บทที่ 6 เมื่อตนกลายเป็นดาวนำโชค

1957 คำ
วันต่อมา ตระกูลอวี้ระส่ำระสายอีกครั้ง เมื่อให้พ่อบ้านหวง ไปสืบกับพ่อบ้านในจวนราชครูลู่ได้ความว่า ลู่ตงเหิงต้องการส่งคุณหนูใหญ่เข้าวัง แต่ตอนนี้มีเรื่องบาดหมางกันระหว่างลู่ตงเหิงและฮูหยิน เรื่องจะส่งหรือไม่ส่งคุณหนูเข้าวังดี “ท่านพี่ ข้าไม่ยอมเสียลูกสะใภ้ให้ฝ่าบาทอีกคนหรอกนะ” เพ่ยอิงฮัวรู้สึกเจ็บแค้นใจ เหตุใดฝ่าบาทต้องมีดวงแย่งคนรักของตระกูลอวี้ เห็นได้ชัดว่าลู่เซวียนเฉ่าเกิดมาเพื่อคลอดบุตรและนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่วงศ์ตระกูลในรุ่นที่ 29 ไยต้องมีอุปสรรคเช่นนี้ “เรียนฮูหยิน เรื่องนี้ไม่ใช่ไม่มีทางเสียทีเดียว ข้าน้อยว่าคุณหนูใหญ่ลู่นางฉลาดนัก” พ่อบ้านหวงอยู่กับนายท่านและฮูหยินมานาน ย่อมสั่งสมความฉลาดและการคิดการณ์อย่างรอบคอบเช่นเดียวกัน รวมทั้งเล่ห์เหลี่ยมการใช้คำพูดลวงคนให้ติดกับที่ตัวเองวางไว้ “นางฉลาดอย่างไร” เพ่ยอิงฮัวชักสนใจลูกสะใภ้คนนี้เสียแล้ว ถูกกลั่นแกล้งขนาดนี้ นางมีทางออกเรื่องนี้อย่างไรกัน “เพียงแค่คุณหนูคุกเข่าแสดงความกตัญญูต่อบิดา ก็พลิกวิกฤติเป็นโอกาสแล้วขอรับ” พ่อบ้านหวงกระซิบกระซาบเรื่องที่เกิดขึ้นจากที่ให้คนไปสืบทั้งคิดเห็นต่างจากคนในจวน ทั้งเรื่องบาดหมางในจวนสกุลลู่กับความริษยาของแม่เลี้ยงลูกเลี้ยง สร้างเสียงหัวเราะให้กับเพ่ยอิงฮัวเป็นอย่างยิ่ง เพียะ!!! เพ่ยอิงฮัว ตบหน้าขาของตนเองฉาดใหญ่ ให้กับความเจ้าเล่ห์ของลูกสะใภ้ สตรีเช่นนี้อย่างไรเล่าถึงจะเหมาะสมกับบุตรชายเสเพลของตนเอง “นางฉลาดยิ่ง ใครก็รู้ว่าเข้าวังหลังอยู่กับฮ่องเต้ชราภาพอย่างสวีเจี้ยนหง ก็เพียงรอคอยความตายในวังหลัง เพื่อฝังในสุสานรวมกับฮ่องเต้เท่านั้น” เพ่ยอิงฮัวกล่าว “ภรรยาข้าช่างคิดรอบคอบยิ่ง” อวี้ชุนหัวดีใจยิ่งนักที่ภรรยายังอ่านการกระทำของลูกสะใภ้ออก เขายังคิดตามไม่ทันด้วยซ้ำ “ไม่เช่นนั้นข้ายังจะเป็นภรรยาท่านรึ!” เพ่ยอิงฮัวเชิดหน้าขึ้น ยามสามียังหนุ่ม สตรีมากหน้าหลายตาต่างชม้ายชายตามอง หากนางไม่ฉลาดแล้วล่ะก็ ป่านนี้อนุของเต็มจวนไปแล้ว “ใช่ภรรยาข้าฉลาดยิ่งนัก” “แต่งเข้ามา ข้าจะยกกรรมสิทธิ์ทุกอย่างให้ลูกสะใภ้ตัดสิน เจ้าลูกชายหากไม่มีน้ำยาทำให้ข้าวสารให้เป็นข้าวสุก ให้กำเนิดทายาทสืบตระกูลก็ให้เป็นขอทานก็แล้วกัน” เพ่ยอิงฮัวตัดสินใจแล้ว นี่คือวิธีกำราบบุตรชายให้ได้ผลดีที่สุด “พ่อบ้านหวง ไปที่ตลาดจัดการปล่อยข่าวว่าข้าเตรียมจะสู่ขอคุณหนูใหญ่ลู่มาเป็นสะใภ้” เพ่ยอิงฮัวคิดใช้ประโยชน์จากข่าวลือ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้แม่เลี้ยงของว่าที่ลูกสะใภ้อยากยกให้ตระกูลอวี้แทนที่จะสนับสนุนสามีนางให้ส่งเข้าวัง ลู่เซวียนเฉ่าออกไปนอนจวนเพื่อคิดหาวิธีออกจากจวนลู่ ก่อนที่ท่านพ่อจะส่งนางเข้าวัง แต่สิ่งเดียวที่นางจะไม่ทำคือทำให้ตัวเองแปดเปื้อนโดยดึงบุรุษใดเข้ามาแน่นอน แต่ทว่านางไม่คิดแต่แม่เลี้ยงกับหลานสาวใช่จะไม่คิดสกปรก ทุกวันนางต้องระแวดระวัง บ่าวชายห้ามเข้าใกล้เรือนเด็ดขาด นั่นนางถึงจะปลอดภัย นางเดินไปเลือกซื้อผ้า แล้วได้พบกับท่านพ่อค้าขายเนื้อหมู คราวนี้เขานำเนื้อหมูมาให้นางอีกครั้งแล้ว “คุณหนูใหญ่ลู่โปรดรับเนื้อไว้เถิดขอรับ ท่านทำให้พวกเราลืมตาอ้าปากได้แล้ว” นอกจากพ่อค้าหมูในตลาดที่นางเลือกซื้อเป็นประจำแล้ว ยังมีเหล่าแม่ค้าผัก คนขายน้ำตาลปั้นแล้วคนอื่น ๆ อีกมากมายยืนเข้าแถวรอนำของส่งให้นาง จนนางสับสนและเวียนหัวไปหมด “เอ่อ...นะ...นี่มัน...เรื่องอันใดกันเจ้าคะ” ลู่เซวียนเฉ่ารู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว การที่คนเอาของมาให้นางโดยไร้ที่มาที่ไปไม่ใช่เรื่องปกติ นางไปทำอันใดให้พวกเขากัน “ท่านรู้หรือไม่ท่านคือดาวนำโชคของพวกเรา” พ่อค้าหมูกล่าว “ใช่ ๆ ข้าขายผักหมดเกลี้ยงตอนที่มอบผักเพียงเล็กน้อยให้ท่าน” ท่านยายขายผักกล่าวสมทบ “รับของข้าไปเถอะ” “รับไปเถอะ” ลู่เซวียนเฉ่าไม่คิดว่าการออกมาหาทางออกเรื่องที่ตนจะเข้าวัง จะกลายเป็นตนที่เป็นดวงดาวนำโชคไปแล้ว แต่นางยังไม่รับข้าวของของผู้ใด จนกว่าจะได้รับรู้เรื่องราวตั้งแต่ต้นก่อน โดยนางลากเถ้าแก่ขายเนื้อหมูกับท่านยายขายผักไปนั่งคุยในร้านน้ำชาก่อน ถึงเรื่องความเป็นมาทั้งหมด “ท่านลุงกับท่านยายเล่ามาให้ข้าฟังให้หมดเลยนะเจ้าคะ หากไม่ข้าไม่ยอมรับของพวกท่านแน่นอน” นางกล่าวเสียงเข้มเล็กน้อย นั่นทำให้เถ้าแก่ร้านขายเนื้อหมูเล่าตั้งแต่ต้น และเข้าใจในที่สุด ตอนแรกนางอยากจะหัวเราะว่านางกลายเป็นสตรีนำโชคไปได้อย่างไร ตอนนี้รับรู้แล้วนางต้องขอบใจเผยจูเอ่อ ที่ทำให้นางได้มายืนจุดนี้ ข่าวเรื่องการเป็นสตรีนำโชคต้องแพร่กระจายให้มากกว่านี้อีกนิดหน่อย เพื่อเป็นประโยชน์ของนาง “เป็นเช่นนี้หรอกหรือเจ้าคะ ข้าว่าแค่บังเอิญมากกว่ากระมังเจ้าคะ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่” นางพูดออกมาไม่อยากให้ชาวบ้านงมงายนัก มันก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น “ไม่...ย่อมไม่มีความบังเอิญเด็ดขาด สวรรค์ล้วนกำหนดมาแล้ว” พ่อค้าหมูยืนกรานหนักแน่น มั่นใจว่าการค้าขายในวันนั้นของเขาคือผลจากที่ได้ให้เนื้อหมูนางไป สุดท้ายแล้วนางก็สุดปัญญาจะทัดทานความเชื่อของชาวบ้าน เพราะเมื่อเชื่อสิ่งใดแล้วก็คิดว่าสิ่งนั้นคือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ “เอาเถอะ เอาเถอะ ท่านจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ ข้าจะไม่ขัดความประสงค์ของท่าน แต่ชีวิตข้าท่านก็รู้ลำบากเพียงใด ออกทางประตูใหญ่ยังไม่ได้ ต้องอาศัยทางสุนัขลอด แล้วจะขนของพวกนี้เข้าจวนไปได้อย่างไร” นางกล่าวด้วยความจริง แต่เรียกความสงสารให้กับคนในตลาดได้อย่างดี ยิ่งมองใบหน้าแต่ละคน บางคนล้วงเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาก็มี ทำให้นางรู้สึกขบขัน ‘ชีวิตข้ามันเศร้าพวกท่านโปรดเข้าใจ’ “ใต้เท้าลู่ตาต่ำยิ่งนัก” ชายผู้หนึ่งเป็นชาวบ้านกล่าวขึ้น เขาเป็นคนหยาบช้าไร้การศึกษา จึงกล่าวถ้อยคำออกมาจากใจ แต่กลับได้ใจนางยิ่งนัก ‘หากท่านพ่อของนางตาสูงจริง คงไม่เลือกอนุเผยขึ้นเป็นฮูหยินใหญ่’ แต่นางจะปล่อยให้ชาวบ้านเดือดร้อนเพราะคำพูดว่ากล่าวขุนนางของฝ่าบาทไม่ได้ จึงเอ่ยเตือนพวกเขาหนึ่งคำ “ท่านอย่ากล่าวคำพวกนี้ให้ใครได้ยินไปเชียวเจ้าค่ะ บิดาข้าขึ้นชื่อเรื่องความเอาแต่ใจ หูเบา ไร้ความยุติธรรม หากเขารู้ว่าข้าคือต้นเหตุให้เขาเสื่อมเสีย คาดว่าชีวิตข้าก็รักษาไว้ไม่ได้แล้ว” ลู่เซวียนเฉ่ากล่าวเตือนเหล่าชาวบ้านด้วยความหวังดี เพราะในเมืองหลวงแห่งนี้มีโรงเตี้ยมผิงเชียง เป็นโรงเตี้ยมอันดับหนึ่ง แน่นอนว่าหูตาของแม่เลี้ยงเยอะยิ่งกว่าตาสับปะรด หากชาวบ้านปากพล่อย กล่าวโทษบิดานางเข้าจะถูกทางการจับฐานให้ร้ายขุนนาง “เพ้ย ๆ ข้าไม่พูดแล้ว” ชายผู้นั้นกลัวว่าจะทำให้คุณหนูลู่ดวงดาวนำโชคต้องเดือดร้อนรีบ และตนเองอาจจะมีที่ซุกหัวนอนเป็นคุกหลวงแทน จึงหุบปากทันที “ข้าเพียงเป็นห่วงพวกท่านเจ้าค่ะ แม่เลี้ยงข้าก็ใช่คนที่พวกท่านต่อกรได้ บิดาข้าเป็นถึงขุนนางที่คนยำเกรง พวกท่านเป็นชาวบ้านธรรมดาจะสู้อันใดด้วยได้ ขนาดข้ายังโดนโบยไร้เหตุผลบ่อยครั้ง มันเจ็บมานะเจ้าคะ” ลู่เซวียนเฉ่าแสดงงิ้วได้สมจริง นางกลั่นน้ำตามาหนึ่งหยด ก็เรียกความสงสารของคนทั้งหมดได้แล้ว ใครบอกไฟในอย่านำออก ข้าลู่เซวียนเฉ่านี่แหละจะไม่เพียงแค่ไฟในนำออก ยังนำไฟนอกไปแผดเผาตระกูลเน่าเฟะของบิดาตนเองด้วย ‘ใครใช้ให้เขาทำร้ายข้า และหูเบาเชื่อสตรีร้ายกาจผู้นั้นกันเล่า’ คำสอนให้กตัญญูต่อบิดาเชิญผู้นั้นกตัญญูไปคนเดียว ลองมาดูชีวิตแสนรันทดของนางดูบ้าง ข้าอยากรู้ว่าผู้ใดมีใจกตัญญูอยู่ได้อีก “เช่นนั้นเรื่องวันนี้ให้ท่านเก็บเป็นความลับ แล้วข้าวของพวกท่านข้าจะรับเพียงวันละสามร้านเท่านั้น เรือนข้าโกโรโกโส ทั้งยังผุพังอยู่ด้านหลังจวน ติดกับชายป่าเสียด้วยซ้ำ ข้าขนไปไม่ไหว แต่ข้าอวยพรให้ทุกท่านขายดิบขายดี มีเงินจ่ายภาษีแล้วเหลือเก็บนะเจ้าคะ” นางตัดสินใจแก้ปัญหาเรื่องนี้แบบประนีประนอม เอาตามนี้ไปก่อน เพราะยังมีปัญหาที่นางจะถูกส่งตัวเข้าวังซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่นางยังต้องแก้ไข “เอาเช่นนั้นก็ย่อมได้ หากเจ้าอยากให้พวกเราซ่อมแซมเรือนบอกได้เลย พวกข้ายินดี” “อย่าดีกว่าเจ้าค่ะ อีกหน่อยพวกเขาจะส่งข้าเข้าวัง ซ่อมแซมไปข้าก็ไม่ได้อยู่นานนัก” นางเกริ่นเรื่องลำบากใจขึ้น แล้วหวังให้เหล่าชาวบ้านกระจายข่าวไปถ้วนทั่ว อย่างน้อยก็มีคนที่หวังดีกับนางบ้าง อาจจะหาทางช่วยนางอยู่ก็ได้ ‘ทางออกอยู่ไม่ไกลแล้ว’ “ไม่ได้...ข้าไม่ยอมให้เข้าวัง เพราะเข้าวังแล้วพวกเราก็ไม่ได้พบเจอท่าน แล้วจะรับข้าวของพวกเราได้อย่างไร” “ข้าก็ไม่อยากเช่นกันเจ้าค่ะ เรื่องนี้แม่เลี้ยงและท่านพ่อของข้ายังหารือกันอยู่ไม่แน่ว่ายังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้” “ข้าได้ยินว่าสกุลอวี้อยากให้ท่านเป็นลูกสะใภ้ เมื่อเช้ามีคนจากสกุลอวี้มาซื้อของพูดเรื่องนี้ขึ้น ข้าคิดว่าอาจจะเป็นทางออกที่ดี” พ่อค้าในตลาดคนหนึ่งกล่าว ฮูหยินอวี้เป็นคนจิตใจดีมีเมตตา หากดวงดาวนำโชคของพวกเราแต่งออกไปสกุลอวี้ไม่เท่ากับว่าดีกว่าถูกสกุลลู่ส่งเข้าวังหรอกหรือ “จริงหรือเท็จกันเจ้าคะ” ลู่เซวียนเฉ่าไม่อยากจะเชื่อนัก จะมีสกุลใดอยากได้นางที่มารดามีข่าวเสียหายอีกอย่างนั้นหรือ “ไม่ผิดแน่ พ่อบ้านหวงกล่าวเอง” ลู่เซวียนเฉ่าประหลาดใจ เหตุใดยามท่านพ่อของนางอยากส่งนางเข้าวัง ถึงได้มีคนอยากได้นางเป็นสะใภ้ ไม่ใช่ว่าตระกูลอวี้คือตระกูลคหบดีอันดับหนึ่งหรอกหรือ เขาจะอยากได้นางที่ไม่มีอำนาจไปทำอันใดกัน เขาพวกเขาเลอะเลือนไปแล้ว หรือข่าวที่ปล่อยออกมาต้องการอันใดจากนางกันแน่ เรื่องนี้นางต้องขบคิดให้ดี “ถ้าเช่นนั้นเอาไว้แน่ชัดอีกครั้งถึงจะดี ข้ายังต้องคิดให้รอบคอบ” เมื่อชีวิตถึงทางที่ต้องเลือก นางจะทำอย่างไรดี หรือนี่จะเป็นหนทางเดียวที่นางจะออกจากตระกูลลู่ได้โดยไม่ต้องเข้าวัง แต่คนที่แต่งงานด้วยเป็นผู้ใดกัน นางต้องสืบให้รู้แน่ชัดเสียก่อน...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม