บรรยากาศอึมครึมและอึดอัดแผ่ฟุ้งอยู่ภายในบ้านอย่างต่อเนื่อง ช่วงหัวค่ำสิรินดาไม่ได้ลงมากินข้าวพร้อมหน้า กระทั่งถึงตอนนอนก็ยังคงไม่พูดคุยอะไรกัน หญิงสาวนอนหันหลังเงียบๆ สุดท้ายกลายเป็นดลวัฒน์ที่หงุดหงิดจนต้องลุกขึ้นไปนอนอีกห้อง
ในเวลาตีห้าเศษๆ ดลวัฒน์ก็ขยับตัวลุกจากเตียงนอน โดยไม่จำเป็นต้องมีนาฬิกาปลุก เขาชินเสียแล้วกับการตื่นช่วงเวลานี้ หากไม่ติดเคสด่วนเขามักจะตื่นไปวิ่งออกกำลังกายหรือไม่ก็เข้าฟิตเนสของหมู่บ้านเป็นประจำ
ร่างสูงเดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่แล้วพบว่าสิรินดายังคงหลับอยู่ เขาเดินหายเข้าไปในห้องน้ำประมาณสิบห้านาทีก่อนจะออกมาอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นสำหรับวิ่งออกกำลังกาย ตามด้วยสวมสมาร์ตวอตช์สุดล้ำ แล้วอดไม่ได้ที่จะปรายตาไปมองคนดื้อบนเตียง ชั่วแวบเดียวความกรุ่นๆ ในอกก็กลับเข้ามาอีก
ทำไมช่วงนี้สิรินดาถึงชอบอวดดี ทำให้เขาโมโหอยู่เรื่อย
คิดไปใบหน้าคมก็เข้มขึ้น ก่อนขาเรียวยาวจะก้าวออกเดิน ทว่ายังไม่ทันพ้นหน้าประตูห้องกลับหมุนตัวกลับมายืนข้างเตียงในตำแหน่งที่สิรินดานอนอยู่
แล้วยื่นมือไปแตะที่หน้าผากมน
เมื่อเห็นว่าไม่มีไข้ก็พรูลมหายใจคล้ายโล่งอกออกมาเพราะสิรินดาป่วยทีไรมิวายเป็นหนักทุกที นาทีต่อมาดลวัฒน์ก็สาวเท้าเพื่อไปทำตามเป้าหมาย ตั้งใจว่าจะวิ่งสักสี่สิบนาที
ดลวัฒน์กลับเข้าบ้านมาอีกครั้งในเวลาหกโมงยี่สิบนาที พลันเห็นหลังไวๆ ของสิรินดาที่เดินออกจากห้องครัว แล้วรีบมุ่งตรงไปยังบันได
ชายหนุ่มเดินตามไป จังหวะหนึ่งหญิงสาวหันหลังมามองแล้วขบเม้มปากเล็กน้อย แต่ก็ยังคงไม่มีวาจาใดหลุดมาจากปากอิ่ม
แถมสิรินดาก็ยังเปลี่ยนเส้นทาง เดินเลี่ยงเข้าไปในห้องนั่งเล่นแทน ราวกับไม่อยากจะสนทนากับสามี
ชายหนุ่มกลอกตาขึ้นฟ้า ก่อนจะตัดสินใจเดินขึ้นห้องไป ถ้าอีกฝ่ายอยากจะเอาแบบนี้ก็เชิญเลย
ให้มันรู้กันไปว่าใครจะเป็นผู้แพ้
ตามจริงในวันนี้ศัลยแพทย์หัวใจและหลอดเลือดอย่างดลวัฒน์เข้าเวรบ่าย แต่ชายหนุ่มมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ช่วงแปดโมงเช้า ตอนนี้กำลังนั่งเคี้ยวแซนด์วิชตุ้ยๆ อยู่ที่โรงอาหาร
ขณะที่มือร้อนเอื้อมไปหยิบแซนด์วิชชิ้นที่สองในกล่องอาหารกลับมีมือปริศนามาช่วงชิงไป เมื่อชายหนุ่มเงยหน้าไปมองก็พบว่าเป็นเพื่อนจอมกวนประสาท
“มารยาทหน่อยไหม” เขายังไม่ได้เอ่ยปากบอกอนุญาต ไม่สิ พาริยะไม่ได้เอ่ยปากขอเลยต่างหาก ดลวัฒน์ส่งสายตาติเตียน
“กูมีกับบางคน คนที่สมควรได้” พาริยะไหวไหล่พลางลอยหน้าลอยตาตอบ เคี้ยวแซนด์วิชของเพื่อนอย่างอารมณ์ดี เพียงคำแรกก็มั่นใจว่าแซนด์วิชกล่องนี้ต้องเป็นฝีมือของสิรินดาอย่างแน่นอน ด้วยเพราะเพื่อนตัวดีเคยทิ้งของที่เมียทำให้ไว้กับเขา ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงใจร้ายกับสิรินดานัก...
พาริยะเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปก็เหลือบไปมอง แล้วพบว่าสายตาของดลวัฒน์กำลังมุ่งไปยังที่หนึ่ง
“มึงจ้องลูกพี่พรอะไรขนาดนั้นวะ” หมอกระดูกเลิกคิ้ว เห็นชัดว่าสายตาของเพื่อนไม่ได้มองแบบทั่วไป แต่ดูมีอะไรแฝง “หรืออยากมีกับเขาแล้ว"
คำถามของคนร่วมโต๊ะทำให้ดลวัฒน์ยอมละสายตาจากเด็กน้อยตัวจ้ำม่ำ
“ทำไมทุกคนต้องยัดเยียดให้กูมีนัก ทั้งแม่ ทั้งย่า ทั้ง...น้องคนดีของพวกมึง รวมถึงมึงด้วย” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง“การมีลูกมันสำคัญกับชีวิตคู่ขนาดนั้นเลย?” ก่อนใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มอย่างหงุดหงิด พร้อมจ้องเขม็งรอคำตอบ
“ทำไมวะ กลัวเหี้ยแบบมึง?”พาริยะตั้งคำถามกลับไปแทน
“การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และกูก็ยังไม่อยากจะมี”
ถึงแม้เพื่อนจะตอบกลับแบบกวนๆ แต่ดลวัฒน์ก็ให้เหตุผลแบบจริงจังไป เพื่อนจะได้เข้าใจให้ถูกเสียที เขาเบื่อสายตาติเตียนของกลุ่มเพื่อนเต็มทน ทุกคนชอบหาว่าเขาใจยักษ์ใจมารที่ไม่ยอมมีลูกกับสิรินดาเสียที
แต่มันไม่ง่ายเลยกับการมีลูก แถมหน้าที่การงานของเขาก็ยังไม่เอื้ออำนวย แค่เวลาให้คนในครอบครัวก็แทบจะไม่มี ถ้าเขาเข้าไปรับหน้าที่ดูแลโรงพยาบาลแห่งใหม่ก็คงจะหนักกว่านี้
“อยู่แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องเอาห่วงมาผูกคอ” ทุกวันนี้เขามีเรื่องชวนให้ปวดหัวหลายเรื่องพอแล้ว “งั้นกูขอถามกลับบ้าง” พาริยะขยับมานั่งหลังตั้งตรง สีหน้ามีแววจริงจังขึ้นมาหลายระดับ
ดลวัฒน์พยักหน้าให้เป็นเชิงอนุญาต และรู้ว่าถึงตนจะส่ายหน้าปฏิเสธ อย่างไรเพื่อนก็คงถามออกมาจนได้อยู่ดี
“ทำไมมึงต้องทุ่มเทอดตาหลับขับตานอน หาข้อมูล หางานวิจัย รักษาคนไข้”
คนถูกถามขมวดคิ้วนิดๆ กับการตั้งคำถามที่ดูนอกประเด็นของเพื่อน อย่างไรเหตุผลของมันและเขาก็คงไม่ต่างกัน กระนั้นก็ยอมตอบไป
“กูเป็นหมอ มันหน้าที่ของกู ที่จะต้องทำทุกทางให้คนไข้หายป่วย” ดลวัฒน์เว้นจังหวะเพียงเล็กน้อยแล้วเปรยประโยคต่อมา
“มันคือสิ่งที่กูรัก แล้วกูก็อยากเป็นหมอที่ดี” ถึงใครหลายๆ คนจะชื่นชมและมองว่าเขามีฝีมือดี คนไข้ๆ หลายคนต่างต่อแถวเข้ามาด้วยอยากให้เขารักษากันทั้งนั้น ทว่าดลวัฒน์ก็ไม่อยากเป็นน้ำเต็มแก้ว เขาพร้อมจะเรียนรู้ต่อไปและไม่เคยเบื่อที่จะเรียนรู้เพิ่ม
“แล้วมันต่างกับน้องไจ๋ตรงไหน มึงมีความมุ่งมั่นของมึง เขาก็มีความมุ่งมั่นของเขา” พาริยะเลิกคิ้วถามสมทบ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“เขาก็แค่อยากทำเป้าหมายชีวิตของเขาให้สำเร็จ เหมือนกับมึงนั่นละ” เพียงแค่เป้าหมายต่างกัน แต่เพื่อนเขากลับมองว่าเป้าหมายของสิรินดาเป็นเรื่องไร้สาระ ถึงได้ใจร้ายใจดำกับเธอ
“เขาสนับสนุนการทำงานของมึงทุกอย่าง ไม่เคยบ่นเคยว่า ถึงแม้มึงจะไม่มีเวลาให้”
ดลวัฒน์แทบไม่เห็นสิรินดางอแงเลยด้วยซ้ำ คงเพราะบิดาของหญิงสาวก็เป็นหมอ จึงเข้าใจดีว่าชีวิตของคนเป็นหมอไม่ใช่เรื่องง่าย
“ขนาดมึงไปสัมมนาในวันเกิดเขา เขายังไม่งอแงกับมึงเลย” ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น พาริยะว่าต้องมีงอนและพานมีเรื่องให้ทะเลาะกันใหญ่โตไปแล้ว
“ไหนจะตอนที่มึงเจ็บตัวจากงาน เขาก็คอยเฝ้ามึงไม่ห่าง ดูแลมึงอย่างดี” ครั้งนั้นดลวัฒน์นอนโรงพยาบาลอยู่หลายวัน แต่ก็ไม่มีวันไหนที่ไม่เห็นหน้าสิรินดา
“แล้วแบบนี้ มึงยังจะไม่เห็นใจน้องไจ๋บ้างเหรอวะ” ถ้ามันไตร่ตรองดี ก็จะรู้ว่ามันคือเรื่องปกติมากสำหรับชีวิตคู่ เรื่องของการมีลูก
ซึ่งหากเป็นตน แล้วได้ภรรยาดีแบบนี้ ทั้งเป็นคนดีและรักมั่น แถมยังพยายามเข้าใจสามีทุกเรื่อง คงจะคลั่งรักกันไปแล้วอย่างแน่นอน
“แถมน้องไจ๋ก็ไม่เคยเร่งรัดอะไรมึงเลย เห็นน้องรอมึงพร้อมมาตลอด มึงควรเข้าใจหัวใจคนรอบ้าง”
ดลวัฒน์นิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไรกลับมา จนเป็นพาริยะทอดถอนใจ
“แต่อย่างว่า คนเหี้ยอย่างมึง...คงสำนึกไม่ได้” พูดขนาดนี้แล้วเพื่อนยังไม่สำนึก เขาก็หมดหนทางที่จะทำให้อีกฝ่ายกลับมาเป็นผู้เป็นคนเหมือนเดิมแล้ว
“กูเหนื่อยจะพูดกับมึงแล้ว เพราะเหมือนกูพูดกับควาย” คุณหมอกระดูกส่ายหน้า “อีกไม่นานน้องไจ๋ก็คงจะถอดใจเหมือนกู”
พาริยะว่าตนเองเป็นพวกมีความพยายามและอดทนสูงมากแล้ว ยังต้องยอมแพ้ให้กับความเย็นชาและความใจร้ายของเพื่อน
ทว่าประโยคสุดท้ายนี้ ดลวัฒน์กลับโต้สวนมาอย่างไว
“น้องพวกมึงรักกูจะตาย” แทบจะเรียกว่ารักแบบถวายหัวเลยก็ว่าได้
พาริยะเบ้ปาก ก่อนจะพูดสวนคืน
“รักแล้วถอดใจไม่ได้เหรอวะไอ้ดล”
บนโลกนี้ไม่เคยมีอะไรแน่นอน รักแล้วก็เลิกรักได้เช่นกัน
“ไม่มีใครทนอยู่กับคนที่ไม่เห็นค่าเราได้ตลอดไปหรอกนะโว้ย”
“เชื่อกู อีกไม่นานหรอก น้องไจ๋จะหมดรักมึง” หากสิรินดายอมตัดใจ เธออาจจะมีความสุขไปแล้วก็ได้
“ไม่มีทาง” คนที่มั่นใจในตัวเองสูงยังคงไม่เปลี่ยนความคิด แววตาฉายความมั่นใจ
พาริยะคำรามเสียงต่ำในลำคอ เขาเพิ่งจะรู้วันนี้เองว่าเพื่อนปากดีได้ขนาดนี้ “มึงคอยดูเถอะ อีกไม่นานหรอก” เขารอสมเพชล่วงหน้าเลย