นาเนียร์หายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนเดินช้าๆ ไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาด มือเล็กสั่นน้อยๆ จากฤทธิ์ไข้ แต่เธอไม่ปริปากบ่น ไม่แม้แต่ขอผ่อนผันสักคำเดียวเพราะรู้ดีว่ามันไร้ประโยชน์กับคนอย่างคิรัน
พื้นห้องกว้างขวางของเพนท์เฮาส์หรูเหมือนจะเยาะเย้ยสภาพของเธอ เธอค่อยๆ ถูพื้นตรงโถงกลาง ลมหายใจเริ่มติดขัด รู้สึกเวียนหัวเหมือนโลกหมุนแต่ก็ฝืนตัวเองไว้ไม่ให้ล้ม
คิรันนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาหนังแท้ สายตาคมกริบมองนาเนียร์ทำความสะอาดราวกับเป็นคนรับใช้ในบ้าน เสียงไอเบาๆ ของเธอไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสงสารแม้แต่น้อย
“อย่าสำออย” เขาพูดพร้อมกับมองนาเนียร์ในสภาพใบหน้าซีดเซียว
นาเนียร์ไม่ตอบ เธอเม้มปากแน่น สองมือกำไม้ถูพื้นแน่นจนข้อขาว ร่างบางสั่นนิดๆ จากไข้ที่เริ่มสูงขึ้น เส้นผมเปียกชื้นแนบแก้มแดงจัด
คิรันลุกขึ้นยืน เดินผ่านเธอไปพลางหยุดเท้าไว้แค่ไม่กี่ก้าว
“ทำให้หมด ในห้องน้ำ ฉันไม่ชอบให้มีคราบน้ำเกาะกระจก” เขาหันหน้ากลับมาเล็กน้อย น้ำเสียงยังคงเรียบเฉย แต่แฝงความเหี้ยมเย็น
“ค่ะ…” เธอตอบเสียงเบา เจ็บคอจนพูดแทบไม่ออก แต่ก็ฝืนพาตัวเองลุกขึ้น เปลี่ยนอุปกรณ์แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ
เสียงน้ำจากฝักบัวในมือเธอไหลรินพร้อมกับเสียงไอแหบพร่าของเจ้าของร่างบาง เธอถูผนังด้วยแรงที่ลดลงทุกที เสื้อยืดที่เธอสวมเริ่มเปียกจากน้ำกระเซ็น ถูกผิวกายที่มีไข้กัดจนขนลุกซู่
กระจกหน้าห้องน้ำสะท้อนภาพของหญิงสาวที่ดูเหมือนจะพังลงทุกนาที และคนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็กำลังยืนอยู่ข้างนอกอย่างสง่างาม ไม่มีแม้แต่ความเวทนาในดวงตาคู่นั้น
ขณะกำลังขัดถูเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า มือเล็กที่จับผ้าอยู่พลันชะงักเมื่อรู้สึกว่ารอบตัวเริ่มพร่ามัว เธอยืนตั้งสติเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็คงดีหากแต่มัน…กลับไม่ใช่
พรึ่บ!
ร่างบางล้มลงนอนกับพื้นห้องน้ำ โดยมือยังคงจับผ้าเช็ดเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าอยู่ ในเวลาไล่เลี่ยกันคิรันเดินเข้ามาเช็กว่านาเนียร์ทำความสะอาดถึงไหนแล้ว
“เวร…” เขาสบถคำหยาบออกมาเมื่อเห็นนาเนียร์นอนหมดสติอยู่พื้นห้องน้ำ แววตาคมเข้มไหววูบกับสิ่งที่เห็น ก่อนจะเข้าไปช้อนร่างยัยนั่นขึ้นในท่าเจ้าสาวไปวางลงบนเตียงภายในห้องนอนตัวเอง
นาเนียร์บอกว่าไม่สบายแต่ไม่คิดว่าจะหนักถึงขั้นเป็นลม แถมตัวยังร้อนจี๋ดั่งเปลวไฟ คิรันไม่ได้รู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นหากแต่กลัวความผิดเสียมากกว่า
ผ่านไปสักพักนาเนียร์เริ่มรู้สึกตัวโดยการส่งเสียงร้องดังอืออึงในลำคอ เปลือกตาที่แนบสนิทค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างยากลำบากท่ามกลางความนุ่มของหมอนใบใหญ่
นาเนียร์กะพริบตาช้าๆ เพื่อปรับความชัดของการมองเห็น ก่อนจะพบว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของตัวเอง เธอเริ่มกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วสะดุดเข้ากับร่างสูงของคิรันซึ่งยืนกอดอกพิงประตูระเบียงมองเธออยู่ด้วยแววตายากอ่านออก
“กว่าจะฟื้นได้” คิรันเอ่ยเสียงเรียบด้วยท่าทีไม่ได้แสดงความห่วงใยเลยสักนิด
“ทำไมหนูถึงมานอนตรงนี้ได้คะ” เธอประคองตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง ถามทั้งที่เสียงยังแผ่วพร่า
“เธอเป็นลมในห้องน้ำ ฉันเลยอุ้มเธอมานอนตรงนี้”
หัวใจของนาเนียร์ไหววูบแปลกประหลาด บางอย่างอบอุ่นแล่นวูบผ่านใจ เธอหลุบตาต่ำมองมือตัวเองที่วางอยู่บนผ้าห่ม
“…ขอบคุณนะคะ” หากเธอหวังว่าจะได้ยินคำพูดอ่อนโยนกลับคืนมา นั่นคือความผิดพลาด
“ก็แค่ไม่อยากให้ตายในที่ของฉัน” เขาบอกเสียงเรียบ แววตาที่มองนาเนียร์ยังคงเต็มไปด้วยความเย็นชา “อีกอย่างฉันไม่อยากให้พ่อโทษว่าฉันดูแลเธอไม่ดี”
นาเนียร์ชะงัก หัวใจที่เพิ่งจะอบอุ่นขึ้นเล็กน้อยกลับเย็นเฉียบอีกครั้ง คิรันก็ยังเป็นคิรันอยู่วันยังค่ำ ไร้สำนึก ไร้ความเห็นใจ จิตใจเต็มไปด้วยความเลวและเย็นชา
เธอควรเลิกคาดหวังในตัวผู้ชายคนนี้ว่าจะมีเศษเสี้ยวของความดี วินาทีแรกที่รู้ว่าเขาอุ้มเธอมานอนตรงนี้แอบคิดว่าลึกๆ แล้วเขาไม่ใช่คนเลวร้าย แต่พอรู้คำตอบจากปากของเขา เธอควรเลิกมองหาความดีในตัวผู้ชายที่ชื่อว่า ‘คิรัน’
“ฟื้นแล้วก็รีบไสหัวออกไปจากห้องของฉัน” คิรันเอ่ยเสียงเรียบ ตัดเยื่อใยในทุกถ้อยคำ
นาเนียร์เงยหน้าขึ้น สบตากับเขาเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะลุกขึ้นช้าๆ มือยังสั่น ร่างกายยังอ่อนแรง หัวใจที่เคยสั่นไหวกับเขากำลังเริ่มแข็งขึ้นทีละนิด
“ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายค่ะ” น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาแต่ไม่สั่นเหมือนก่อน ดวงตากลมโตมองเขาเพียงแวบหนึ่งก่อนจะหลุบต่ำ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะเริ่มไม่อยากมองเขาด้วยความรู้สึกแบบเดิมอีกแล้ว
ทางด้านนาเนียร์ เมื่อมาถึงห้องนอนตัวเองเธอก็ทรุดตัวลงนั่งพิงกำแพงในทันที มือบางยกขึ้นกอดเข่า ดวงตาแดงเรื่อด้วยพิษไข้และความอ่อนล้า น้ำตาที่คลออยู่เล็กน้อยเธอกลั้นไว้ไม่ให้ไหล เพราะไม่อยากร้องไห้เพราะเขาอีก
“ทำไมต้องอ่อนแอให้เขาเห็นด้วย…” เธอตำหนิตัวเองเบาๆ หากเป็นไปได้ไม่อยากเป็นลมแล้วให้เขาอุ้มมานอนบนเตียงด้วยซ้ำ คนอย่างเขาไม่เคยมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกับเธออยู่แล้วนอกจากสะใจที่เห็นเธอเป็นแบบนี้
ถ้าจะอยู่ที่นี่ให้รอดจนถึงวันสุดท้ายของข้อตกลง เธอคงต้องเลิกเป็นนาเนียร์คนเดิมที่อ่อนไหวและโง่งม หัดเย็นชาเหมือนที่เขาเป็นกับเธอเสมอมา
คิรันออกมายืนสูบบุหรี่ตรงระเบียงห้องนอนเหมือนทุกครั้ง สายตาคมกริบมองออกไปยังวิวตึกที่เริ่มมีความมืดเข้ามาปกคลุม ควันสีเทาลอยหายไปกับสายลมในขณะที่คนตัวโตยืนจมอยู่กับความคิดบางอย่าง
เมืองทั้งเมืองกำลังค่อยๆ กลืนไปกับความมืด แสงไฟจากอาคารสูงสลับกันกะพริบอยู่ไกลลิบเหมือนดวงดาวปลอมที่มนุษย์สร้างขึ้น
เงาสะท้อนตัวเองในกระจกปรากฏขึ้นจางๆ ท่ามกลางม่านควัน และนั่นทำให้เขานึกถึงใบหน้าอีกคนหนึ่งขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
เอแคลร์…
ชื่อที่เขาไม่ได้พูดถึงมานานมากเกือบสามปี อีกทั้งยังสั่งห้ามคนรอบข้างไม่ให้เอ่ยถึง
เอแคลร์เป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาเคยยอมเปิดใจให้จริงๆเธอไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอเหมือนนาเนียร์ เธอฉลาด กล้าหาญ และแข็งแกร่งพอๆ กับเขา มีเสน่ห์แบบที่ไม่ต้องพยายาม และรู้ทันเขาทุกทาง
เธอเป็นเหมือนหุ่นเชิดของตัวเองที่ไม่มีใครควบคุมได้ นั่นคือสิ่งที่คิรันหลงใหล และสุดท้ายก็คือสิ่งที่เขา ‘เสีย’ ไป
ตลอดระยะเวลาคบกันเขาทำแต่งานไม่สนใจเธอ เขาเป็นคนประเภทที่ไม่รู้จักการประคองความสัมพันธ์ และเมื่อเธอเริ่มเหนื่อย เธอก็เดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
เขาเคยทิ้งศักดิ์ศรีเพื่ออ้อนวอนขอให้เธออยู่ พร้อมกับพูดคำที่อีกฝ่ายอยากได้ยินมาโดยตลอดออกไป แต่มันก็สายเกินไป
หลังจากนั้นเขาก็ไม่เปิดใจให้ใครอีก ไม่สนใจจะมีความสัมพันธ์ใหม่ ไม่เชื่อในความรัก ไม่เห็นว่าความผูกพันมีค่าอะไรนัก
เขายังจำคืนที่เธอเดินออกจากห้องของเขาได้ชัดเจน แสงไฟสลัว เงาหลังของเธอที่ค่อยๆ เลือนหายไปกับความมืด และเสียงประตูที่ปิดลงอย่างไม่มีวันเปิดอีกครั้ง
เขาบอกตัวเองว่าไม่รู้สึกอะไร หากแต่ค่ำคืนนี้…เขากลับนึกถึงมันโดยไม่รู้ตัว
เสียงลมหวิวผ่านหูไปอย่างแผ่วเบา เขามองเห็นเงาจางๆ ของตัวเองในกระจก พร้อมกับดวงตาคู่เดิมที่ครั้งหนึ่งเคยมองเอแคลร์ด้วยความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘รัก’ มากที่สุดเท่าที่เขาจะรู้จัก
คิรันโยนก้นบุหรี่ลงในถาดเล็กๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปข้างในห้องนอน
เช้าวันต่อมา
แกร๊ก
ประตูห้องนอนฝั่งนาเนียร์ถูกเปิดออกในตอนเช้า เธอต้ั้งใจตื่นเช้าลงมาใส่บาตรเพราะรู้สึกดีขึ้นมากจากเดิม หลังจากใส่บาตรเสร็จจึงกลับขึ้นมาข้างบน ดวงตาคู่สวยมองคิรันที่กำลังเดินถือถ้วยกาแฟดำเล็กๆ ในสภาพมีเพียงกางเกงนอนตัวเดียว
เธอเดินเลี่ยงเขาไปโดยไม่คิดจะทักทายหรือบอกมอนิ่ง แต่มีหรือที่คนชอบเอาชนะอย่างคิระจะปล่อยผ่านไปง่ายๆ
“ไปไหนมา”
“ลงไปใส่บาตรมาค่ะ”
“หายสำออยแล้วเหรอ”
“…วันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียของพ่อแม่หนู” เธอเงียบไปสักพักกว่าจะยอมปริปากเอ่ยบอกเขาตรงๆ
คิรันยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น สายตาคมเข้มมองตามแผ่นหลังเล็กที่ค่อยๆ เดินหายเข้าไปในห้อง รอยยิ้มเยาะที่เคยประดับอยู่มุมปากเลือนหายไปทันที
ความรู้สึกบางอย่างวิ่งผ่านอกชั่ววูบ ไม่ใช่ความสงสาร แต่เป็นความผิดแปลกที่เขาไม่สามารถอธิบายได้ แม้จะเป็นคิรันคนเดิม แต่เขาก็ยังเป็นมนุษย์…
และเรื่อง ‘ครอบครัวที่เสียไป’ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาเมินเฉยได้ง่ายนัก
ภายในห้องนอนของนาเนียร์ มือเล็กหยิบกรอบรูปเก่าออกมาจากลิ้นชัก มันเป็นภาพครอบครัวใบเล็กที่สีเริ่มซีดจาง แม่ยิ้มสดใส มือข้างนึงของพ่ออุ้มเธอส่วนอีกข้างโอบเอวแม่ รอยยิ้มสดใสของเด็กน้อยในรูปตรงข้ามกับสีหน้าของเธอตอนนี้ราวกับเป็นคนละคน
เธอใช้นิ้วลูบกรอบรูปอย่างเบามือ ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาอีกครั้งแต่ยังไม่ปล่อยให้มันไหล
“หนูคิดถึงพ่อแม่จังเลยค่ะ…” เสียงกระซิบของเธอเบาราวกับสายลม
ในห้องนอนที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาและความคิดในใจที่บอกกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเธอต้องผ่านมันไปให้ได้
เธอเก่งอยู่แล้ว…