ตอนที่ 6 ไอ้สารเลว

1578 คำ
“คุณขุนพล...” ภาพของขุนพลปรากฏบนหน้าข่าวที่ถูกแชร์ในหน้าเฟซบุ๊ก สารีบกดเข้าไปยังลิงก์เพื่ออ่านเนื้อข่าวด้วยความอยากรู้ ทายาทรัฐมนตรี ‘ขุนพล’ อายุยี่สิบห้าปี ขับรถซุปเปอร์คาร์เฟอรารี่มาด้วยความเร็ว ชนนายนพดล อาสาสมัครกู้ภัย ขณะกำลังขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านพัก หลังจากปฏิบัติหน้าที่นำตัวผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล ก่อนจะลากร่างนายนพดลไปไกลกว่าสามร้อยเมตรจนเสียชีวิต และหลบหนีไปที่บ้านพักของตนเอง ตำรวจแกะรอยตามคราบน้ำมัน ไปจนเจอว่ารถหรูคันที่ขับชนนายนพดล ขับเข้าไปในคฤหาสน์เนื้อที่กว่าสองไร่ บ้านของ ‘รัฐมนตรีขจรเดช’ เมื่อตำรวจได้หมายค้นเข้าตรวจสอบพบรถเฟอร์รารี่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มีร่องรอยการชนยับเยิน กระจกหน้ารถแตกเป็นวงกว้าง ถุงลมนิรภัยกางออก และบัตรประจำตัวอาสาสมัครกู้ภัยของนายนพดลยังติดคากระจกรถหรู นายขุนพลยอมมอบตัว พร้อมรับสารภาพว่าเป็นคนขับเฟอร์รารี่ชนนายนพดล แต่ไม่มีเจตนาหลบหนี เพียงแค่ตกใจจึงขับรถกลับบ้านไปตั้งหลัก แม้ผลตรวจร่างกายจะพบแอลกอฮอล์ แต่เจ้าตัวก็อ้างว่าดื่มหลังจากประสบอุบัติเหตุแล้วเพราะเครียด หลังสอบปากคำ ทนายความได้ประกันตัวนายขุนพลออกไปด้วยเงินสดห้าแสนบาท ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก เมื่อนายขุนพลไม่พอใจนักเที่ยวคนหนึ่งที่เดินชนกันในผับ จนมีปากเสียงหน้าผับ สุดท้ายควักปืนในรถออกมายิงดับ ก่อนหลบหนี ในเวลาต่อมา ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองระบุว่า นายขุนพลได้เดินทางออกจากประเทศ โดยเบื้องต้นปลายทางในการเดินทางคือประเทศมาเลเซีย แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าจะเดินทางไปยังประเทศอะไรต่อไปหรือไม่ “คงไม่หรอก” แวบเดียวของความคิด สากลัวว่าขุนพลจะมาอเมริกา แต่ก็พยายามคิดเข้าข้างตัวเอง โลกนี้มีตั้งหลายประเทศ เขาคงไม่หนีคดีมาอเมริกาหรอก ชีวิตอันปกติสุขของสาในนิวยอร์กยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะเดินกลับหอพักหลังจากทำงานพิเศษที่ร้านอาหารเหมือนทุกวัน ขุนพลก็ปรากฎตัว และความเลวร้ายก็หวนกลับเข้ามาในชีวิตของเธออีกครั้ง แต่ก็ไม่กล้าปริปากบอกใคร เพราะเกรงกลัวในอิทธิพลของรัฐมนตรีขจรเดช “สา” “...” “สา” เสียงเรียกที่ดังขึ้นเมื่อเพื่อนยังคงเหม่อลอย มือที่จับผ้าขี้ริ้วก็ถูวนโต๊ะอยู่ที่เดิม “...” ปลีกับปลังหันมองหน้ากัน หลายวันมานี้รู้สึกถึงความผิดปกติ สาเหมือนมีเรื่องอะไรในใจ ไม่ร่าเริงเหมือนที่ผ่านมา “สา” คราวนี้ปลียื่นมือไปจับไหล่สา เธอสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ “ปะ...ปลี ปลัง มีอะไรเหรอ” “พวกเราต้องถามสามากกว่าว่าเป็นอะไร” “มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า” “เครียดเรื่องสอบน่ะ” สาบอกไปอย่างนั้น เพราะไม่อยากเอาปัญหาของตัวเองไปรบกวนเพื่อน ที่ผ่านมาปลีกับปลังก็ช่วยเหลือเธอไว้มากพอแล้ว “นี่สินะความเครียดของคนเรียนเก่ง” ปลีดึงเก้าอี้มานั่งคร่อม โดยหันหน้าเข้าพนักพิง ปัญหาของสาไม่ใช่เรื่องน่าเครียดสำหรับตนเลยสักนิด “แล้วปลีกับปลังไม่เครียดหรือไง” “ไม่อ่ะ เรื่องเดียวที่เครียดตอนนี้คือสอบเสร็จแล้วจะไปเที่ยวไหนดี” นั่นคือเรื่องเครียดของปลังในเวลานี้ “เดินป่า แคมป์ปิ้ง ที่แคลิฟอร์เนียดีไหม” ปลีเสนอไอเดีย “คิดว่าสาจะไหวไหม” สำหรับปลังไม่ใช่ปัญหา แต่กับผู้หญิงอ้อนแอ้นแบบสาน่าจะสมบุกสมบันเกินไป “งั้นให้สาเลือก สาอยากไปเที่ยวไหน” “ปลีกับปลังไปกันเถอะ สาต้องทำงาน” “นี่ใคร” ปลีชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “ก็ปลีไง” “ใช่ นี่ปลี นี่ปลัง เราสองคนเป็นหุ้นส่วนร้าน แล้วสาก็เป็นเพื่อนเราสองคน อภิสิทธิ์เหนือคนอื่นอยู่แล้ว” “ไม่ได้ผลหรอก ปลังจ้างให้สาไปเที่ยวกับพวกเรา สองเท่า” คำพูดของปลีไม่มีทางได้ผล ปลังจึงยื่นข้อเสนอที่สาไม่อาจปฏิเสธ คือค่าจ้างสองเท่า “ใช้วิธีนี้อีกแล้วนะ” สาหน้างอเง้า ไม่ได้โกรธที่ปลังทำเหมือนใช้เงินฟาดหัว เธอรู้ว่าเพื่อนทั้งสองคนหวังดีกับเธอด้วยใจจริง แต่ก็นั่นแหละ เงินคือจุดอ่อนของเธอ “คนขี้งกแบบสาก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ” “ตกลงนะ” “สามเท่าได้ไหม” “โอเคเลย” ปลีกับปลังไม่มีปัญหา กี่เท่าก็ยอมจ่าย ขอแค่ให้สายอมไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ไม่ใช่เป็นนางก้นครัวทำแต่งาน “สาล้อเล่น” “ไม่รู้แหละ ดิวแล้ว สอบเสร็จไปเลย” สามเพื่อนซี้ตกลงกันดิบดี แต่เมื่อถึงวันเดินทางสาก็บอกว่าไปเที่ยวด้วยไม่ได้แล้วเพราะป่วย “ปลีกับปลังไปเที่ยวให้สนุกเถอะ สาไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ ก็แค่ปวดท้องประจำเดือน ถ่ายรูปสวยๆ มาฝากสาด้วยนะ” นั่นคือข้ออ้างที่สาบอกปลีกับปลัง แต่ในความเป็นจริงแล้วขุนพลไม่ยอมให้เธอไป แต่เมื่อเธอยืนกรานว่าจะไปเขาก็ปลุกปล้ำ ความรุนแรงที่ได้รับและยาวนานทำให้เธอระบมไปทั้งตัวจนจับไข้ สองเดือนต่อมาสาก็รู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเอง เธอรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน ได้กลิ่นเหม็นจากสิ่งที่ปกติไม่รู้สึกเหม็น หรือรู้สึกหอมมากกับบางสิ่ง รู้สึกร่างกายเมื่อยล้า นอนเท่าไรก็ไม่หายง่วงนอน และประจำเดือนไม่มา แท่งสีขาวสำหรับใช้ตรวจการตั้งครรภ์วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าที่เคร่งเครียดกับผลตรวจที่แสดงให้เห็น “มันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง สาบอกปลังกับปลีได้ไหม” “หรือว่าสามีแฟน แต่พวกเราไม่รู้” เป็นเพื่อนกันมาสองปีกว่า ปลีกับปลังไม่เคยเห็นสาสุงสิงกับใครนอกจากพวกตน “เขาไม่ใช่แฟนสา เขาเป็นลูกของผู้มีพระคุณ” “เล่าให้เราสองคนฟังได้ไหม” สาเล่าเรื่องราวชีวิตอันรันทดของตัวเองให้ปลีกับปลังฟัง และสิ่งที่ขุนพลกระทำได้นำความโกรธแค้นมาสู่ทั้งคู่ “ไอ้เลว” “ไอ้ชั่ว” “สารักมันหรือเปล่า” ก่อนจะทำอะไร ปลีอยากแน่ใจว่าสารู้สึกยังไงกับไอ้สารเลวนั่น “สาไม่ได้รัก ไม่มีวันที่สาจะรักเขา แต่สา...สาอยากหนีเขาไปให้ไกล แต่สาก็หนีเขาไม่พ้น” สาปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย เธอรู้แค่ว่าอยากปลดปล่อยความอัดอั้นที่ล้นอกออกมา “ทำไมสาไม่บอกพวกเรา ปล่อยให้มันรังแกอยู่ได้ยังไง” “ครอบครัวของเขามีอิทธิพลมาก สากลัวจะทำให้ปลีกับปลังเดือดร้อน” “ใหญ่แค่ไหนพวกเราก็ไม่กลัวหรอก” “แล้วสาจะจัดการเรื่องนี้ยังไงต่อไป” คำถามของปลัง และสายตารอฟังคำตอบของปลีทำให้สาคิดหนัก เพราะตัวเธอก็ยังไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องนี้ต่อไปยังไง “คุณขุนพล” สานั่งอยู่บนเตียงในหอพักของเธอ ประตูห้องเปิดกว้างในเวลาเดิมของทุกวันตั้งแต่ขุนพลมาที่นี่ มาเพื่อระบายความใคร่กับเธอเท่านั้น “ทำเหมือนกับรอฉันอยู่อย่างนั้น” ขุนพลแสยะยิ้ม เดินเข้าไปพร้อมกับถอดเสื้อแจ็คเก็ตออก แล้วโยนไปบนเก้าอี้ “ค่ะ” “ทำไม จู่ๆ ก็เกิดคิดถึงฉันขึ้นมาหรือไง หรือว่าเกิดติดใจ” “สามีเรื่องจะบอกคุณขุนพลค่ะ” “เรื่องอะไร” “สา...สาท้องค่ะ” สารวบรวมความกล้าแล้วพูดออกไป “เธอท้อง?” “ค่ะ” “แล้วเธอจะมาบอกฉันทำไม” “สาท้องกับคุณ” “มันเป็นความผิดของฉันงั้นเหรอ” “แต่คุณ...” “มันเป็นเพราะเธอเองที่ไม่ป้องกัน ทำไมไม่กินยาคุม” “คุณ...” “แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว งั้นฉันจะบอกวิธีแก้ให้แล้วกัน ไปเอาออก” สาไม่คิดว่าขุนพลจะไม่หลงเหลือความเป็นคนถึงเพียงนี้ “ทำไมคุณถึงได้เลวแบบนี้ นี่ลูกคุณนะ” “เธอคิดว่าเธอเป็นใคร คิดว่าน้ำหน้าอย่างเธอฉันจะเอามาเป็นแม่ของลูกฉันงั้นเหรอ อย่างเธอ ฉันก็แค่เอาแก้เ****นเท่านั้น จำใส่กะโหลกของเธอไว้อลิสา และถือว่าเอาบุญ ฉันช่วยเอามันออกให้เอง ส่วนเธอทนให้ได้ก็แล้วกัน อย่าตายไปซะก่อน” ขุนพลใช้นิ้วชี้จิ้มย้ำๆ หน้าผากของสา ก่อนจะจิ้มลงไปแรงๆ จนเธอหน้าหงาย ร่างสูงจัดการปลดเข็มขัดกางเกง จะทำอย่างปากว่า “ทนไม่ไหวแล้วโว้ย” ปลีไม่สามารถทนฟังหรือทนดูได้อีกต่อไป ออกมาจากห้องน้ำที่ใช้ซ่อนตัวกับปลัง เพราะไม่ไว้ใจ กลัวว่าสาจะถูกไอ้สารเลวทำร้าย “พวกมึงเป็นใครวะ” ขุนพลตกใจที่มีผู้ชายสองคนอยู่ในห้องของสา “พ่อมึงมั้ง” พูดจบปลีก็กระโดดถีบเต็มแรง พลั่ก! “มึง...” ร่างของขุนพลกระแทกกับกำแพง ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บ และจุกจนพูดไม่ออก “อย่ามาชี้หน้า กูไม่ชอบ” ปลีตวัดเท้าเตะปลายคางคนที่ชี้ตัวเองไปอีกครั้ง จนขุนพลสลบเหมือด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม