หลังจากบทรักอันเร่าร้อนสิ้นสุดลง คิรันก็ทิ้งให้นาเนียร์นอนหมดแรงงบนเตียงคนเดียวโดยปราศจากคำปลอบโยนหรือกอดอบอุ่นจนกระทั่งเช้า…
เปลือกตาที่แนบสนิทเริ่มปรือขึ้นอย่างยากลำบากปรากฏนัยน์ตาคู่สวยที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ทันทีที่สมองกลับมาประมวลผล ความปวดร้าวตามร่างกายพลันวิ่งแล่นเข้ามาเล่นงานอย่างจัง
ว่างเปล่า…
ไร้เงาของคนใจร้ายเมื่อคืน จำได้ว่าหลังจากคิรันเล่นสนุกกับร่างกายกายของเธอจนพอใจแล้ว เขาเดินออกไปจากห้องนอนโดยไม่คิดจะเหลียวแลเธอเลยสักนิดพร้อมกับทิ้งท้ายเอาไว้ว่า…
‘กลับห้องนอนของเธอไปซะ’
และตอนนี้เธอนอนอยู่ห้องตัวเอง นอนมองเพดานตรงหน้าอย่างคนไร้ความรู้สึกพร้อมกับความเจ็บบนร่างกายที่เขาทิ้งเอาไว้
เขาทำราวกับเธอเป็นผู้หญิงอย่างว่า พอหมดหน้าที่ก็ถูกไล่ให้กลับไปในที่ของตัวเอง สถานะ ‘ภรรยา’ ไม่ได้ทำให้เขามองเธอเป็นแบบนั้นนอกจาก…ยัยอ้วนฟันเหยิน
บางทีก็แอบคิดว่าเขาเกลียดอะไรเธอนักหนา หากเป็นเรื่องที่เธอสะดุดล้มเผลอไปชนคิรันจนหน้าจุ่มเค้กวันเกิดจนเรื่องนั้นเธอไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นเลยสักนิด ทุกอย่างเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ และตั้งแต่วันนั้นคิรันก็เกลียดเธอจนแทบไม่อยากนับญาติ พร้อมกับตั้งฉายาให้เธอว่า ‘ยัยอ้วนฟันเหยิน’ จนถึงปัจจุบัน
หลังจากนอนแช่บนเตียงนานสองนาน นาเนียร์ก็ต้องเริ่มประคองร่างอ่อนปวกเปียกให้ลุกออกจากที่นอน สายน้ำเย็นตกกระทบลงร่างบอบบางหากแต่เต็มไปด้วยร่องรอยจากคนใจร้ายอย่างคิรัน
เธอค่อยๆ ใช้มือลูบไล้ร่างกาย ไม่ว่าจะแตะจุดไหนและระวังมากแค่ไหนก็ไม่วายจะรู้สึกเจ็บแปลบ
“ทำไมแกถึงปล่อยให้น้องนอนอยู่เรือนหอคนเดียว” ประมุขของบ้านเอ่ยถามลูกชายคนโตเสียงขุ่น
นึกเอาไว้อยู่แล้วว่าคิรันต้องทำแบบนี้เขาเลยส่งคนไปตามดู และมันก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ คิรินไม่นอนอยู่เรือนหอเกือบหนึ่งอาทิตย์ มิหนำซ้ำยังไม่เลิกยุ่งกับผู้หญิงในสต็อก ไม่รู้จะจัดการกับไอ้ลูกคนนี้ยังไงดีแล้ว
“ผมยอมแต่งงานให้พ่อแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องอื่นผมจะเป็นคนตัดสินใจเอง” เขาตอบกลับพ่อเสียงเรียบ
สายตาคมกริบของคิระเหลือบเห็นรอยข่วนที่ดูคล้ายเล็บตรงคอแล้วหรี่ตาลงอย่างจับผิด
“คอแกไปโดนอะไรมา”
คิรันชะงักแล้วหันกลับมามองหน้าคนเป็นพ่อ ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปแตะดูรอยที่เพิ่งโดนทักท้วงเมื่อครู่ จริงๆ เขาไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าคอมีรอยข่วนหากพ่อไม่พูดขึ้น
“แกทำอะไรน้อง” คิระพุ่งเป้าไปยังนาเนียร์ที่อาจโดนลูกชายกลั่นแกล้งอีกเหมือนเคย เมื่อเห็นคิรันนิ่งเงียบจึงเรียกชื่อเสียงเข้ม “ไอ้คิรัน”
“พ่อก็ไม่ใช่คนที่น่าจะดูรอยพวกนี้ไม่ออก”
“น้องยอมแกไหม” คิระสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อข่มอารมณ์เดือดดาล รับปากกับนวคุณจะดูแลลูกสาวมันให้ดีแต่ไอ้ลูกชายกลับไม่คิดจะทนุถนอมนาเนียร์
“พ่อก็รู้ผมไม่ชอบบังคับใคร ก็แค่…รีบทำให้ยัยนั่นสมยอมไวๆ ก็เท่านั้น”
คิระไม่รู้จะสรรหาคำพูดไหนมาด่าลูกชาย คิรันไม่ต่างจากเงาสะท้อนตัวตนของเขาในอดีต คิดแล้วก็หงุดหงิดที่ด่ามันไม่ได้เพราะเป็นลูกตัวเอง
“ฉันรู้ว่าแกไม่อยากแต่งงานกับหนูนาเนียร์ แต่ในระยะเวลาหนึ่งปีแกช่วยทำหน้าที่สามีน้องเขาให้ดีหน่อยได้ไหม ฉันรับปากพ่อเขาเอาไว้ว่าจะดูแลหนูนาเนียร์ให้ดี แต่แกกลับไม่ให้ความร่วมมือ” คิระพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แกเกลียดหนูนาเนียร์ฉันรู้ แต่ตอนนี้ชีวิตน้องน่าสงสารมาก หลังแต่งงานชีวิตน้องมีแค่แกแล้วนะคิรัน”
คิรันถอนหายใจแล้วกรอกกลิ้งดวงตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย คำพูดของพ่อไม่ได้ผ่านเข้าไปประมวลในสมองทำให้รู้สึกสงสารนาเนียร์มากขึ้นแต่อย่างใด
“ชีวิตใครก็ให้คนนั้นจัดการเอาดิ” ใครจะเป็นยังไงมันไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด “ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อรับผิดชอบชีวิตของใคร โดยเฉพาะยัยเด็กเหลือขอนั่น”
“ฉันเหนื่อยจะพูดกับแกแล้วจริงๆ”
“ผมสงสัย ทำไมพ่อถึงดูทุ่มเทให้ยัยนั่นทั้งที่ไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ”
“เพราะนวคุณเคยช่วยเหลือครอบครัวพวกเรา ถ้าไม่มีเขา ป่านนี้ฉันคง…พาครอบครัวของเราผ่านจุดนั้นมาไม่ได้”
คิรันไม่พูดอะไรต่อนอกจากคว้าแก้วน้ำเย็นๆ มาดื่มดับอารมณ์หงุดหงิดข้างใน ระยะเวลาหนึ่งปีไม่ต่างอะไรจากอยู่ในห้องขัง โดนจำกัดทุกอย่างจนกว่าจะครบสัญญา…
ช่วงเย็นที่เพนท์เฮาส์
นาเนียร์ป้อนยาเข้าปากเพราะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายกับไม่สบาย ร่างบางเดินออกมาดูวิวพระอาทิตย์ตกดินอยู่มุมหนึ่งของเพนท์เฮาส์หรูราคาหลายร้อยล้าน แสงสีส้มที่ส่องเข้ามาทำให้บรรยากาศดูเงียบเหงา ท้องฟ้าตอนนี้เป็นสีชมพูสวยงาม เรียกรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าสวยหวานให้เผยขึ้น
ชีวิตใหม่ที่ ‘เกือบจะดี’ หากคนที่แต่งงานด้วยไม่ใช่คิรัน
ตอนนี้คงฝืนทำหน้าที่ภรรยาจนกว่าจะครบหนึ่งปี แต่เมื่อไหร่กันนะที่วันนั้นจะมาถึง หนึ่งปีนานเหมือนกันนะ
แกร๊ก…
เสียงปลดล็อกประตูทำให้เธอเอี่ยวตัวกลับไปมอง ร่างสูงของคิรันเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เธอคิดว่าวันนี้เขาคงไม่กลับมาหากแต่ผิดคาด คิรันเดินผ่านเธอไปยังห้องนอนตัวเองโดยไม่พูดอะไร ส่วนเธอเองก็ไม่คิดจะเริ่มปริปากทักทาย
ครืด ครืด
โทรศัพท์ในมือส่งเสียงแผดร้อง เธอยกขึ้นมาดูพบว่าเป็นเบอร์ที่ป้าใช้โทรมาในคืนวันแต่งงาน มองเบอร์ที่โชว์หลานานสองนานจนกระทั่งสายถูกตัดไปเองอัตโนมัติ และก็โชว์ขึ้นมาอีกครั้ง เป็นแบบนั้นอยู่ประมาณสามครั้งก็เงียบลงไปไม่โทรมาอีก
เธอรู้ว่าป้าโทรมาทำไม คงหนีไม่พ้นเรื่องขอเงินอีกเหมือนเดิม
“เมื่อคืนเธอลืมเก็บนี่ไปด้วย”
นาเนียร์ที่กำลังมองวิวพระอาทิตย์ตกดินหันกลับไปหาเจ้าของเสียงเมื่อครู่ ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อเห็นกางเกงในของตัวเองคล้องอยู่นิ้วเรียวยาว เธอรีบก้าวยาวๆ เข้าไปหมายจะเอาคืนมา
พรึ่บ!
คิรันดึงกลับก่อนที่มือเล็กจะคว้าทัน
“เอาคืนมานะคะ”
“ลืมหรือว่าตั้งใจทิ้งไว้ให้ฉันดูหืม” ทีแรกเขาไม่เห็นกางเกงในของนาเนียร์จนกระทั่งเข้าห้องไปแล้วทำของตก จึงเห็นมันวางอยู่พื้นใกล้เตียง
“หนูลืม” เธอพูดเสียงเบา แก้มร้อนวูบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เธอไม่ใช่คนโรคจิตที่จะทิ้งของแบบนั้นไว้จงใจยั่วใคร แต่เธอก็ไม่คิดว่าเขาจะเก็บเอามาพูดหน้าตาเฉยแบบนี้
คิรันมองใบหน้าที่แดงจัดด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะขยับเข้าใกล้อีกนิด นิ้วยาวยังคงคล้องผ้าชิ้นเล็กไว้อย่างถือสิทธิ์
“แน่ใจเหรอว่าแค่ลืม หรือว่าเมื่อคืน…รีบกลับไปจนไม่ได้ใส่กลับด้วยซ้ำ?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ย ทั้งเย็นชา ทั้งเหยียดหยามพอๆ กับสายตา
นาเนียร์ชะงัก ดวงหน้าสวยแดงจัดทันทีเมื่อเห็นกางเกงในสีอ่อนของตัวเองถูกเขาคล้องไว้กับนิ้วแล้วเหวี่ยงไปมาเหมือนของไร้ค่า
“พะ…พี่คิรัน!” เธอแห้วเสียงใส่เขาด้วยหัวใจที่เต้นแรง ไม่รู้ว่าระหว่างความอายหรือความโกรธที่กำลังกลืนกินอยู่มากกว่ากัน
“อย่าบอกนะว่าทิ้งไว้ให้ฉัน หวังให้ฉันเ****นขึ้นมาอีก?”
“ปะ…เปล่านะคะ หนูลืมจริงๆ” เธอรีบตอบกลับทันควัน “คืนให้หนูเถอะนะคะ”
“เข้ามาเอาเองสิ” เขาถอยออกห่างนาเนียร์สองก้าว รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นตรงมุมปากอย่างร้ายกาจ
นาเนียร์ยืนมองกางเกงในของตัวเองในมือคิรันอย่างลังเล สุดท้ายก็ก้าวเข้าไปใกล้เพื่อเอาสิ่งนั้นคืนมา แต่อีกคนก็เจ้าเล่ห์เกินคำบรรยายไม่ยอมคืนให้ง่ายๆ เขาซ่อนไว้ข้างหลังทำให้เธอต้องขยับเข้าใกล้อีกนิดจนร่างกายแนบชิด มือเล็กพยายามแย่งกางเกงในของตัวเองคืนมาแต่ดูเหมือนจะเหนื่อยเปล่า
จังหวะที่พยายามแย่งกางเกงในคืนมา ร่างกายที่ปวดร้าวเพราะบทรักเมื่อคืนก็เกิดขาอ่อนเปลี้ย ทำให้เซถลาเข้าไปใกล้เขามากขึ้นจนต้องรีบใช้มือเกาะไหล่แกร่งเพื่อประคองตัวเองตามสัญชาตญาณเอาตัวรอด
“อยากอยู่ใกล้ฉันก็ไม่บอก” คนตัวโตก้มมองนาเนียร์ด้วยแววตาร้ายกาจ
“มะ…ไม่ใช่สักหน่อย” เธอพูดพร้อมกับรีบดีดตัวออกห่างจากเขา “หนูแค่ขาอ่อน”
“หึ! เอาคืนไป” เขาโยนกางเกงในคืนนาเนียร์โดยไม่สนใจว่ามันจะตกพื้นหรือเปล่า จากนั้นเดินไปยืนหน้ากระจกใสที่สามารถมองเห็นวิวตึกช่วงเย็น “ฉันลืมบอกเธอไปเรื่องนึง”
“เรื่องอะไรคะ”
“ฉันไม่ได้ให้แม่บ้านมาทำความสะอาดที่นี่แล้ว”
“ทำไมเหรอคะ” เธอเลิกคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ จำได้ว่าคุณลุงคิระกับคุณป้าคาร์เทียร์ให้คนมาทำความสะอาดที่นี่สองคนอาทิตย์ละสองครั้ง
คิรันหมุนตัวกลับไปมองนาเนียร์ที่ยืนอยู่โถงกลางห้องด้วยสีหน้างุนงง ก่อนที่ริมฝีปากหยักได้รูปจะขยับตอบคำถามของอีกคน
“เพราะต่อไปนี้มันจะเป็นหน้าที่ของเธอ”
“หน้าที่หนู?”
“อาฮะ” เขากอดอกมองนาเนียร์แล้วยกยิ้ม “คิดว่าฉันจะให้เธอมานั่งกินนอนกินอย่างสบายใจงั้นเหรอ หึ! ฉันไม่ใจดีขนาดนั้นหรอก”
“หนูทำได้ค่ะ” เธอไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ตอนอยู่กับป้าเธอก็ทำทุกอย่างเองมาโดยตลอด แค่เปลี่ยนจากบ้านหลังเล็กๆ เป็นเพนท์เฮาส์หรูที่ใหญ่และกว้างกว่าก็เท่านั้น
เพียงเสี้ยววินาทีแววตาคมกริบฉายความไม่พอใจ ด้วยความที่เป็นคนชอบเอาชนะอยู่แล้วจึงหาทางต้อนนาเนียร์ให้จนมุม
“งั้นก็เริ่มตอนนี้เลยสิ”
“แม่บ้านเพิ่งมาทำความสะอาดไปเมื่อวานเองนะคะ”
“ฉันชอบความสะอาด ต้องทำความสะอาดทุกวัน”
“วันนี้หนูรู้สึกไม่สบาย เดี๋ยวพรุ่งนี้ทำให้นะคะ”
“ฉันบอกว่าตอนนี้” เสียงของเขาเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง ใบหน้าปราศจากความเห็นใจใดๆ ทั้งสิ้น
เธอเม้มปากแน่น คนอย่างคิรันหาความดีในพจนานุกรมไม่ได้เลยจริงๆ เธอไม่พูดอะไรต่อจากนั้น ก้าวขาเดินออกไปเพื่อทำความสะอาดตามที่เขาต้องการ
คิรันรู้ดีว่าเพนท์เฮาส์สะอาด เพียงแค่เขาต้องการกลั่นแกล้งเธอก็เท่านั้น
ทนได้ก็อยู่
ทนไม่ได้…ก็ไป