"คุณคะคุณ คุณคะ” บุณณดาร้องเรียกคนที่ช่วยเธอไว้จากผู้ชายหน้าม่อ สองขาสั้นๆ รีบเร่งเดินเข้ามาหาชายที่หมายปองตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ไม่รู้เพราะชอบจนหน้ามืดตามัวหรือเพราะสมองมีแอลกอฮอล์ควบคุมถึงได้ใจกล้าวิ่งตามผู้ชายออกมาแบบนี้ แต่จะอะไรก็ช่าง เธอไม่สนใจ สิ่งที่สนใจคือชายตรงหน้า
“ว่าไงครับ” คนถูกเรียกหันกลับมามองพร้อมทั้งส่งยิ้มให้อย่างผู้ชายอัธยาศัยดี ที่รับประทานผู้หญิงเป็นอาหาร
“เมื่อกี้ฉันลืมขอบคุณคุณค่ะ พอดียังเอ๋อๆ อยู่ก็เลยคิดไม่ทัน” ชายหนุ่มโปรยยิ้มทรงเสน่ห์ให้อย่างตั้งใจ พลางพยักหน้ารับ
เขาจะรู้ไหมว่ารอยยิ้มของเขากำลังจะทำให้คนมึนเมาหลอมละลายกลายเป็นเถ้าธุลีอยู่ตรงนี้ หล่อ ละมุน กระชากใจ ชวนหวั่นไหว อยากจะยื่นมือเข้าไปจับใบหน้าหล่อเหลานั้นไว้ และโน้มลำคอแกร่งลงมาจูบสักที
เย็นไว้ต้องเย็นใจ หายใจเข้าลึกๆ อย่าวู่วาม อย่าวู่วาม
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่...คุณไม่ถูกผู้ชายคนนั้นทำร้ายใช่ไหมครับ”
“ไม่ค่ะ”
“งั้นก็ดีแล้วครับ ต่อไปก็อย่าซ่าแบบเมื่อกี้อีกนะ มันอันตรายเกินไปรู้หรือเปล่า ยิ่งมาคนเดียวยิ่งต้องระวัง ผู้ชายสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้ ยิ่งในสถานที่แบบนี้ยิ่งไม่ได้เลยครับ”
“แล้วคุณไว้ใจได้ไหมคะ...อุ๊ป!!” บุณณดายกมือขึ้นมาตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความอาย เมื่อเผลอพูดตามจิตใต้สำนึกของตัวเองออกไป
ส่วนคนถูกถามเลิกคิ้วเข้มขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มของเสือร้ายชวนละลายปรากฏชัดบนใบหน้า เมื่อพินิจคนตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน พบว่าหญิงสาวตรงหน้านั้นสวยสะดุดตา ไหนจะรูปร่างอรชรที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชุดรัดรูปสีดำนี่อีกล่ะ ช่างน่าค้นหาเสียจริง จะได้ไหมนะ ถ้าเขาอยากจะพาเธอไปพิสูจน์ความจริง
“ถ้าคุณอยากรู้ว่าผมไว้ใจได้ไหม ก็คงต้องลองพิสูจน์ดูเองนะครับ” เพราะแอลกอฮอล์เริ่มครอบคลุมสติมากไปกว่าครึ่ง หรือเพราะกำลังถูกท้าทายและเชิญชวนอยู่ในที บุณณดาจึงลืมหมดสิ้น ว่าชายตรงหน้าที่เธอเคยเจอวันนั้นมากับผู้หญิงและอาจจะเป็นแฟนของเขาก็เป็นได้
ร่างบางเดินเข้ามาใกล้ หยุดยืนอยู่ตรงหน้า นิ้วเรียวจิ้มจงบนแผ่นอกกว้างผ่านเสื้อยืดสีดำธรรมดาที่ไม่ธรรมดา เพราะแค่มองผ่านๆ ก็รู้ว่าราคาของเสื้อตัวนี้เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
“แล้วต้องพิสูจน์แบบไหนคะ ถึงจะรู้ว่าไว้ใจได้หรือไม่ได้” คนถูกถามเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ สายตาคมทอดมองหญิงสาวทอประกายระยิบระยับดุจดวงดาวนับร้อยอยู่ในนั้น ใช้นิ้วชี้ม้วนผมของหญิงสาวเล่น
“พิสูจน์แบบตัวต่อตัว เสี่ยงหน่อย แต่ผมว่าคุ้ม” ใบหน้าสวยพยักหน้ารับ วางฝ่ามือลงบนแผ่นอกกว้างที่แน่นเปรียะด้วยมัดกล้าม เลื่อนขึ้นมาโอบรอบลำคอแกร่ง ช้อนสายตาขึ้นมองโดยไม่รู้เลยว่าตัวเองได้เผลอแสดงกิริยาท่าทางยั่วยวนออกไป ให้เสือตรงหน้าอยากขย้ำมากแค่ไหน
“ฉันจะเสียเปรียบไหม จะขาดทุนหรือเปล่า” คนถูกถามหัวเราะขบขัน นี่เขากำลังคุยกับหญิงสาวนักเที่ยว หรือคุยกับนักธุรกิจกันแน่ ถึงได้คำนึงถึงเรื่องขาดทุนหรือได้กำไร
“ผมจะทำให้คุณเต็มอิ่ม เกินคำว่าได้กำไรอีกครับ”
“แล้วคนของคุณ”
“มีแค่ผมกับคุณ ไม่มีใครทั้งนั้น” มือหนาประคองใบหน้าสวยใช้หัวแม่มือเกลี่ยแก้มใส
บุณณดากลืนน้ำลายอึกใหญ่ กับรอยยิ้มมุมปากดูมีเสน่ห์ของเขา นัยน์ตาคมทอประกายแพรวพราวระยิบระยับดั่งดวงดาวทอแสงบนนภาที่มืดสนิท ช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน เหมือนตัวเองกำลังหลงระเริงกับอะไรบางอย่างที่หาทางออกไม่เจอ มีแต่อยากเดินเข้าไปหาตามคำเชิญชวนของเขา
ลืม...ลืมว่านี่คือสิ่งที่เธอไม่ควรกระทำมากที่สุด ที่มายืนพูดคุยกับชายแปลกหน้า แต่ทำไมหัวใจกลับสั่งสมองว่าเขาสามารถไว้ใจได้ เธอสามารถไว้ใจและฝากชีวิตไว้กับผู้ชายคนนี้ได้ ทั้งที่เพิ่งเจอกันแค่สองครั้งเท่านั้น ทำไมเธอถึงไม่กลัวเขา ทำไมเธอถึงไม่ขยะแขยงเขาเหมือนขยะเเขยงผู้ชายคนนั้น แต่กลับอยากให้เขาอยู่ใกล้แบบนี้
นี่มันอะไรกัน...
“ผมเพิ่งได้ไวน์มาจากฝรั่งเศส คุณสนใจอยากลองชิมดูไหม”
“ที่ห้องคุณ?” ถามหยั่งเชิงออกไป
“ไวน์อยู่ในรถ คุณอยากชิมที่ไหนได้ทั้งนั้น ห้องคุณเป็นไง เพื่อความสบายใจของคุณ”
“คิดอะไรไม่ดีกับฉันหรือเปล่า”
“ก็คุณน่าคิด หรือว่าคุณไม่สะดวกให้ผมคิดก็ไม่เป็นไร สวยแบบคุณคงมีแฟนแล้วแน่ๆ ก็ดีเหมือนกัน ผมยังไม่อยากกินบาทาใครตอนนี้ งั้นขอตัวนะครับ” ผละตัวออกห่างโค้งศีรษะให้บุณณดาเล็กน้อยและส่งยิ้มให้ จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปยังรถของตัวเอง
โดยมีคนที่บอกว่าตัวเองมีแฟนมองตามหลังไปอย่างชั่งใจว่าจะเอายังไงต่อดี ปล่อยไปไหมหรือว่ายื้อเวลาดีๆ แบบนี้ให้อยู่ต่อ
“ฉันไม่มีแฟน” เสียงร้องตะโกนตามหลังมาทำให้เท้าของชายหนุ่มชะงักลง ร่างสูงหมุนตัวกลับมาหาเจ้าของประโยคด้วยรอยยิ้มดีใจ
“ฉันอยากกินไวน์ที่โรงแรมวิรชัชกุล คุณจะว่ายังไง” ชื่อโรงแรมที่หญิงสาวเอ่ยออกมาเรียกให้คิ้วเข้มขมวดเข้ากันเล็กน้อย โรงแรมดังระดับห้าดาวเสียด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้คัดค้านอะไรออกไป
“ได้ครับ”
“ขอไปรถคุณได้ไหม ฉันดื่มไปตอนนี้เริ่มมึนๆ ไม่อยากขับรถ” ไม่รู้ว่าจะเป็นการอ่อยเบอร์แรงไปไหม แต่ปากเจ้ากรรมก็ดันไวกว่าสมองที่คิดอะไรไม่ค่อยออก ทำให้พูดอะไรแบบนั้นออกไป
“ได้ครับ” มือหนายื่นมาตรงหน้า พลางส่งยิ้มบางให้บุณณดา มีหรือที่บุณณดาจะปฏิเสธได้ลง วางมือลงบนฝ่ามืออบอุ่นให้ชายหนุ่มจับเดินไปยังรถ
การได้เดินเคียงคู่ไปกับใครสักคน ได้มีใครสักคนจับมือเดินไปแบบนี้ มันให้ความรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง มันอบอุ่นแบบนี้นี่เอง
ยังไม่ทันไร ความเพ้อฝันก็เข้ามาแทรกซึมในความคิดเสียแล้ว ช่างเป็นอะไรที่บ้าสิ้นดี
เมื่อมาถึงโรงแรมบุณณดาก็ให้ชายหนุ่มเป็นคนเข้าไปเช็กอิน ส่วนตัวเองก็นั่งตัวเล็กหลบมุมอยู่ที่ล็อบบี้ เพราะกลัวพนักงานเห็น แต่ถ้าจะให้เธอไปที่อื่นก็กลัวจะไม่ปลอดภัย หากผู้ชายคนนี้คือฆาตกรโรคจิต อย่างน้อยเธอก็ได้ตายในโรงแรมของตัวเอง
ร่างสูงเดินยิ้มกลับมาหาหญิงสาวพร้อมทั้งยื่นมือมาให้บุณณดาจับไว้อีกครั้ง
“เรียบร้อยแล้ว คุณเดินไหวไหม หน้าคุณเเดงมาก” บุณณดาพยักหน้ารับ ไม่รู้ที่แดงนั้นเกิดจากความเมาหรืออายกันแน่ แต่ก็รีบวางมือลงบนมือหนาเดินเคียงข้างเข้าไปด้านในกับชายหนุ่ม ตรงไปลิฟต์เพื่อไปยังห้องที่เปิดไว้
ห้องสวีทรูมสุดหรูมีเตียงนอนขนาดคิงไซต์ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง บุณณดามองเตียงนั้นด้วยใจอันระทึก ลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ รู้สึกมือไม้เย็นเฉียบแสดงอาการประหม่าออกมาอย่างชัดเจน ความคิดตีกันวุ่นวาย ว่าจะทำตัวเป็นผู้หญิงใจง่ายให้ผู้ชายที่เจอกันเพียงสองครั้งเชยชมจริงหรือ ครอบครัวรู้เข้าจะเสียใจไหม ทุกคนจะผิดหวังในตัวเธอหรือเปล่า
แต่อีกใจก็ร้องค้านว่าเขานั้นคือเนื้อคู่ที่รอคอยมานาน จะปล่อยเขาหลุดมือไปหรือไร อีกอย่างอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วไหมยี่สิบห้าปีแล้วนะ สามารถตัดสินใจอะไรเพื่อตัวเองได้แล้ว อีกอย่างเธอกับเขาก็เจอกันถึงสองครั้งสองครา
ครั้งแรกอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ครั้งที่สองคงเรียกว่าบุพเพสันนิวาส ที่พาเขาและเธอมาเจอกัน เพราะฉะนั้นยังต้องลังเลอะไร หากเสียตัวให้เขาตื่นเช้ามาก็รวบหัวรวบหางมัดมือชกเอาเขาทำสามีไปเลยจะยากอะไรนั่น
ส่วนชายหนุ่มที่ยังทำตัวตามสบาย เดินโอบเอวคอดของหญิงสาวที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดให้ไปนั่งลงที่โซฟา จากนั้นก็จัดการหยิบไวน์ที่ตัวเองถือติดมือมาเปิดและเทใส่ลงแก้ว เดินกลับเข้ามาหาหญิงสาวที่นั่งตัวตรงรออยู่
“ไวน์ครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ยื่นมือไปรับมาถือไว้ ชายหนุ่มจึงยื่นแก้วมาตรงหน้า แก้วไวน์สองแก้วชนกันเกิดเสียงดังขึ้นเบาๆ ก่อนทั้งคู่จะยกขึ้นจิบ
“ผมไม่คิดเลยว่าคนสวยอย่างคุณจะไม่มีแฟน” อย่าว่าแต่เขาเลยที่ไม่เชื่อ เธอเองก็ยังไม่เชื่อเหมือนกันว่าตัวเองจะไม่มีแฟน พูดแล้วก็นึกโมโหให้โชคชะตา ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแล้ว ชายหนุ่มจึงรินให้ใหม่
“คนสวยโสดบ้างไม่ได้เหรอคะ อีกอย่างถ้าฉันมีแฟน คุณกับฉันก็คงไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ด้วยกัน” ชายหนุ่มยิ้มมุมปากพยักหน้ารับ วางแขนแกร่งไปตามพนักพิงของโซฟาคล้ายกับกำลังโอบกอดหญิงสาวทางอ้อม
“นั่นสินะ”
“แล้วคุณล่ะคะ ไม่รู้สึกผิดต่อแฟนตัวเองบ้างเหรอ ที่มานั่งกับผู้หญิงคนอื่นอยู่ตรงนี้”
“ไม่นี่ครับ” ไหวไหล่ตอบออกมาอย่างไม่ยี่หระ
“ทำไมใจร้ายกับแฟนตัวเองจัง ฉันชักจะสงสารแฟนคุณขึ้นมาแล้วสิ”
“ทำไมคุณพูดเหมือนเราเคยเจอกันมาก่อน และยังรู้ด้วยว่าผมมีแฟนหรือไม่มีแฟน” นี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มเอะใจอยู่บ้าง เพราะรู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้าจะเอ่ยถามถึงเรื่องแฟนกับเขาถึงสองครั้งสองคราด้วยกัน
“ใช่ค่ะ ฉันเคยเจอคุณมากับแฟน แต่คุณคงจำฉันไม่ได้ ช่างมันเถอะค่ะ อย่าไปสนใจเลย” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ พยายามคิดย้อนกลับไปว่าตนนั้นเคยเจอหญิงสาวมาก่อนหรือไม่ ทว่าคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก หรืออาจจะเจอกันแบบผ่านๆ แล้วเขาไม่เห็นเธอแต่เธอเห็นเขาก็อาจจะเป็นไปได้
“แต่ตอนนี้ผมโสด ผมไม่มีใคร” ความดีใจกระแทกเข้าที่หัวใจของบุณณดาจนตั้งตัวแทบไม่ทัน มันอัดกระแทกเข้าหน้าอกจนเธอคับแน่น หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำตึกตักอย่างบ้าคลั่ง เรียวปากสวยแย้มรอยยิ้มดีใจ ที่ชายตรงหน้าเลิกรากับแฟนไปแล้ว ไม่คิดเลยหรือไรว่านั่นอาจจะเป็นเพียงลมปากตอนอยู่กับผู้หญิงอีกคน ทำให้เธอตายใจ
“นี่คือประโยคที่ใช้หลอกฟันสาวๆ หรือเปล่าคะ” แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสติถามกลับไป
เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ ในลำคอ มือที่วางพาดบนพนักโซฟา เลื่อนมาลูบผมยาวสลวยของหญิงสาวเล่น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับบนใบหน้าหล่อเหลา ขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิด โน้มใบหน้าเข้าดวงหน้างาม
“ถ้าผมหลอก คุณเต็มใจให้ผมหลอกไหมครับ”
“การที่ผู้หญิงมากับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงชั่วโมงและยังมานั่งอยู่ในโรงแรมแบบนี้ คุณคิดว่าเธอเต็มใจให้คุณหลอกไหมคะ แม้รู้ว่าผู้ชายคนนั้นจะเอาไวน์มาเป็นข้ออ้างก็ตามที” เสียงหัวเราะดังขึ้นในลำคออีกครั้ง มือที่ถือแก้วไวน์วางลงบนโต๊ะ นิ้วแกร่งเชยคางมนขึ้นให้สบประสานสายตากันในระยะใกล้ ที่สามารถมองเห็นเงาสะท้อนในนัยน์ตาของกันและกัน
“นั่นสินะครับ ผมไม่น่าถาม เราจะอาบน้ำกันก่อนไหมหรือจะ...ขึ้นเตียงเลย” คนถูกถามลมหายใจสะดุดไป หัวใจที่ว่าเต้นแรงในตอนแรกยังแรงสู้ตอนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ มือที่จับแก้วไวน์กำเอาไว้แน่น นัยน์ตาฉายแววประหม่าและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
“ฉันขออาบน้ำก่อน”
“คนเดียว” เอ่ยถามออกมายิ้มๆ
“ค่ะ หรือว่าคุณอยากจะ...”
“ผมแล้วแต่คุณ”
“งั้นฉันอาบคนเดียว”
“เชิญครับ”
บุณณดาลุกขึ้นยืนและเดินไปยังห้องน้ำ โดยมีชายหนุ่มนั่งมองไปด้วยรอยยิ้ม หยิบแก้วไวน์ที่วางไว้ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว ไม่คิดเลยว่าวันนี้ตัวเองจะได้เนื้อที่ถูกใจ และยังรู้สึกแปลกใหม่ไม่เหมือนที่เคยเจอเสียด้วยซ้ำ
บุณณดาใช้เวลาในการอาบน้ำร่วมครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ถึงได้ออกมาจากห้องน้ำด้วยเสื้อคลุมห่มกาย กลิ่นหอมของสบู่อาบน้ำ ลอยเข้ามาในโสตประสาทของชายหนุ่มที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงทอดมองวิวทิวทัศน์เมืองหลวงในยามค่ำคืน หันกลับมามองด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนและเดินเข้ามาหาหญิงสาว
พินิจใบหน้างามที่ปราศจากเครื่องสำอางด้วยความชื่นชมและชื่นชอบ แต่งหน้าว่าสวยพอไร้เครื่องสำอางก็ยิ่งดูน่ารัก ใบหน้าขาวใสไม่มีร่องรอยกวนสายตา ริมฝีปากก็อมชมพู ยื่นมือขึ้นมาเกลี่ยปอยผมที่หลุดร่วงคลอเคลียใบหน้าออกให้
“คุณสวยมาก สวยจนผมแทบอดใจไม่ไหว ไม่อยากอาบน้ำเลยด้วยซ้ำไป” คนถูกชมยิ้มเอียงอาย
ใช่! เธอกำลังเขินอายให้กับคำพูดป้อยอปากหวานของชายแปลกหน้า ที่กำลังจะมีความสัมพันธ์มากไปกว่าคำว่าแปลกหน้า
เธอกำลังแพ้ให้ความอบอุ่นที่เขาสรรค์สร้าง เธอแพ้ให้กับรอยยิ้มละลายใจ เธอแพ้ให้กับสายตาแพรวพราวของเขา เธอแพ้ให้กับใบหน้าหล่อเหลาราวกับพระเอกซีรีส์
เขาทำให้เธอไม่เป็นตัวของตัวเอง ยิ่งเธอเริ่มมึน สมองทำงานได้ไม่เต็มที่ เธอยิ่งอ่อนไหวไปกับเขา หากจะว่าเธอใจง่ายหรือแรดก็คงต้องตามนั้นไป เพราะตอนนี้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เธอใจง่ายจริงๆ
“อาบก่อนดีกว่าค่ะ” ขอเวลาให้เธอได้มีโอกาสทำใจอีกสักหน่อย ยื้อเวลาไปอีกสักนิด ได้มีโอกาสให้สมองได้ไตร่ตรองหาเหตุผลอีกสักหน่อย
“อย่าหนีผมไปไหน แววตาคุณกำลังสับสนว่าจะไปต่อหรือหนีกลับดี” บุณณดาเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นจากเดิม และอาการของคนตรงหน้าก็ทำให้ชายหนุ่มอดใจไม่ไหวกับความน่ารักนั้น ฝังจมูกโด่งลงบนแก้มเนียนใสไปหนึ่งฟอด
“รอผมไม่นาน ผมจะรีบอาบน้ำ” ว่าแล้วก็หมุนตัวเดินไปยังห้องน้ำด้วยความเร็ว ด้วยกลัวว่าหญิงสาวเนื้อหอมที่ยืนอ้าปากค้างอยู่นั้นจะหนีหายจากไปเสียก่อน ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงเสียใจและเสียดายไปอีกนาน
ส่วนคนถูกหอมแก้มก็ยกมือขึ้นมาจับแก้มตัวเองไว้ รับรู้ได้ถึงความร้อนที่แผ่กระจายอยู่ทั่วไปหน้า หัวใจก็ยิ่งเต้นระส่ำ รีบเดินมานั่งที่โซฟา เทไวน์ใส่แก้วและยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด อย่างน้อยๆ ก็หวังให้อาการมึนเมาช่วยทำให้เธอไม่กลัวได้
ในเมื่อเจอคนที่ใช่ แล้วเหตุไฉนเธอต้องหนี คนที่ตามหา คนที่หัวใจร่ำร้องอยากจะเจออยู่ตรงหน้า เธอจะปล่อยเขาไปได้อย่างไร เมื่อเขาบอกว่าไม่มีใคร เธอก็ไม่ต้องกลัวบาปกรรมหรือทำผิดศีลธรรม
สู้โว้ย ไอ้ต้อง