ดลวัฒน์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เกือบช่วงบ่ายสามโมงเย็น แม้จะเห็นแล้วว่าตอนนี้เป็นเวลาใด ทว่าร่างสูงสง่าก็ไม่ได้มีทีท่าจะเร่งรีบอะไร ราวกับไม่ได้ให้ความสำคัญกับการไปรับภรรยาสาว
คนเพิ่งตื่นลุกออกจากเตียงไปเปิดตู้เย็นเพื่อดื่มน้ำ ก่อนถอดเสื้อแล้วโยนทิ้งไปในตะกร้าผ้า แล้วจึงหายเข้าไปห้องน้ำราวๆ ยี่สิบนาที ไม่นานเขาก็อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา กางเกงสีดำ มือหนาหยิบนาฬิกาโรเล็กซ์ขึ้นมาสวมเป็นอย่างสุดท้ายก่อนจะก้าวออกจากบ้านไป
กว่ารถเอสยูวีจะเคลื่อนตัวออกไปจากลานหน้าบ้านก็บ่ายสี่โมงครึ่งพอดิบพอดี ใช้เวลาประมาณสี่สิบนาทีก็มาถึงจุดหมาย
ดลวัฒน์ยกมือขึ้นไหว้คนที่มีศักดิ์เป็นพ่อตาพ่วงด้วยเจ้าของโรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่ร่วมกับผู้เป็นย่า ก่อนจะบอกถึงจุดประสงค์ที่ตนขับมาไกลถึงที่นี่
“ผมมารับไจ๋ครับ”
แต่ถึงเขาจะไม่บอกออกไป ก็เชื่อว่าอย่างไรสุนิติย่อมรู้อยู่แล้ว
“ลุงจะให้แม่บ้านไปตามมาให้”
“ครับ”
ไม่ถึงห้านาที สิรินดาก็ลงมาจากชั้นสองของบ้าน สีหน้าของหญิงสาวไม่ได้มีเค้าของความดีใจอยู่สักนิด อีกทั้งยังดูเย็นชาเสียเหลือเกิน
ดลวัฒน์เหลือบตามองภรรยาอยู่แวบหนึ่ง ก่อนเบนสายตากลับมาแล้วสนทนากับพ่อตาต่อในเรื่องที่ศัลยแพทย์อย่างพวกเขาสองคนถนัด เกี่ยวกับการผ่าตัดที่กำลังจะเกิดขึ้น
สิรินดาทิ้งตัวลงนั่งฟังเงียบๆ กระทั่งสิบนาทีต่อมาก็ถึงคราวต้องบอกลา ก่อนที่รถเอสยูวีจะเคลื่อนตัวออกไป ทว่ายังไม่ทันพ้นปากประตูรั้วดี เสียงเข้มดุของคนขับก็ดังขึ้น
“ถามจริง เธอจะก่อเรื่องไปถึงไหน” ดลวัฒน์เอ่ยถาม แม้เขาจะบอกว่าอยากนอนคนเดียว แต่มันจำเป็นไหมที่เธอต้องถ่อมานอนถึงที่นี่ แบบนี้มันก็ไม่ต่างจากการวิ่งโร่มาฟ้องพ่อหรอก
สิรินดามุ่นคิ้วเมื่อถูกอีกฝ่ายเข้าใจผิด ในเมื่อเขาอยากได้ความสบายใจด้วยการไม่เห็นหน้ากัน เธอเองก็อยากได้ความสบายใจเช่นกันจึงกลับมานอนบ้าน ไม่มีที่ไหนสุขใจได้เท่าที่บ้านของเราอยู่แล้ว
ที่สำคัญเธอไม่ได้โทร.ไปฟ้องธิตา แต่ท่านบังเอิญแวะมาหาบิดา เลยเจอเธอเข้าก่อน
“ไจ๋…” หญิงสาวตั้งใจจะเอ่ยปากอธิบาย ทว่าอีกฝ่ายกลับโพล่งขึ้นมาเสียงห้วน
“ถ้าจะพูดขอโทษก็ไม่ต้อง เพราะพี่เบื่อฟังแล้ว”
สิรินดายอมเงียบลง แต่ไม่ใช่เพราะถูกสั่ง เพียงอยากให้เขาใจเย็นลงก่อน เพราะต่อให้เธอดื้อดึงจะคุยกันไปแบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น
พอมาถึงหน้าบ้านดลวัฒน์ก็เดินมาเปิดประตูรถให้ ก่อนจะวกกลับไปขึ้นรถแล้วขับพุ่งทะยานออกไปทันที
โดยทิ้งคำสั้นๆ ไว้แค่ “ไม่ต้องรอ”
“เป็นเชี่ยไร เรียกกูมาซะดึกเลย” พาริยะร้องถามกับคนที่ดูท่าแล้วจะนั่งอยู่ในที่แห่งนี้มาสักพักใหญ่แล้ว ในมือนั้นมีแก้วทรงสวยที่บรรจุน้ำสีเหลืองอำพันอยู่ “หรือน้องไจ๋ไม่ให้อึ๊บ”
ดลวัฒน์ยกเท้าขึ้นมาใส่คนตั้งข้อสันนิษฐานทันใด ทว่าพาริยะเบี่ยงตัวหลบทันก่อนยกมือขึ้นโบกยอมแพ้ เพราะกลัวถูกเพื่อนซี้ถีบเข้าจริงๆ ใครๆ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายมือเท้าหนักแค่ไหน
“แล้วตกลงจะบอกกูไหม หรือจะให้กูกลับ” พาริยะเข้าสู่โหมดจริงจัง หลังเพื่อนเอาแต่นั่งอมพะนำไม่ยอมพูดออกมาเสียที
“ซ้ำซาก ปัญหาเดิม”
“เรื่อง?”
“ไม่รู้จักโต มีอะไรก็เอาแต่ฟ้องพ่อ ฟ้องย่ากู”
“กูว่าอย่างน้องไจ๋ต้องมีเหตุผล” ด้วยเห็นว่าสิรินดาเป็นคนว่าง่าย ที่ผ่านมาหากเพื่อนตัวดีบอกว่าไม่ชอบอะไร เธอก็จะเลี่ยงหมด ยิ่งนิสัยขี้ฟ้องยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ สิรินดาที่เขารู้จักไม่ใช่คนแบบนั้น หากเธอแหกกฎที่ตั้งไว้ก็ย่อมต้องมีเหตุผล ทว่าเพื่อนเขากลับไม่เคยมองเมียตัวเองในแง่ดีเลย คิดแล้วคุณหมอออร์โธปิดิกส์ก็หรี่ตามองแบบจับผิดคาดคั้น
“กูก็แค่ไม่ได้กลับบ้านไหม” ดลวัฒน์พูดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก
“กี่วัน”
“ก็แค่สองวัน” ดลวัฒน์ไม่เข้าใจว่าทำไมหญิงสาวต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต ที่สำคัญเขาก็ไม่ได้ไปเที่ยวเตร็ดเตร่ที่ไหน แต่ไปช่วยชีวิตคน
“มึงใช้คำว่าแค่หรือวะ มึงไม่ได้กลับสองวันเชียวนะ...ถ้าเป็นพ่อแม่กูแจ้งความไปแล้ว มึงมองเมียแง่ร้ายไป น้องไจ๋เขาห่วงมึงดล”
“ไม่ได้ขอให้มาห่วง”
“ไอ้ห่า ก็มันเคยเกิดเรื่องกับมึงไง เขาถึงห่วงมึง” พาริยะต่อว่า เหตุการณ์ที่ดลวัฒน์ถูกแทงที่หน้าท้องฝั่งขวาเพิ่งผ่านพ้นมาไม่ถึงปีด้วยซ้ำ วันนั้นเพื่อนเขากำลังช่วยรักษาเด็กวัยรุ่นยกพวกตีกันอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน แล้วพรรคพวกอีกฝั่งก็ตามมาหวังจะซ้ำให้ตาย ทว่าคนซวยกลับเป็นหมอผู้ช่วยชีวิตอย่างดลวัฒน์ “แล้วตกลงมึงไปไหนมา”
“บนดอย”
“มึงไปทำไม” พาริยะถามต่อพร้อมใช้สายตาตั้งคำถามซ้ำ
“หมออิงติดต่อมา ขอให้ไปช่วยเหลือ”
“แล้วทำไมมึงไม่บอกน้องไจ๋ เขาจะได้ไม่เป็นห่วง” พาริยะมั่นใจว่าปัญหานี้จะไม่เกิด ถ้าอีกฝ่ายบอกกับสิรินดาเสียก่อน
“กูเป็นเด็กสามขวบเหรอที่ต้องให้คนมาห่วง กูโตจน...ถูกบังคับให้แต่งงานแล้วปะ”
คนที่ได้ฟังก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มึงยังไม่หายโกรธเรื่องนั้นอีกเหรอ” ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าประโยคท้ายเพื่อนกำลังประชด
“กูไม่ชอบคนปลิ้นปล้อน”
“มึงไม่ลองให้อภัยแล้วเริ่มต้นใหม่กันใหม่” ถึงจะเข้าใจว่าสิ่งที่ดลวัฒน์เกลียดมากที่สุดคือการถูกหลอก แต่...เรื่องมันดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว
“ไม่มีเหตุผลที่กูต้องทำแบบนั้น”
“มึงไม่รักน้องบ้างเลยหรือวะ”
ฝ่ายคนถูกถามใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มและเงียบหายอึดใจหนึ่ง ส่วนพาริยะยังมองไม่วางตาอย่างจับผิดคาดคั้นเอาคำตอบ
เกือบสองนาที กว่าที่ดลวัฒน์จะขานรับเป็นประโยคสั้นๆ
“อืม ไม่รัก”