ทำไมบอกไม่ฟัง - 5 -

1769 คำ
ทำไมบอกไม่ฟัง - 5 - ฉันไม่ได้ตอบไปตรงๆ แต่เลือกที่จะถามน้ำขิงกลับไป เพื่อดูว่าน้ำขิงจะพูดอะไรต่อ ดีกว่าปล่อยไก่ตัวโตตอบไปว่ามี อีกใจหนึ่งก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรด้วยแหละถ้าน้ำขิงถามว่าเป็นใคร ก็ไม่กล้าพอที่จะบอกหรอกว่า คนคนนั้นคือพี่ภูผาน่ะนะ “เปล่าหรอก ขิงแค่อยากรู้ว่าถ้าเราหลงรักคนที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ตอนจบจะเป็นยังไง จะสมหวังไหมหรือสุดท้าย..เราก็ต้องเจ็บอยู่ดี” น้ำขิงพูดไปพลางอมยิ้มไป แต่ช่างปล่อยรอยยิ้มที่ดูเศร้ามาก ดูก็รู้ว่าน้ำขิงคงจะแอบชอบใครเข้าแล้วสักคน แล้วการชอบใครสักคนทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้คงจะเศร้าน่าดูจริง ๆ เพราะฉันก็เริ่มรู้สึกแบบนั้นเข้าแล้ว “ฮั่นแน่ น้ำขิงของเรามีคนที่ชอบซะแล้ว…ขิงฟังหยีนะ ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ได้ลอง เรายังไม่แม้แต่ที่จะบอกเขา หรือทำให้เขาเห็นเลยด้วยซ้ำ หยีเชื่อเสมอว่าคำตอบนั้นมีแค่สองทาง มันจะมีก็แค่ได้รักกัน หรือ เรารักเขาข้างเดียวก็เท่านั้น” “เห้อ…ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าไม่คุยเรื่องนี้แล้วดีกว่า นี่เพราะขิงเห็นว่าหยีเป็นเพื่อนนะถึงได้ถาม หยีคงไม่รำคาญขิงใช่มั้ย” “ไม่เลย ๆ หยีดีใจนะที่ขิงไว้ใจหยี แล้วมาปรึกษาหยีอะ โอ๋ ๆ มากอดกัน ๆ” ฉันโอบกอดเพื่อนคนนี้เอาไว้อย่างแน่นเพื่อเป็นกำลังใจให้เธอ และส่วนลึกของจิตใจก็มีบ้างที่ฉันปล่อยให้เธอกอดฉันเพื่อปลอบประโลมจิตใจของฉันด้วย เราทั้งคู่ยืนกอดกันไม่นานนักก็มีหิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมาช้า ๆ แต่ก็พอให้สัมผัสได้ถึงความเย็น เราทั้งคู่หันออกไปด้านนอกพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ก่อนหันมามองหน้ากัน แล้วก็ได้แต่หัวเราะกันอย่างไม่มีเหตุผล มันรู้สึกทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ ราวกับพวกเราก็ถูกโอบกอดไปด้วยละอองหิมะที่บางเบา ฉันกับน้ำขิงกางมือออกไปสัมผัส รู้สึกเย็นและละลายไปกับมือ ทำให้รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะเป็นการโปรยของหิมะที่บางเบาไม่หนักมาก แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขแบบบอกไม่ถูก ฉันกับน้ำขิงยืนตื่นเต้นตากละอองหิมะกันพักใหญ่ ๆ ก็ถูกดึงความสนใจด้วยเสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือที่ถูกวางทิ้งไว้บนที่นอนทันที “ได้เวลานัดที่พี่ปันหยาบอกแล้ว เราไปเตรียมตัวกันเถอะ ไม่รู้พี่ๆ จะพาพวกเราไปไหน ตื่นเต้น ๆ” ฉันได้แต่พยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเดินเข้าห้องแล้วแยกย้ายกันไปแต่งตัว ดีนะพกเสื้อมาหนาพอสมควร แต่ก็ยังไม่พอที่ทำให้หายหนาวได้มากนัก ไว้ถ้าผ่านร้านเสื้อผ้าค่อยแวะไปซื้อเพิ่มละกัน ฉันว่าฉันดูพยากรณ์อากาศดีแล้วนะแต่ก็ไม่คิดว่าสถานที่จริงจะหนาวขนาดนี้ ผิดคาดไปนิดหน่อย ทุกคนลงมารวมตัวกันที่ล็อบบี้ตามเวลาที่นัดไว้ ฉันเห็นพี่ปันหยายืนเปิดแผนที่ซึ่งมีพี่ภูกับพี่มาวินก็ยืนดูแผนที่กันอยู่ที่ล็อบบี้ด้วย “มากันแล้วเหรอ...หิวกันหรือยัง ช่วยเลือกหน่อยสิ ไปร้านไหนกันดี” พี่ปันหยาหันมาถามพวกเราทันทีที่เดินมารวมกลุ่มกัน “ยาหยี มีร้านแนะนำไหม” จู่ ๆ พี่ภูก็หันมาถามฉัน ถ้าฉันเสนอไปพี่ ๆ จะไปไหมนะ “หยีเคยอ่านตามเว็บแนะนำร้านอาหารเราลองไปร้านแถว ๆ โซลทาวเวอร์ไหมคะ มีอาหารหลากหลาย เห็นว่าเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวชอบไปมากด้วยนะคะ” “น่าสนนะ ไหน ๆ ก็เลือกไม่ถูกแล้วว่าจะไปที่ไหน ก็ไปร้านที่ยาหยีแนะนำแล้วกัน เราก็หาที่ตั้งเลยว่าอยู่ตรงไหน จากนี่ไปโซลทาวเวอร์ไกลไหมปันหยา” ฉันรู้สึกดีใจมากเลย ฉันเคยวางแผนไว้ว่าถ้ามาที่เกาหลี ฉันจะไปตามสถานที่ ที่ผู้คนรีวิวให้ครบเลย ถึงจะไม่ได้มาแบบส่วนตัวแต่อย่างน้อยฉันก็ได้ไปร้านอาหารที่อยากไปแล้วหนึ่งที่ละนะ “พี่ ๆ จะไปโซลทาวเวอร์ด้วยไหมคะ” สถานที่ที่สองที่ฉันอยากไป ‘โซลทาวเวอร์’ ถึงจะไม่ได้มาแขวนกุญแจกับคู่รักเหมือนคนอื่นก็เถอะ แต่ฉันก็อยากขึ้นไปแขวนสักครั้งกับน้ำขิงก็ไม่เลว แต่คิดเล่น ๆ แล้วถ้าได้แขวนกับพี่ภูก็คงจะดีมากนะ งื้อ! นี่ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ย พอพูดถึงพี่ภูฉันก็อดหันไปมองพี่เขาไม่ได้ ก็เห็นพี่ภูกำลังมองฉันอยู่เช่นกัน อยู่ ๆ ก็รู้สึกเลือดลมสูบฉีดแบบบอกไม่ถูก ฉันคงไม่ได้หน้าแดงให้พี่เขาเห็นหรอกใช่ไหม อยู่ ๆ พี่ภูก็เดินมาหาฉันซึ่งมีสายตาของทุกคนหันมามองฉันด้วย มันยิ่งทำให้ฉันทำตัวไม่ถูก แล้วนี่พี่ภูจะเดินมาหาฉันทำไม ฉันแค่ถามเองนะว่าจะไปโซลทาวเวอร์ด้วยไหม เพราะมันคือสถานที่ที่ควรไปมากจริง ๆ พี่ภูเดินมาหยุดตรงหน้าฉัน ยืนนิ่ง ๆ มองหน้าฉัน ซึ่งฉันเองก็ได้แต่ยืนตาค้างมองหน้าพี่ภู ฝ่ามือหนาของพี่ภูก็เอื้อมมาอังที่หน้าผากของฉัน วินาทีที่มือพี่ภูแตะโดนที่หน้าผาก ฉันรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อต มันร้อนวูบวาบราวกับจะเป็นลม แต่ก็รู้สึกดีแบบบอกไม่ถูก “ตัวก็ไม่ร้อนนี่ ทำไมเราหน้าแดงขนาดนี้ละยาหยี รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” เอะ! หน้าแดง? แอ๊!! ไม่ใช่ว่าฉันเขินพี่ภูจนหน้าแดงขนาดให้คนอื่นจับได้หรอกนะ "ไม่นะ ๆ หยีไม่ได้เป็นไรเลยค่ะ” ฉันได้แต่รีบปฏิเสธทันควัน รู้สึกเขินก็ด้วย รู้สึกอายก็ด้วย และขณะนั้นก็ได้ยินเสียงคนอื่นหัวเราเบา ๆ นี่ฉันคงไม่ได้ทำอะไรให้ทุกคนตลกหรอกใช่ไหม แง่! “ต้องไปอยู่แล้ว หยีอยากขึ้นไปห้อยกุญแจเหรอ อิอิ” พี่ปันหยาพูดกับฉัน พลางหัวเราะเบา ๆ ยิ่งดู พี่ปันหยายิ่งน่ารักมาก ๆ ดูเหมาะสมกับพี่ภูมากจริง ๆ นั่นแหละ พอคิดถึงตรงนี้ฉันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจแบบบอกไม่ถูก “งั้นเดี๋ยวตอนนี้เราไปทานอาหารก่อน ทานเสร็จค่อยขึ้นไปโซลทาวเวอร์กัน แต่ตอนนี้หิมะกำลังตกด้วยอาจจะต้องรีบขึ้นรีบลงกันหน่อยนะ หยากลัวเรื่องสุขภาพของทุกคน” “เดี๋ยวนะคะทุกคน ตาลขอเสนอพวกเราถ่ายรูปหมู่ที่นี่กันหน่อยไหม ตาลอยากเก็บไว้เป็นที่ระทึกตึกตักในหัวกะใจสักหน่อย” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ฉันก็รู้สึกดีมาก ๆ เลยที่เป็นแบบนี้ ฉันจะมีรูปที่ถ่ายกับพี่ภูเป็นรูปแรกด้วยต้องดีใจใช่ไหมล่ะ พี่น้ำตาลเดินไปขอให้พนักงานที่ล็อบบี้มาทำการถ่ายรูปให้ พวกเราเดินไปที่สถานที่ที่โรงแรมจัดไว้เพื่อบริการให้ลูกค้าได้ถ่ายรูปสวย ๆ ไว้เป็นที่ระลึก พี่ที่ล็อบบี้จัดการจัดแต่งตำแหน่งการยืนของพวกเราเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงาม พี่ปันหยากับพี่น้ำตาลนั่งที่โซฟาสีแดง ฉันกับน้ำขิงยืนอยู่ข้างโซฟาคนละฝั่ง ด้านซ้ายคือฉันและข้าง ๆ ฉันคือพี่ภู!! ใช่แล้วได้ยินไม่ผิด พี่ภูยืนอยู่ข้าง ๆ ฉัน ส่วนน้ำขิงกับพี่วินยืนฝั่งด้านขวา ฉันรู้สึกว่าทริปนี้คงเป็นทริปที่ฉันมีความสุขมากแน่ ๆ เพราะทุกอย่างดูช่างเป็นใจกับฉันมาก ๆ ทุกคนยิ้มพร้อมกันทันทีเมื่อเห็นว่าพี่พนักงานที่ล็อบบี้เตรียมพร้อมถ่ายรูปหลังจากจัดตำแหน่งที่ทางให้พวกเราเรียบร้อย “อิล...อี…ซัม..!!” แชะ!! ฉันมีความสุขมากที่ได้ถ่ายรูปกับพี่ภูเป็นครั้งแรก ถึงแม้จะไม่ใช่รูปคู่แต่ฉันจะเก็บรักษาอย่างดีเลยเชียว กลับไปต้องเอาไปอัดกรอบซะแล้วแหละ หลังจากที่พวกเราถ่ายรูปกันเรียบร้อยแล้ว พนักงานที่ล็อบบี้ได้แจ้งว่าจะนำรูปไปล้างมาให้ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งนี่ก็อยู่ในหนึ่งโปรแกรมของทางโรงแรมที่จัดไว้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเช่นกัน เราเดินทางมายังร้านอาหารที่เลือกไว้ก่อนหน้า ซึ่งเป็นร้านชาบูหม้อไฟเล็ก ๆ แต่แน่นไปด้วยลูกค้าทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก รอเพียงไม่นาน พนักงานก็เดินมาเชิญให้ไปนั่งโต๊ะที่เพิ่งว่างจากลูกค้าเมื่อสักครู่ “หิมะตกหนักมากเรื่อย ๆ จนแทบมองไม่เห็นแล้ว พี่ว่าเราค่อยมาวันหลังกันไหม?” พี่ปันหยาถามขึ้นหลังจากที่พวกเราทานอาหารกันอิ่มหมีพีมัน และออกมายืนมองสภาพอากาศด้านนอก ซึ่งก็เห็นว่าหิมะตกหนักขึ้นมากจริง ๆ และฉันก็รู้สึกว่าถ้าหากพวกเรายังดื้อดึงที่จะเดินฝ่าขึ้นไปอาจจะเป็นหวัดได้จริง ๆ นั่นแหละ “เห็นด้วยนะ ไว้เรามาวันพรุ่งนี้ละกัน” พี่ภูก็เห็นด้วยสินะ วันนี้คงต้องกลับก่อนพรุ่งนี้ค่อยมาแล้วกัน..แต่ว่า แล้วถ้าพรุ่งนี้ หิมะยังตกไม่หยุดล่ะ? แต่เนื่องจากวันนี้ทุกคนก็เหนื่อยกันมามากพอแล้ว จึงลงมติเป็นกันว่าวันนี้จะกลับที่พักก่อนเนื่องจากสภาพอากาศค่อนข้างไม่เป็นใจ เมื่อพวกเรากลับมาถึงโรงแรมในไม่ช้าทุกคนต่างก็แยกย้ายกันเข้าไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง “เสียใจจังเลย วันนี้อดไปแขวนกุญแจเลยอะขิง” “งั้นพวกเราไปกันเองไหม?”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม