เมื่อกลับถึงบ้านลู่เซวียนเฉ่าหุงข้าวทำต้มกระดูกกินด้วยความเอร็ดอร่อย นางตักข้าวสองถ้วยวางตะเกียบให้พร้อมกับรอยยิ้มคิดว่ามารดากำลังนั่งอยู่ตรงหน้า
“ท่านแม่วันนี้มีเถ้าแก่เขียงหมูให้กระดูกข้ามาไม่ต้องเสียสักอีแปะเจ้าค่ะ ท่านว่าข้าเริ่มจะโชคดีแล้วใช่หรือไม่” ลูกเซวียนเฉ่าคุยกับความว่างเปล่า เวลานึกถึงท่านแม่นางมักทำเช่นนี้เสมอ และมักมีลมวูบหนึ่งพัดเข้าหน้า ราวกับสายลมรับรู้ถึงความหงอยเหงาของนาง
สิบปีแล้วนางมีสหายคือความเหงา มีความเงียบคอยปลอบโยนความเศร้า แต่นางก็ยังมีรอยยิ้มประดับใบหน้าทุกครั้ง ต่อให้ทุกคนในจวนราชครูชิงชังนางแล้วอย่างไร คิดว่านางรักพวกเขางั้นเหรอ
ไม่มีวัน!
บัญชีแค้นนี้นางจะสะสมไว้ แล้วค่อย ๆ เอาคืนทุกคนทีเดียวก็แล้วกัน
เมื่อนางกินข้าวอิ่มแล้วเก็บกวาดล้างถ้วยล้างจานเพื่อเตรียมจะพักผ่อน แต่ว่ามีสาวใช้ของแม่เลี้ยงใจร้ายเข้ามาพร้อมกับมองนางด้วยสายตาระแวงระวัง ลู่เซวียนเฉ่าก็ระแวดระวังอยู่เช่นกัน ใกล้มือนางล้วนสามารถทำเป็นอาวุธได้หมดไม่เว้นแม้แต่ถ้วยชามของนางก็ตาม
นางยืนจ้องตานางสาวใช้ สาวใช้ยืนสบตานางไม่พูดอะไร จนลู่เซวียนเฉ่าต้องเปิดปากพูดขึ้นก่อน พร้อมกับหยิบมีดอีโต้ที่สับกระดูกหมูไว้มั่น
“มาทำไมยังไม่พูด หรืออยากกินอีโต้ของเข้าก่อน” เสียงขู่คำรามทำให้สาวใช้ผู้นั่นรีบกล่าวทันที
“นะ...นายท่าน...นายท่านเรียกพบเจ้าค่ะ” เสียงสั่น ๆ ของสาวใช้ข้างกายฮูหยินกล่าวแล้ววิ่งกลับไปทันที นางได้รู้เรื่องที่คุณหนูใหญ่ข่มขู่คุณหนูเผยแล้ว พาหวาดกลัวเช่นเดียวกัน นอกจากไม่จำเป็นนางจะไม่มาแล้ว นางรีบทำธุระแล้วก็หลบออกไปโดยเร็วเช่นเดียวกัน
ลู่เซวียนเฉ่ายังไม่ทันได้ซักถามว่าเรื่องอันใดร่างสาวใช้ขี้ขลาดก็ไปกลับไปแล้ว หลายวันมานี้หลานสาวแม่เลี้ยงนางก็ไม่ได้มาระราน แล้วยังมีเรื่องอันใดอีกอย่างนั้นหรือ นางเก็บข้าวของเสร็จแล้วก็เดินออกมาทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุด ร่างที่สภาพทรุดโทรม ใบหน้ามันเยิ้ม เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนเดินเข้าไปในเรือนของท่านพ่อ เรือนที่ไม่ได้มาเยือนนานถึงสิบปี เป็นสิบปีอันแสนเจ็บปวด จนเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าทางเดินไปเรือนบิดาคือทางใด เมื่อหยุดยืนหน้าประตู ภายในใจนางไม่อยากก้าวเข้าไปพบบุรุษใจร้ายผู้นั้น
สตรีร่างแน่งน้อยยืนมองป้ายของเรือนราชครูที่ได้รับพระราชทานป้ายมงคลจากฮ่องเต้ ‘คุณธรรมประดับอยู่’ เพื่อสรรเสริญความดีที่ตั้งใจสั่งสอนเหล่าองค์ชายให้ได้มีความรู้
แต่ฝ่าบาทจะรู้หรือไม่ว่า ราชครูใจร้ายที่ท่านสรรเสริญผู้นี้ไร้คุณธรรมยิ่งกว่าท่านโจโฉในอดีตเสียอีก นางยืนนิ่งจนคนข้างในร้อนใจเรียกให้เข้าไปด้วยความโมโห
“ยังไม่รีบเข้ามาอีก อกตัญญูยิ่งนักให้บิดารอ” ลู่ตงเหิงอ้างคำคุณธรรมของบุตรที่มีต่อบิดา สร้างความขบขันให้กับลู่เซวียนเฉ่าเป็นอย่างยิ่ง
‘บิดางั้นเหรอ’ คนเป็นบิดาเขาเลี้ยงดูบุตรสาวเยี่ยงนี้งั้นเหรอ นางเป็นคุณหนูใหญ่ แต่ความรักที่บิดามอบให้ราวกับนางเป็นกาฝากของจวนก็มิปาน ยังกล้าเรียกตัวเองว่าบิดาอีกอย่างนั้นหรือ
นางเก็บความข่มขืนไว้ภายในเดินด้วยใบหน้าเรียบเฉยเข้าไปในห้องรับรองของเรือนพักบิดา เมื่อมายืนอยู่เบื้องหน้าของชายที่เรียกตัวเองว่าบิดาของนาง โดยที่ด้านข้างมีสตรีที่ตั้งตนเป็นแม่เลี้ยง แต่เลี้ยงดูนางแย่กว่าวัวเทียมเกวียนเสียอีก นางจึงยืนยิ้มเยาะให้กับทั้งคู่ แต่ไม่คิดว่ากริยามารยาทของนางจะไปหนักหัวคนที่ต้องจะมาเป็นลูกสาวของท่านพ่อแทนนาง อย่างเผยจูเอ่อ
“มารยาทต่ำทรามยิ่งกว่าบ่าวไพร่ อยู่ต่อหน้านายท่านกับฮูหยินยังไม่รู้จักทำความเคารพอีก”
เสียงที่แผดออกมาอย่างร้อนใจ และตั้งใจจะหาเรื่องให้นังคุณหนูนอกคอกโดนลงโทษจากการไม่เคารพบิดามารดาดังขึ้น สร้างรอยยิ้มบนใบหน้าให้กับเผยหลิงหลิงผู้เป็นมารดาเลี้ยงยิ่ง
ส่วนสามีของนางนั้นใบหน้าดำคร่ำเครียดยิ่ง กับกิริยามารยาทของบุตรสาวคนโต ที่หมายหมั้นปั้นมือจะส่งไปชุบตัวในวัง สตรีเช่นนี้เรอะ ห้องซักล้างก็ยังสูงไปสำหรับนาง
“เหอะ!” ลู่เซวียนเฉ่าหัวเราะขึ้นมาในลำคอหนึ่งคำ ราวกับยิ้มเยาะในคำพูดของสตรีไร้ยางอายเช่นเผยจูเอ่อเสียเต็มประดา สร้างความไม่พอใจให้กับลู่ตงเหิงอย่างยิ่ง
“นางสั่งสอนเจ้าแทนบิดาอย่างข้า ยังกล้าแสดงมารยาทต่ำทรามเหมือนมารดาเจ้าไม่มีผิด” ลู่ตงเหิงจดจำความโอหังของสตรีผู้นั้นได้อย่างดี นางจำใจแต่งทั้งปกปิดตัวตนของนาง แต่นางกลับมาทรยศเขาด้วยการหนีไปกับชู้รัก หากเขาจับนางได้ล่ะก็จะสับให้เป็นหมื่นชิ้น ให้สมกับที่คนทั่วเมืองหลวงหัวเราะเยาะเขา เรื่องฮูหยินมีชู้
“ท่านเป็นบิดาข้าจริงหรือ ข้าชักสงสัยเสียแล้ว หรือที่จริงนางเป็นบิดาข้ากันเล่า” ลู่เซวียนเฉ่าพูดด้วยรอยยิ้ม
“เจ้า!!” ลู่ตงเหิงชี้หน้านางพร้อมกับเอามือจับหน้าอกแน่น นางจะทำให้เขาโกรธตายหรืออย่างไร
“ท่านพี่ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ให้ข้าเองดีกว่า” เผยหลิง
หลิงลูบมือสามีปลอบใจ แล้วก็เอ่ยความประสงค์ของสามี
“สภาพเจ้าแร้นแค้นดีนี่ แบบนี้ไม่รู้ว่าส่งเข้าวังจะได้เป็นทาสเลี้ยงม้าแทนที่จะเป็นสนมหรือไม่ ข้าปวดใจแทนท่านพี่เสียจริง เอาเถอะที่ท่านพี่เรียกเจ้ามาวันนี้ เพื่อแจ้งให้เจ้ารู้ว่าอีกไม่นาน ท่านพี่จะส่งเจ้าเข้าวังไปเป็นสนมฝ่าบาท เตรียมตัวเอาไว้ด้วย” เผยหลิงหลิงไม่อยากส่งนางเข้าวัง แต่ว่าท่านพี่ของนางก็ยังดึงดัน นางจึงต้องแจ้งไปตามที่ท่านพี่ต้องการ
ลู่เซวียนเฉ่าแววตาดำมืดครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา กับข่าวร้ายนี้ นางจะไม่ยอมเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้เด็ดขาด ต่อหน้าคนเหล่านี้ยิ่งนางต้องมีความสุข ก็ยิ่งดิ้นรนเพื่อที่นางไม่ต้องเข้าวัง
ลู่เซวียนเฉ่ารีบพุ่งพรวดเข้าไปตรงหน้าบิดาแสนเลวทรามคุกเข่าให้ทันที ทำเอาคนทั้งสามตกอกตกใจ
“เจ้า...ทำอะไร” ลู่ตงเหิงเห็นกิริยาที่แปลกไปของบุตรสาว เขายิ่งไม่เข้าใจแทนที่จะเสียใจกับยินดีเสียเต็มประดา
“ลูกอกตัญญูนัก คิดว่าท่านพ่อรังเกียจลูกมาสิบปี วันนี้รู้แล้วว่าแท้ที่จริงท่านพ่อรักลูกที่สุด ต่อไปข้าย่อมกตัญญูต่อท่านเจ้าค่ะ”
นางไม่เพียงคุกเข่ายังโขกศีรษะให้อีก สร้างความเจ็บแค้นให้สองน้าหลานเป็นอย่างมาก จากที่ต้องการให้นางแขวนคอตาย หรือโดนน้ำตายหนีการเข้าวัง กลับสร้างความสุขให้นางเสียอย่างนั้น
‘นางคิดอันใดอยู่กันแน่’
“รักอันใด บิดาเจ้าจะส่งเข้าวังให้พ้นหูพ้นตาไม่ว่า”
เผยหลิงหลิงพูดให้นางเข้าใจเสียใหม่ จะได้เลิกวาดฝัน วังหลังใช่ที่เดินเล่นทั่วไปที่ใครจะเข้าไปก็ได้ ส่วนใหญ่ไปก็โดนฝังตายในวังหลัง
ลู่เซวียนเฉ่ารีบลุกขึ้นแล้วไปยืนหน้าแม่เลี้ยงชั่ว กับหลานสาวเลวทันที ผุดรอยยิ้มชั่วร้ายส่งไปให้เพื่อสั่นคลอนความมั่นใจของทั้งคู่
“ท่านเบาปัญญาหรือไง ท่านพ่อเป็นถึงราชครูเกียรติท่านพ่อใครบ้างไม่รับรู้ ฝ่าบาทไม่เห็นได้อย่างไร หากให้ข้าเป็นทาสต่ำต้อยคนประณามทั้งเป็นดิน ส่งข้าเข้าวังอย่างเลว ก็เสียนเฟยแล้ว ถึงเวลานั้นนอกจากจะสร้างความมั่นคงให้ท่านพ่อแล้ว พวกท่านยังต้องคุกเข่ากราบไหว้ข้าด้วย แล้วข้าจะไม่ดีใจได้อย่างไร ทีนี้ท่านเข้าใจหรือยัง ว่าเหตุใดข้าถึงไม่ยอมก้มหัวให้ท่าน”
ลู่เซวียนเฉ่าพูดแทงใจ หาเหตุผลเข้ามาอ้างว่าที่นางเป็นปรปักษ์ย่อมมีที่มาที่ไป และอ้างเรื่องนี้ให้เผยหลิงหลิงมีเรื่องกับท่านพ่อเสีย คราวนี้นางอยู่เฉย ๆ ก็คอยดูท่านพ่อกับแม่เลี้ยงทะเลาะกัน สบายใจยิ่งนัก
“ท่านพี่...หรือว่าท่านวางแผนนี้มานานแล้วใช่หรือไม่ ท่านต้องการให้ลูกนอกคอกผู้นี้เหยียบหัวข้าใช่หรือไม่” เผยหลิงหลิง ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของลูกเลี้ยงรีบโผงคำพูดที่ไม่ควรพูดออกไปทันที
“ใช่แล้วอนุเผย...ท่านคิดว่าท่านพ่อรักท่านหรือ ท่านก็แค่อนุที่ท่านพ่อยกขึ้นมาชูหน้าชูตา ที่จริงท่านพ่อย่อมรักท่านแม่ข้า ไม่เช่นนั้นจะส่งข้าเข้าวังทำไมกัน ท่านกินข้าวหรือเคี้ยวหญ้ากันแน่ แค่นี้ถึงคิดไม่ได้ข้าล่ะสงสัยจริง ที่ผ่านมาท่านพ่อก็แค่รังแกข้าเอาใจท่าน แต่ว่าความจริงท่านพ่อข้าคิดการล้ำลึกยิ่งกว่าท่านมากมายนัก ท่านคงไม่เคยอ่านคำสอนของปราชญ์สินะ ท่านถึงได้เบาปัญญา”
ถ้อยคำที่ออกจากปากนางหากคิดดี ๆ แล้วนางนั้นด่าทุกคำ แต่คนเบาปัญญาเช่นสตรีสองคนตรงนี้คงคิดไม่ได้
“เจ้าว่าอันใดนะ”
“ท่านพ่อ วันนี้ดึกแล้วท่านพักผ่อนให้ดีนะเจ้าคะ เอาไว้วันพรุ่งข้าจะมากตัญญูต่อท่านอีก” ลู่เซวียนเฉ่ายอบตัวเคารพบิดาแล้วก็ยิ้มอย่างผู้มีชัยชนะส่งให้กับสองน้าหลาน ก่อนไปนางรีบพูดอีกคำเพื่อให้สองคนนี้ได้รับรู้เอาไว้
“เอ่อ...ซ้อมคุกเข่าหมอบกราบข้าให้มาก ๆ เล่า วันที่ข้าเข้าไปเป็นสนมท่านจะได้ไม่เคอะเขิน”
ลู่เซวียนเฉ่ารีบออกไป โดยไม่ได้ฟังที่บิดาจะกล่าวอันใด เมื่อหันไปทางภรรยาก็เห็นสีหน้าโกรธจนเขาไร้คำจะเอ่ย
“ไม่...ไม่ใช่เช่นนั้น”
“ท่านพี่ใจร้าย อยากให้ข้าคุกเข่าให้นาง” เผยหลิง
หลิงสะบัดหน้าลุกขึ้นเดินออกไป ส่วนเผยจูเอ่อกำลังขบคิดในใจว่าจะหาทางขัดขวางไม่ให้นางเข้าวังได้อย่างไร นางพูดมาก็ถูก เพราะสกุลกู้ส่งสตรีใบหน้างดงามเข้าไป ได้เป็นถึงเต๋อเฟย แล้วลู่เซวียนเฉ่างดงามปานนี้ ไม่เป็นเสียนเฟย
อย่างที่นางบอกหรอกหรือ
‘ไม่ได้นางจะมีอำนาจเหนือกว่าข้าไม่ได้’ เผยจูเอ่อคิดแล้วก็เดินกลับเรือน ทิ้งให้น้าเขยและน้าหญิงมีเรื่องต้องคุยกันต่อไป...