เพราะความซื่อบื้อของฉันเองที่ทำให้ตัวเองนอนเบื่ออยู่แบบนี้ ยังดีที่เช้าวันนี้ขาไม่บวมเพิ่มขึ้นแต่เดินแล้วยังเจ็บนิดหน่อย ฉันนั่งดูเท้าตัวเองคิดว่าน่าจะไปทำงานอย่างอื่นได้บ้าง เลยตัดสินใจโทรหาพี่นนท์ว่าพอมีอะไรที่ออฟฟิศให้ทำไหม อาจจะเป็นงานที่ไม่ต้องเดินเยอะเช่นพวกงานเอกสารถ้ามีเดี๋ยวจะได้ลงไปเลย เสียงเคาะประตูดังขึ้นฉันตะโกนถามออกไปว่าใครตามคำสั่งของนายหัวเมื่อวาน และก็เป็นเขามาเช้าขนาดนี้ไม่รู้มีเรื่องอะไร พอฉันเปิดประตูร่างสูงวันนี้ก็ร่างเดิมกางเกงยีน เสื้อกล้าม เสื้อเชิ้ตสวมทับ ทุกอย่างไม่ต่างจากวันแรกที่ฉันเจอแต่ที่แปลกไปคือความรู้สึกของฉันสินะ เหมือนฉันจะไม่ค่อยอยากพูดกับเขาและก็ไม่กล้ามองหน้าเขาตรง ๆ เหมือน 2 วันที่ผ่านมา
"ทำไมเงียบ"
"จะให้พูดอะไรล่ะคะ"
"เจอฉันหัดยกมือไหว้บ้าง...ฉันแก่กว่าเธอนะ"
"แค่1-2ปีเองทำเป็นบ่น"
"10"
"คะ"
"10 ปี...."
"ห๊ะ...นายหัวแก่ขนาดนั้นเลยหรือค่ะ"
"เอ่อ"
ดูเอาเถอะครับเธอไม่คิดจะหาข้อมูลเจ้านายตัวเองสักนิดน่าจะรู้อย่างเดียวคือชื่อผม แถมความเฉลียวเป็นศูนย์จะไม่ให้เรียกยัยซื่อบื้อจะให้เรียกว่าอะไรครับ แต่ผมก็โกรธยัยนี่ไม่ลงสักทีแค่หงุดหงิดเวลาเธอไม่รู้เรื่องอะไรเลยมากกว่า ขนาดบอกแก่กว่ายังจะถามอีกว่าผมแก่กว่าหรอ ผมได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะยื่นปิ่นโตให้กับยาที่ให้คนไปซื้อมาเพิ่มเมื่อเช้า
"โอ๊ะ...หนูขอโทษค่ะตกใจไปหน่อย"
"ตกลงจะหนูหรือจะฉัน"
"อ๋อ ๆ ฉันดีกว่าค่ะนายหัว"
"หลีกสิฉันหิวแล้ว"
เขาทำเหมือนเมื่อวานเย็นวางถุงโจ๊กลงแกะเทใส่จานที่พกมาด้วย เพราะในห้องฉันไม่ได้มีของพวกนี้มีแค่แก้วกาแฟ 1 ใบ แก้วน้ำ 1 ใบกับกระติกน้ำร้อนขนาดเล็กเท่านั้น ฉันเลือกที่จะเปิดประตูห้องไว้เพราะตอนนี้เช้าแล้วไม่มียุง อีกอย่างคงดูไม่ดีถ้ามีคนรู้ว่าเขามาอยู่ที่นี่แถมยังปิดประตูอีก ฉันเดินไปนั่งรอเขาเททุกอย่างจนเสร็จมือหนาเลื่อนชามมาที่หน้าฉัน แล้วก็พยักหน้าเป็นคำสั่งว่าให้ฉันกินมันซะ
"ขอบคุณนะคะ"
"กลางวันจะให้เจ้า 2 คนเมื่อวานเอาข้าวมาให้"
"ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวฉันจะลงไปช่วยพี่นนท์ที่ออฟฟิศ"
"ช่วยอะไร"
"ยังไม่รู้ค่ะอยู่แต่ในห้องมันเบื่อ"
เขาไม่ได้ว่าอะไรก้มตักโจ๊กกินจนหมด ทำให้ฉันต้องรีบตักกินให้ทันเขา ฉันเองทำไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้มันเป็นปฏิกิริยาการเอาตัวรอดแบบอัตโนมัติ ไม่งั้นอาจจะโดนว่าอีกว่ากินช้า ครั้งนี้ฉันรอดฉันทำสำเร็จฉันเลยรีบเก็บจานแต่ก็ไม่รู้จะเอาไปล้างที่ไหน แล้วเขาก็ดึงออกจากมือฉันไปเดินนำออกจากห้องลงไปด้านล่าง ฉันก็ลากสังขารอันไม่สมประกอบตามอย่างเร็วแต่ก็ไม่ลืมหยิบกระเป๋าที่มีกุญแจห้องกับมือถือไปด้วย เขาเดินอ้อมไปด้านหลังของบ้านตรงนั้นมีที่ล้างจานกับที่คว่ำจานอยู่ เหมือนเป็นความส่วนกลางเพื่อเวลามีลูกค้ามาพักจะได้ไว้ใช้ล้างของได้บ้าง
"นายหัว...เดี๋ยวฉันล้างเอง"
"..."
"นะคะ"
"ตามใจ"
เขายืนสูบบุหรี่เอาตัวพิงต้นไม้ใหญ่อยู่ไม่ไกลระหว่างรอฉัน เรื่องงานบ้านแม้แต่ทำอาหารฉันถือว่าทำได้ดีทุกอย่างเพราะโตมากับปู่ย่า สกิลเรื่องพวกนี้ถือว่าดีมาก แถมฉันยังทำขนมไทยเก่งอีกหลายอย่างเหมือนชื่อเล่นของฉัน "บุหลัน" มาจากขนมบุหลันดั้นเมฆ หรือ แปลอีกอย่างว่าพระจันทร์ ก็คล้องกับชื่อจริง จันทร์ญาดา แต่เพราะมันเรียกยากฉันเลยให้คนอื่นเรียกว่าดาเฉย ๆ ง่ายกว่า มีแค่ปู่ย่ากับเพื่อนสนิท 2-3 คนที่จะเรียกชื่อเล่นจริง ๆ ของฉัน ฉันโตที่จันทบุรีกับปู่ย่าแต่เพราะพวกท่านอยากให้ฉันได้เรียนดี ๆ ก็เลยส่งฉันเข้าโรงเรียนประจำที่กรุงเทพแต่เด็ก ๆ ท่านจะขับรถมาส่งวันอาทิตย์และมารับเย็นวันศุกร์ จนถึงช่วงม.ปลายที่ฉันจะนั่งรถกลับเอง พอเข้ามหาลัยท่านก็ซื้อรถให้ฉันไว้ขับไปขับกลับ เรียกว่าชีวิตฉันก็สุดแสนจะมีความสุขไม่ได้ลำบากอะไร แต่มาที่นี่มันไกลมากฉันเลยไม่เอารถมาขับกลับไปไว้ที่บ้านแล้วถึงค่อยมาที่ไร่นี้
"ล้างเป็นไหมเนี้ยะ...ช้าจัง"
"เสร็จแล้วค่ะ...นายหัวใจร้อนจัง"
"ฮึ"
"หัวเราะทำไมคะ"
.
.
"อยู่นี่เองพี่ว่าจะเรียกอยู่พอดีว่าเราเป็นยังไงบ้าง"
"สวัสดีค่ะพี่นนท์...ดีขึ้นแล้วก็ว่าจะไปของานพี่นนท์ทำอยู่ในห้องมันเบื่อ"
"ได้สิมาช่วยพี่จัดการออเดอร์แล้วกัน"
"กูเหมือนอากาศธาตุสินะ"
"ฮา ๆ นายหัวครับพูดอะไรแบบนั้นใครจะกล้า"
"มีแล้วกัน"
"กูเข้าออฟฟิศด้วย"
"ไม่เตรียมตัวไปเกาะหรือไง"
"บ่ายก็ทัน"
"ครับ ๆ นาย"
"กูถีบมึงได้กูทำไปแล้วไอ้นนท์"
ฉันไม่กล้าพูดอะไรออกระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกัน แต่พอจะเดินตามพี่นนท์ออกไปทางออฟฟิศไม่รู้อะไรดลจิตดลใจให้หันไปมองนายหัวอีกรอบ สายตาฉันดันไปสบตาเขาพอดีแล้วเขาก็ดันไม่หลบตาฉันด้วย เป็นฉันที่รีบหุบสายตามองลงพื้นทันทีก็จะออกตัวเดินตามพี่นนท์ไปติด ๆ แม้จะรู้สึกเจ็บเท้าแต่ในหัวมันสั่งว่าห้ามเดินช้าเด็ดขาด