[ต่อจากตอนที่แล้ว]
"นัยน์รู้ได้ยังไง!"
นิรชายังไม่เคยเรื่องนี้ให้กับใครฟังเลยสักคนแม้แต่เพื่อนสนิทอย่างหล่อนก็ไม่เคยเล่าให้ฟังเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว นัยน์นภายิ้มอย่างรู้ดี
"ก็พ่อของฉันเคยเป็นศัตรูกับคนพวกนั้นนะสิ แล้วก็รู้ด้วยว่าตอนนี้ลูกชายคนสุดท้องของบ้านนั้นยังไม่มีคู่ครองและอีกอย่าง ฉันก็เคยเจอคุณเซบาสเตียนในงานโชว์เครื่องเพชรเมื่อ5ปีก่อนอีกด้วย"
"อย่างนี้นี่เอง นิดเข้าใจแล้วล่ะ"
นิรชาพยักหน้ารับรู้เรื่องราวที่ยัยนัยน์เล่าอย่างเข้าใจดี ดูท่านางจะสนใจเขาออกนอกหน้านอกตา หรือว่า
"ว่าแต่นัยน์ถามถึงเขาอย่างนี้แสดงว่านัยน์ชอบเขางั้นเหรอจ๊ะ" เอ่ยถามเพื่อนสนิทต่อด้วยความสงสัย มันก็เป็นอีกทางที่จะทำให้หาข้ออ้างไม่ให้เราแต่งงานกับคนใจร้ายนั่นได้
"ชอบ? พูดอะไรออกมายัยนิด ฉันนี่นะจะไปรักคนที่เพื่อนรักกำลังจะแต่งงานด้วยกัน ฉันยินดีและอยากให้เธอมีความสุขกับมันนะ" นัยน์นภายิ้มกลบเกลื่อนแล้วทำสีหน้าเป็นปกติ
"แต่ฉันกับเขาแค่แต่งงานกันเพราะทางผู้ใหญ่หมั้นหมายเอาไว้ ก็เลยต้องทำตามสัญญา ฉันกับเขาไม่ได้รักกันเลยสักนิด"
"ฉันเข้าใจเธอนะนิด แต่ฉันก็ไม่รู้จะช่วยเธอยังไง" นัยน์นภาก็หมดหนทางที่จะช่วยเราที่ไม่ให้แต่งงานกับคนที่ทำลายชีวิต
อภัยให้ไม่ได้...
"ฉันคิดว่าเธอคงต้องยอมแต่งกับเขาไปก่อน แล้วรอเวลาสักหนึ่งเดือนแล้วก็บอกว่าเธอกับเขาไม่มีทางอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป จากนั้นเธอก็จะได้หย่ากับเขายังไงแหล่ะ" แววตาร้ายลึกของเพื่อนสนิททำให้หนูนิดไม่เห็นเจตนาแอบแฝงว่านัยน์นภากำลังคิดอะไรอยู่!
"อืม นิดจะลองเอาไปคิดดูนะ ขอบใจนัยน์มากที่คอยแนะนำเพื่อนคนนี้"
"ฉันก็เห็นนิดเป็นเสมือนครอบครัวเดียวกัน ถึงยังไงเราสองคนก็ยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่ดี"
"เราสองคนจะเป็นเพื่อนสนิทกันตลอดไปนะนัยน์"
เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าตกลง นิรชาดีใจมากที่ไม่ได้อยู่คนเดียวพลางเข้าไปสวมกอดเพื่อนรักที่สุดในชีวิต
แต่กลับไม่รู้ว่าสีหน้าของคนเป็นเพื่อนรักมีสายตาแข็งกระด้างพร้อมกำมือแน่นจนเส้นเลือดโปดปูนขึ้นมาเห็นได้ชัดพลางคิดแผนการร้ายลึกในใจเงียบๆแต่ยิ่งใหญ่
'เจ้าสาวของเขาต้องเป็นฉัน ไม่ใช่แก นังนิด!'
.
.
.
Talk เซบาสเตียน
"ผมอยากจะจัดงานแต่งงานของผมกับหนูนิดให้เร็วที่สุด คุณแม่จัดการให้ผมตามที่ต้องการได้ไหมครับ"
วันนี้ที่พูดคุยกับคู่หมั้นทำให้เซบาสเตียนรู้ว่าต้องไม่ปล่อยให้เธอหลุดมือไปเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะเสียเธอคนนี้ไปตลอดกาล
"โอ้ นี่เป็นคนแรกและคำพูดครั้งแรกที่แม่อยากได้ยินมานานตั้งแต่ลูกชายคนโตยันลูกคนสุดท้อง แม่ปลื้มปิติมากเลยที่แกยอมแต่งงานกับคู่หมั้นคนที่แม่หาไว้ให้สักที" มาดามแพทเบิกตาโตแอบตกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าคำพูดเหล่านั้นจะหลุดจากปากลูกชายโดยที่ไม่ได้บังคับแต่อย่างใด
"คุณแม่ต้องรีบจัดการให้ผมโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นผมจะไม่กลับมาเหยียบบ้านนี้อีก"
"ไม่ต้องขู่ แม่ก็เร่งรีบจัดการหาฤกษ์ยามงานดีให้ลูกเซบาสให้เร็วที่สุด เดือนหนึ่งดีไหม"
"มันช้าไปครับ ดีที่สุดแต่ง2อาทิตย์เลย ผมใจร้อน เดี๋ยวจะตามพวกพี่ๆไม่ทันครับ"
"แหม ลูกชายของแม่แต่ละคนใจร้อน เดือดดาลไม่ยอมกันเลยสักคน แล้วว่าที่เจ้าสาวล่ะเขาจะไม่ว่าอะไรหรอกที่ปุ๊บปั๊บแล้วแต่งเลยเนี่ย"
"ไม่หรอก เพราะเธอคงอยากแต่งงานกับผมให้เร็วที่สุด" เขาคิดแทนหนูนิดเองทุกอย่างเพราะถึงยังเธอก็ต้องเป็นของเขาอยู่ดี
"งั้นแกก็นอนหลับให้สบายใจเสียเถิด เดี๋ยวแม่จะโทรไปบอกทางฝ่ายโน้นเองว่าให้เลื่อนงานแต่งเข้ามาหน่อยนิด" คุณแม่แพทยิ้มอ่อนหวานก่อนจะออกไปจากห้องนั่งเล่น ทำให้เขาหัวใจพองโตอารมณ์ดีมากเมื่อได้ยินข่าวดีแบบนี้
"ครับคุณแม่"
_______________
[สองวันต่อมา]
"พอดีว่าดิฉันกับคุณรักษ์ต้องกลับไปดูแลและบริหารงานที่เมืองไทย ก็เลยฝากให้คุณเซบาสกับคุณแม่แพทดูแลยัยนิดด้วย อ้อ แล้วก็ยัยนัยน์เพื่อนสนิทของยัยนิดก็ขออยู่กับยัยนิดที่นี้ด้วย ดิฉันขอฝากลูกสาวทั้งสองคนด้วยนะคะคุณมาดามแพท"
"ฉันจะดูแลลูกสาวของคุณหญิงมาลาตีกับคุณรักษ์ให้ดีที่สุดเหมือนกับลูกสาวแท้ๆของฉันเลยล่ะค่ะ" เมื่อมาดามรับปากว่าจะดูแลให้ดีที่สุดทำให้พวกท่านสบายใจแล้วขอตัวกลับไปที่เมืองไทย โดยบินเครื่องบินในอีกไม่กี่ชั่วโมง
"คุณพ่อคุณแม่"
นิรชาวิ่งเข้ามากอดพวกท่านด้วยความรู้สึกใจหายแถมตอนนี้ยังคิดถึงลูกสองแฝดอีก ป่านนี้มาร์วินกับม่านฟ้าจะบ่นคิดถึงแม่นิดหรือเปล่า
"ไม่เป็นไรนะลูกนิด จะแต่งงานมีสามีอยู่แล้วทั้งทีมาทำเป็นเด็กขี้แยแบบนี้ไม่ได้นะ ลูกเป็นแม่คนแล้วต้องทำเข้มแข็ง ส่วนเจ้าสองแฝดพ่อแม่จะดูแลพวกแกเป็นอย่างดี ไม่ต้องเป็นห่วง" เราสามคนพ่อแม่ลูกยืนคุยกันอยู่หน้าบ้านตามลำพัง ไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครเข้ามาได้ยิน
"ลูกอยู่ที่นี่ก็ควรดูแลตัวเองให้ดีด้วยนะ ลูกรู้ใช่ไหมว่าจะต้องเป็นภรรยาที่ดีต่อสามี เมื่อลูกนิดแต่งงานแล้วก็จะรู้ว่าชีวิตคู่มันเป็นยังไง" คุณพ่อเข้ามาลูบหัวลูกสาว
"ค่ะพ่อ นิดจะดูแลตัวเองให้ดี ฝากบอกคิดถึงแก่เจ้าสองแฝดด้วยนะคะ"
"จ๊ะลูกนิด" ภาพสามคนพ่อแม่ลูกต่างกอดอำลากันกลมทำให้คนที่เพิ่งจะเข้ามาเห็นก็แอบอมยิ้มเบาๆพลางมองดูเธออยู่ห่างๆ
ตัวเล็กเพียงแค่นี้แต่เข้มแข็งกว่าเขาอีกหลายเท่า!
.
.
.
นิรชาเข้ามาข้างในบ้านหลังใหญ่ด้วยความใจหายไม่น้อยที่ต้องอยู่บ้านใหม่ด้วยตัวคนเดียว ตอนนี้มีแต่นัยน์นภาคนเดียวที่พอจะพึ่งพากันได้
คิดถึงลูกสองแฝดอย่างสุดหัวใจ...
"มายืนแอบร้องไห้ตรงนี้นี่เอง" เสียงเข้มที่คุ้นหูดีทำให้เรารีบเช็ดน้ำตาลวกๆออกก่อนจะปรับสีหน้าหม่นเศร้าเผชิญหน้ากับเขา
"คุณมีอะไรเหรอคะ ถ้าไม่มีอะไร ฉันขอตัวขึ้นไปหายัยนัยน์ที่ห้องก่อนนะคะ" น้ำเสียงห่างเหินเรียกเขา แอบทำให้เขาหงุดหงิดใจที่เราทำตัวกับว่าเกลียดเขาเข้าไส้
"อย่าเพิ่ง คุยกับฉันก่อน เรากำลังจะแต่งงาน เธออย่าทำตัวหมางเมินใส่ฉันแบบนี้สิ หนูนิด" เขาเข้ามาคว้าข้อมือเราเอาไว้
"ปล่อยฉันนะ คุณจะมาทำแบบนี้กับฉันไม่ได้ เพราะฉันก็ไม่อยากแต่งงานกับคนที่ฉันเกลียด คุณไม่มีสิทธิ์มาจับตัวฉันได้ตามใจชอบ"
"สิทธิ์ของความเป็นผัวไง เธอลืมไปแล้วเหรอว่าเราสองคนมีอะไรกันที่ร้อนแรงสุดติ่ง แค่นี้ทำไมจะแตะต้องไม่ได้" เขากระซิบข้างหูเราเอาไว้ไม่ให้ลืมเรื่องคืนนั้น
จะให้ลืมได้ยังไง ในเมื่อมันเป็นตราบาปที่ตามหลอกลอนเราทุกค่ำคืน....
"นี่คุณเซบาส!"
"ถึงยังไงเธอก็ต้องแต่งงานกับฉันอยู่ดี เธอหนีความจริงข้อนี้ไปไม่พ้นหรอก...นิรชา" เขายิ้มเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการพร้อมฉวยโอกาสเข้ามากอดเราโดยไม่ทันตั้งตัว
"นี่คุณปล่อยเดี๋ยวนี้ เผื่อมีคนมาเห็นจะว่ายังไง" ร่างบางพยายามดิ้นขัดขืนสุดแรงเพื่อสลัดออกจากอ้อมแขนของเขา แต่เขากลับรัดตัวแน่นจนเกือบหายใจไม่ออก
"ไม่มีใครเดินมาป้วนเปี้ยนแถวนี้หรอก เชื่อฉันหน่อยสิหนูนิดที่รัก"
อีกมุมไกล นัยน์นภากำลังจะตามเพื่อนกลับห้องแต่กลับมาเจอภาพที่เพื่อนรักกำลังยืนกอดกลมกับผู้ชายที่เป็นคู่หมั้นที่เธอแอบชอบอยู่ สองมือเรียวทั้งสองข้างกำมือแน่นด้วยแววตาริษยาในใจ
"อะไรที่ฉันอยากได้ มันก็ต้องได้!"