภาพตามที่ตัวเองเคยวาดฝันไว้ว่าอยากเป็นแบบนั้นสักครั้งครับ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ เพียงแค่ครอบครัวให้ความรักอย่างเพียงพอ คนไข้อาจจะกลับไปเป็นปกติ เหมือนเดิม เรื่องนี้อาจจะต้องมีหมอทางจิตเวชเข้ามาทำการรักษาเพิ่มเติมนะครับ”
หมอวิเคราะห์อาการก่อนจะแจ้งเรื่องให้พ่อของผู้ป่วยทราบถึงเรื่องผิดปกติและอาการของคนป่วยที่ห้องทำงาน
ดูเหมือนว่าโรคของคนไข้ที่หมอกำลังเล่าให้พ่อของเธอฟังเหมือนจะทำให้ท่านกังวลไม่น้อยเลย
“แล้วโรคนี้มันทำให้ลูกสาวผมความจำเสื่อมจนจำผมไม่ได้เหรอครับคุณหมอ?” คนเป็นพ่อถามด้วยอาการร้อนรนใจ
“คือ...ผมต้องขอโทษด้วยนะครับถ้าคำพูดที่ออกมาอาจจะทำให้ญาติคนไข้เสียใจ แต่เรื่องนี้ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะตัวคนไข้เองอยากลืมเรื่องทุกอย่างที่ผ่านมา ไม่อยากจำ ไม่อยากจดจำหรืออยากจะเป็นคนใหม่ไปเลยนะครับ”
“รอยส์! น้องคงจะเกลียดอามากสินะ แต่ก็สมควรแล้ว พ่อที่ไม่ได้ความใครมันจะไปอยากมี”
น้ำเสียงของชายวัยกลางคนบอกถึงความเสียใจและความเหนื่อยล้า นั่นทำให้รอยส์อดที่จะถอนหายใจยาว ๆ ออกมาไม่ได้
แม้ว่าครอบครัวพวกเขาจะสนิทสนมกันพอสมควร แต่ก็ใช่ว่าเขาจะรู้เรื่องในตระกูลวัลพิทักษ์วงศ์ษา เพราะอย่างนั้นคนเป็นหมออย่างเขาคงได้แต่รักษาโรคภายนอก
ส่วนโรคที่เกิดจากปัญหาทางจิตใจคงต้องพึ่งจิตแพทย์และคนในครอบครัวช่วยกันอย่างที่หมอบอกเท่านั้น