หลังจากไปเดินตรวจเยี่ยมผู้ป่วยรอบเช้าเรียบร้อยแล้ว ดลวัฒน์ก็มาทิ้งก้นลงในห้องทำงานที่ตึกอำนวยการ ก่อนหยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมาไล่ดูความถูกต้องและความครบถ้วนของเนื้อหาที่จัดทำขึ้นในพรีเซนเทชันทีละหน้า เพราะวันนี้นอกจากจะต้องทำหน้าที่หมอแล้ว เขายังได้รับมอบหมายให้เป็นวิทยากรให้กับนักศึกษาแพทย์อีกด้วย ซึ่งถูกเชิญไปเป็นครั้งที่สองแล้ว
หลังจากตรวจทานเนื้อหาทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ดลวัฒน์ก็เปลี่ยนบทบาทหน้าที่อีกครั้ง เพราะกองเอกสารที่ผู้เป็นย่าโยนมาให้ศึกษานี้เหลืออีกเป็นตั้ง
กระทั่งช่วงใกล้เที่ยง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ก่อนคนมาใหม่จะโผล่หน้าเข้ามา
“พร้อมยัง” พาริยะเอ่ยถาม
ผู้บริหารหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาที่มุมล่างของหน้าจอโน้ตบุ๊ก ก็พบว่ามันถึงเวลาที่เขานัดหมายกับเพื่อนไว้แล้ว วันนี้พวกเขานัดกันไว้ว่าจะไปกินข้าวเที่ยงแถวมหาวิทยาลัย
“อืม เก็บของแป๊บ”
ดลวัฒน์ยัดโน้ตบุ๊กเข้ากระเป๋าเป้พร้อมกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกสองอย่าง แล้วสะพายมันขึ้นไหล่ ส่วนมืออีกข้างหันไปคว้าถุงสีน้ำตาลใบหนึ่งที่เพิ่งจะได้มาเมื่อช่วงเช้า
ก่อนก้าวเท้าตรงไปหาคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง
“กูสอนเสร็จสามโมง” พาริยะว่าขณะก้าวเดินไปตามทาง วันนี้ทั้งเขาและเพื่อนต่างถูกเชิญมาเป็นวิทยากรเพียงแต่ต่างหัวข้อและต่างสาขา “แล้วของมึงล่ะ”
“บ่ายสามโมงครึ่ง”
“งั้นเดี๋ยวกูจะมารอมึงที่หน้าตึก”
“โอเค”
สุดท้ายคนที่ต้องมารอกลับกลายเป็นนายแพทย์ดลวัฒน์ ชายหนุ่มปล่อยคลาสสอนตรงเวลา ไม่ขาดไม่เกินจากเวลาที่ทางมหาวิทยาลัยให้มา ร่างสูงเดินมาทิ้งกระเป๋าที่สะพายยังโต๊ะไม้สีน้ำตาล และนั่งลงพร้อมกับแก้วมัตฉะลัตเตในมือ พลันมองไปรอบๆ อย่างสำรวจ แล้วอดคิดไปถึงตอนที่ตนยังเป็นนิสิตไม่ได้
มันทั้งสนุกและเครียดในเวลาเดียวกัน
เขายอมรับว่าแม้เรียนหนัก แต่การได้ทำในสิ่งที่รัก ก็ทำให้มีความสุขและมีกำลังใจทำต่อไปเรื่อยๆ
เหมือนทุกวันนี้ที่เขาไม่เคยย่อท้อต่ออาชีพหมอ และยังอยากพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ
ดลวัฒน์เหลือบมองนาฬิกาเป็นหนที่สอง เพราะเวลาล่วงเลยผิดจากที่เพื่อนบอกไปเกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้ว เขานั่งดูดมัตฉะลัตเตต่อไปอีกอึกใหญ่กว่าจะเห็นเพื่อนเดินลิ่วๆ มา
“โทษทีว่ะ เกิดแอ็กซิเดนต์นิดหน่อย เลยต้องเปลี่ยนห้องสอน” กว่าเขาจะหาห้องและเซตอุปกรณ์ใหม่ได้ก็ใช้เวลาไปร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว
ดลวัฒน์พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ชั่วนาทีก็ขยับตัวลุกขึ้นแล้วมองหาถังขยะที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก จึงเดินไปหย่อนแก้วมัตฉะลัตเตลงถัง แล้วทั้งสองก็เดินไปยังลานจอดรถ ระหว่างทางมีนิสิตหลายคนที่เหลียวมองสองหนุ่ม ส่วนนักศึกษาในคลาสก็พากันยกมือไหว้
ทว่าวันนี้คนที่สาวๆ ให้ความสนใจนั้นไม่ใช่ดลวัฒน์แต่เป็นพาริยะ ที่สวมแว่นจนดูเป็นหนุ่มฮอตเนิร์ด
ดลวัฒน์เหยียดยิ้มเมื่อเห็นสายตาของสาวๆ ที่มองมายังเพื่อนของตนอย่างหลงใหลได้ปลื้ม
พาริยะอาสาเป็นพลขับ พลางพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องเคสคนไข้ที่ตนพบเจอมากระทั่งถึงจุดหมาย แล้วดลวัฒน์ก็โบกมือร่ำลาอีกฝ่ายก่อนจะกลับมานั่งหลังพวงมาลัยอีกครั้ง พร้อมเคลื่อนรถออกสู่ท้องถนน แต่แล้วอยู่ๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักทั้งที่เมื่อครู่ท้องฟ้ายังแจ่มใส จนการจราจรเคลื่อนตัวช้าลงแทบจะไม่ขยับ
ดลวัฒน์เอื้อมมือไปเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนเพื่อเปิดฟังเพลงแก้เบื่อไปพลาง แต่โชคดีที่เหลืออีกไม่กี่กิโลเมตรเขาก็จะถึงบ้านแล้ว ใช้เวลาอีกครู่ใหญ่ชายหนุ่มก็ถึงจุดหมายปลายทาง
เมื่อประตูรั้วอัตโนมัติถูกเปิดออกชายหนุ่มก็พบว่ารถมินิคูเปอร์ของภรรยาได้หายไป จึงเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ ด้วยความสงสัย เพราะปกติเวลาจะไปไหนเจ้าหล่อนจะบอกเขาก่อนเสมอ
อีกทั้งในช่วงเวลาที่เขาเลิกงานเช่นนี้ เธอจะยิ่งไม่ออกไปไหน เพราะรู้ว่ามีเวลาน้อยที่จะได้อยู่ด้วยกัน
ชายหนุ่มเข้าใจว่าเธอคงไม่พ้นทำตัวเป็นเด็กสามขวบ อยากให้เขาตามง้อ ร่างสูงหยิบสัมภาระลงมาจากรถรวมถึงถุงสีน้ำตาลนั่นด้วย
ก่อนจะนำมันไปวางไว้ในครัว ถ้าถามว่ามันคืออะไร มันก็คือมะยมเชื่อม
ของที่ภรรยาตัวดีของเขาอยากจะกิน
เขาไปคว้านซื้อมาเสียถึงสี่ถุง เผื่อว่าเด็กเอาแต่ใจคนนั้นจะได้หายโกรธกันเสียที
หลังจากนั้น จึงเดินต่อมายังห้องนอน
ปี๊บ! ปิ๊บ!
ดลวัฒน์ล้วงหยิบสมาร์ตโฟนที่กำลังส่งเสียงดังออกมาจากกระเป๋ากางเกง ชายหนุ่มรับมันอย่างไว เพราะสายนี้มีความสำคัญกับตน
เขาใช้เวลาคุยอยู่นานนับชั่วโมงก่อนจะได้ยินเสียงหนึ่งทางหน้าบ้าน เมื่อแหวกผ้าม่านออกดูก็พบว่าสิรินดากำลังวิ่งฝ่าสายฝนเข้ามาในตัวบ้าน ขณะที่ประตูรั้วค่อยๆ เลื่อนปิด
ร่างสูงรีบวางสายแล้วจึงโยนโทรศัพท์ไปไว้บนเตียง ก่อนเดินลงไปชั้นล่างพร้อมผ้าขนหนูผืนน้อย เมื่อเห็นสภาพของหญิงสาวที่เปียกชุ่มไปทั้งตัวก็สาดคำถามออกไปทันที
“ไปไหนมา แล้วทำไมไม่บอกให้พี่ไปรับ แถมยังเดินตากฝนมาแบบนี้อีก” ชายหนุ่มว่าเสียงดุ อดสงสัยไม่ได้ว่ารถมินิคูเปอร์ที่เขาซื้อให้หายไปไหน “เดี๋ยวก็ไม่สบายกันพอดี”
คนฟังยืนหนาวสั่น เพราะก่อนหน้านี้นั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างตากฝนมา ด้วยไม่อยากเป็นภาระให้เขา ที่ผ่านมาเขามองเธอเป็นภาระมาโดยตลอด แต่ต่อไปจะไม่มีอีกแล้ว
“ไจ๋จะดูแลตัวเองค่ะ จะไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นภาระ พี่ไม่ต้องกังวลค่ะ” เธอไม่ได้ประชดเขา แต่จงใจบอกกับตัวเอง นับจากนี้เธอจะเข้มแข็งขึ้น จะดูแลรักษาตัวเองไม่ปล่อยให้เจ็บป่วยอีก
คนฟังหยุดชะงัก พลางมองหน้าคนที่ยังไม่เลิกทำตัวเป็นเด็ก
“จะเอาแบบนี้ใช่ไหม จะประชดไปถึงไหน” ดลวัฒน์ถามเสียงเข้มกว่าครั้งก่อนเป็นเท่าตัว “จะโกรธก็ให้มีขอบเขตด้วย”
สิรินดาไม่ตอบคำถาม เจ้าหล่อนเลือกจะเดินเลี่ยงขึ้นไปบนห้อง เพราะอยากผลัดเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มนี้ออกเสียที ขืนไม่รีบจัดการคงจะได้เป็นไข้แน่ ด้วยเธออยู่ในสภาพนี้มาเกือบครึ่งชั่วโมงที่ป้ายรถเมล์ หลังจากรถของเธอเกิดเสียระหว่างขับ จึงต้องเรียกช่างมาพาเข้าอู่เพื่อหาสาเหตุ
การที่หญิงสาวเมินเฉยต่อคำถาม ทำให้ดลวัฒน์หน้าบึ้ง อารมณ์ขุ่นมัวจนเอ่ยเรียกชื่อเสียงต่ำ
“สิรินดา”
หญิงสาวก็ไม่หยุดฝีเท้า พานให้สีหน้าของดลวัฒน์บิดเบี้ยว กัดกรามดังกรอด ก่อนจะสบถออกมาอย่างหัวเสีย พร้อมกับโยนผ้าขนหนูในมือทิ้งไป
ในเมื่อยังดื้อรั้นอยู่ ความห่วงใยนี้...ก็คงไม่มีค่า