บทที่ 4 สตรีดาวนำโชค

1838 คำ
วันรุ่งขึ้นสองผู้เฒ่ารีบตื่นแต่เช้า เพื่อจัดการเรื่องที่คิดกันไว้เมื่อคืน ที่จริงเขาทั้งคู่ก็หลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคลำที่คอตัวเองทั้งคืน ไม่คิดว่าบุตรชายที่ภายนอกจะดูดี ขยันเอาการเอางาน จะมีใจรักมั่นในสตรีต้องห้าม เมื่อก่อนก็รับรู้จากเมิ่งจื่อถึงสตรีที่บุตรชายชอบพออยู่บ้าง แต่ไม่นึกว่าผ่านไปจนนานแล้วก็ยังไม่เลิกชอบ ทั้งตอนนี้ไม่อาจเอื้อมเด็ดดมชมบุปผางามดอกนั้นได้แล้ว ‘นี่สินะ ที่เรียกว่างดงามดั่งสตรีล่มเมือง’ สนมเต๋อ หรือกู้เต๋อเฟย แรกเมื่อเข้าวังก็เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ แม้ว่าจะชราวัยแล้ว ก็ยังเสด็จไปหาสนมเต๋ออยู่บ่อยครั้ง สนมเต๋ออายุวัย 20 ปีเป็นสาวงามสะพรั่งหากผู้ใดได้พบเห็นไม่ลุ่มหลงก็แปลกแล้ว ตอนนี้สตรีที่งามล่มเมืองใบหน้าไร้ที่ติผู้นั้น อาจจะทำให้ตระกูลคหบดีอวี้ล้มลงได้ อวี้ชุนหัวสู้อุตส่าห์สร้างความมั่งคั่งให้ตระกูล เขาจะไม่ยอมจบสิ้นที่บุตรชายคนนี้แน่ เพ่ยอิงฮัวนั่งรถม้ามาหาซินแสชื่อดังที่เป็นที่นับหน้าถือตาในเสิ่นหยาง ซินแสผู้นี้หากไม่อยากดูจะไม่ดูหรือผูกดวงให้ผู้ใดง่าย ๆ เพ่ยอิงฮัวที่เชื่อเรื่องดวงมานานแล้วก็ได้แต่ภาวนา เพราะนางเชื่อฤกษ์ยามดวงการค้าของท่านพี่ของนางจึงจะเจริญรุ่งเรือง ครั้งอดีตท่านแม่ของนางดูดวงให้บอกว่า หากนางเป็นใหญ่ในบ้านสนับสนุนสามี จะทำให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรืองเป็นเกียรติเป็นศรีให้ตระกูล แล้วก็ไม่นึกว่าเป็นจริงเช่นนั้น ตอนนี้ในมือนางมีรายชื่อของสตรีที่ยังไม่แต่งงาน โดยพ่อบ้านหวงจัดการนำมาให้ นางก็เปิดดูไปพลาง ๆ “ฮูหยินเจ้าคิดว่าเราควรจะดองกับผู้ใดดี” อวี้ชุนหัว เมื่อก่อนไม่คิดบังคับบุตรชาย ยามนี้เห็นทีว่าต้องจัดการให้เรียบร้อยเด็ดขาด พร้อมทั้งให้บุตรชายรีบมีทายาทโดยเร็ว เขาจะได้หันมาสนใจครอบครัว “ตระกูลขุนนางก็ดีเจ้าค่ะ แต่ไม่เอาขุนนางที่มีอำนาจล้นมือเกินไป ขุนนางพวกนี้ฉ้อโกงประชาชน ไม่รู้วันดีคืนดีฮ่องเต้นึกอยากปราบปราม พวกเราตระกูลอวี้จะถึงคราวซวยไปด้วย” เพ่ยอิงฮัวเป็นสตรีที่คิดรอบคอบร้ายกาจ มองคนออก นางดูใครย่อมทายไม่ผิดและวันนี้เขาต้องได้ว่าที่ลูกสะใภ้ ไปปราบเจ้าลูกชายจอมเสเพลให้จงได้ วันนี้ลู่เซวียนเฉ่าลอดทางช่องสุนัขผ่านออกจากจวนราชครูเพื่อไปขายผ้าปักและถุงหอมปักเช่นเดิม นางซ่อนเงินไว้ในที่ที่ใครก็หาไม่เจอ ก่อนจะออกมา เพราะหากนางไม่อยู่กลัวว่าเผยจูเอ่อจะเข้าไปรื้อค้นในเรือนของนางอีก เมื่อคลานออกมาแล้ว นางยืนปัดเสื้อผ้าที่มีเศษฝุ่นติดบ้างเล็กน้อย แล้วหยิบเอาตะกร้าที่ใส่ผ้าปักเดินออกไปตามถนน ที่มีผู้คนสัญจรไปมา ชาวบ้านคิดว่าเป็นบ่าวในจวนราชครูลู่ หาได้รู้ว่าคนที่คลานออกมาเป็นถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูล ลู่เซวียนเฉ่าแวะขายผ้าปักที่ร้านขายเครื่องประทินโฉมและเครื่องประดับสตรี วันนี้ได้เงินมาหลายตำลึง นางเอาห่อเงินยัดใส่เสื้อแล้วเดินออกไปอารามเพื่อไหว้พระสักครู่ วันนี้ครบรอบวันที่ท่านแม่หายตัวไปครบสิบปี นางไม่รู้ว่าจะตามหาท่านแม่ได้ที่ใด ญาติมิตรนางก็ไม่รู้ว่าตระกูลท่านตาอยู่ที่ไหน รู้เพียงท่านแม่แต่งเข้าตระกูลท่านพ่อ เรื่องราวอดีตของท่านแม่ก็ถูกลบไปหมด นางนั่งลงปักธูปในกระถางธูปทองเหลืองอันใหญ่ แล้วพนมมืออธิษฐานของพรให้ท่านแม่ปลอดภัย แม้ว่าไม่รู้ว่าท่านแม่จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่นี่คือสิ่งเดียวที่นางยึดเหนี่ยวจิตใจให้ยังอยากมีชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็ง ร่างอันงดงามในอาภรณ์สีครามซีดเก่าลุกขึ้นก่อนจะเดินลงตามบันไดหินขัดเพื่อกลับเข้าไปในตลาด ซื้ออาหารสดมาทำอาหาร วันนี้นางจะซื้อเนื้อไปทำอาหารให้กินอิ่มสักมื้อ หลังจากไหว้พระ นางเดินไปซื้อข้าวสารเพื่อกรอกหม้อข้าวสารของนาง ลู่เซวียนเฉ่าใช้ชีวิตไม่เคยกินอิ่มสักมื้อ ข้าวของเครื่องใช้ล้วนต้องหามาเองตั้งแต่วัยหกหนาว คิดแล้วก็เศร้าสลด นางผ่านชีวิตที่แสนยากลำบากช่วงนั้นมาได้อย่างไร จำได้ว่ากลางคืนยามฝนตกฟ้าร้องนั่งกอดเข่าร้องไห้คิดถึงท่านแม่เพียงลำพัง ไม่มีผู้ใดปลอบใจนอกจากตัวเอง นางต้องมีชีวิตอยู่แม้ยากลำบากเพียงใดก็ตาม น้ำตาของนางหยดจนเหือดแห้งไปเอง ไม่ว่าคนในจวนราชครูจะใจร้ายกับนางเพียงใด นางไม่คิดจะเสียน้ำตาให้คนพวกนั้นอีก หลังจากออกจากร้านขายข้าวสาร นางเดินผ่านสำนักซินแส แล้วก็มองเข้าไปอย่างสงสัยเมื่อมีสองหญิงชายที่ชราวัยกำลังนั่งมองหน้าซินแสอย่างใจจดใจจ่อ ไม่รู้ว่ามีเรื่องทุกข์ใจอันใด นางเพียงมองแล้วก็ส่ายหน้าไปมาไม่รู้ว่าจะสนใจทำไม จึงเดินถัดไปเล็กน้อยที่ร้านค้าเนื้อหมู ซื้อกระดูกหมูไปต้มกิน “ท่านลุงเจ้าคะ ข้าซื้อกระดูกหมู 2 จิ้นเจ้าค่ะ” ร้านนี้นางซื้อเดือนละครั้ง เพราะสภาพความเป็นอยู่เช่นนางจะมีปัญญาที่ไหนมาซื้อเนื้อกินได้ทุกวัน เพียงแค่กระดูกหมูทำอาหารให้มันอร่อยก็ดีแล้ว “นังหนู เจ้ามาอีกแล้วข้าเก็บเนื้อหมูให้เจ้าไว้ ไม่ต้องจ่ายเงิน ข้าไม่คิดเงิน” เถ้าแก่ร้านขายเนื้อบังเอิญไปได้ยินคนพูดกันเรื่องคุณหนูใหญ่ตกอับในจวนราชครูเมื่อวันก่อน ที่หลานสาวของแม่เลี้ยงคนใหม่คุยโวไปทั่วจะมาแทนที่ ทั้งสาวเรื่องราวแสนชั่วของบิดาทำให้หลายคนนั้นเห็นใจ และรับรู้ว่าสตรีผู้นั้นก็คือเด็กสาวที่ใส่เสื้อผ้าเก่าซีดมาซื้อเนื้อหมูของเขายามที่ออกมาขายผ้าปัก ทุกคนจึงอยากรวมกลุ่มกันช่วยเหลือเงียบ ๆ โดยไม่ให้ใครรู้ “เถ้าแก่ให้ได้อย่างไร ของซื้อของขาย ท่านจะเอากำไรที่ใดหากให้ข้า” ลู่เซวียนเฉ่าต่อให้ยากจนข้นแค้นเพียงใด นางก็ไม่คิดเอาเปรียบผู้ใด แต่เล็กท่านแม่สอนให้หัดอ่านเขียน นางรู้เรื่องการค้ากำไรขาดทุน จึงไม่อยากรบกวนเถ้าแก่ “นังหนูรับไปเถอะ เถ้าแก่ร้านค้าหมูเขาทำทานแจก พวกเราก็ได้ไปทุกคน” ป้าร้านขายผักเอ่ยกระซิบเบา ๆ ไม่ได้ให้ได้ยินมากนัก “อย่างนั้นหรือเจ้าคะ เช่นนั้นข้าจะขอรับไว้เจ้าค่ะ” ลู่เซวียนเฉ่าเมื่อถูกเซ้าซี้จึงรับไว้อย่างเสียไม่ได้ แล้วท่านป้ายังแถมผักบางอย่างให้นางไปต้มกินอีกด้วย เมื่อลู่เซวียนเฉ่าเดินลับไป ร้านค้าหมูของเถ้าแก่ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เรียกได้ว่าราวกับเด็กสาวผู้นั้นเป็นดวงดาวนำโชค “ท่านยายดูสิ ข้าเพียงแบ่งกระดูกหมูให้นางเพียงสองจิ้น ครึ่งชั่วยามหมูร้านข้าก็ขายดิบขายดี วันหน้าท่านต้องให้ผักนางเยอะ ๆ รู้หรือไม่” เสียงเถ้าแก่ร้านค้าหมูตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง ทำให้สองผู้เฒ่าตระกูลอวี้มองหน้ากัน “ข้าให้หลัวโปนางไปสองหัว วันนี้ข้าดวงดีมาก ขายผักหมดเกลี้ยงไม่ต้องขนไปทิ้ง ช่างดียิ่ง” ท่านยายร้านขายผักข้าง ๆ กับเขียงหมูก็ได้รับอานิสงส์เรื่องนี้ไปด้วยเช่นเดียวกัน แล้วเรื่องสตรีดาวนำโชคก็ลือกันทั่วตลาด แล้วก็ไม่รอดพ้นหูของเพ่ยอิงฮัวไปได้ ‘สตรีดาวนำโชคคือผู้ใด’ เพ่ยอิงฮัวไม่ยอมให้ตัวเองสงสัยนาน จึงไปมุงสอบถามเรื่องของสตรีผู้นั้น เมื่อได้ความนางก็เปิดหาวันเดือนปีเกิดของคุณหนูใหญ่ลู่ผู้แสนอาภัพ ส่งให้ซินแสทำนายดวงทันที “ดีใจด้วยฮูหยินอวี้ท่านพบสตรีดาวนำโชคแท้จริงแล้ว” ซินแสไม่คิดว่าจะมีสตรีที่นำความรุ่งโรจน์ให้กับตระกูลอวี้ที่ดวงสมพงษ์ราวกับกิ่งทองใบหยกเช่นนี้ “ท่านพูดจริงหรือไม่ท่านซินแส” เพ่ยอิงฮัวที่ถอดใจมาแล้วหลายคนกับดวงชะตาบุตรชาย ไม่สมพงษ์กับสตรีนางใด จนเมื่อได้สมพงษ์กับคุณหนูใหญ่ลู่ “เชื่อข้า” ซินแสชราวัยลูบเคราสีขาวเบา ๆ แล้วยิ้มให้กับฮูหยินอวี้ “ตาแก่เรารอดแล้ว เรารอดแล้วข้าจะรับนางเป็นสะใภ้ผู้เดียวเท่านั้น สตรีอื่นข้าไม่ยอมรับ” ฮูหยินอวี้ใบหน้าเจือด้วยความสุข แต่นายท่านอวี้นั้นใบหน้าเต็มไปด้วยความหนักใจ มิใช่ข่าวลือแปลก ๆ เกี่ยวกับมารดาของนาง จะทำให้บุตรชายไม่ยอมรับนางเด็กสาวผู้นั้นหรือ “ข้าเชื่อเจ้า แต่ว่า...” “แต่อะไร” เพ่ยอิงฮัวชักสีหน้าเมื่อสามีกำลังขัดใจนาง ไม่ว่าอย่างไรนางตัดสินใจแล้วย่อมถูกต้อง แต่งงานมาหลายปีไม่เคยขัดใจ หากขัดใจเพราะเรื่องลูกสะใภ้คงได้เห็นดีกัน “ข้าได้ยินว่าแม่เลี้ยงนางก็ร้ายกาจมิใช่รึ” “ข้าแต่งลูกเลี้ยงมาเป็นสะใภ้ หาใช่แม่เลี้ยงนางเมื่อไหร่ หรือเจ้าคิดลามกอะไรกับแม่เลี้ยงของลูกสะใภ้ข้า” เพ่ยอิงฮัวเรียกลูกสะใภ้เต็มปากเต็มคำ ทั้งที่นางยังไม่รับรู้เลยด้วยซ้ำ “ฮูหยินข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ข้าหมายถึงสินสอดของนางจะไม่ถูกแม่เลี้ยงริบไปจนหมดหรอกหรือ” ธรรมเนียมปฏิบัติของแคว้นเสิ่นหยาง สินสอดที่ฝ่ายชายมอบให้จะรวมกับสินเดิมเจ้าสาวแล้วเป็นทรัพย์สินแต่งออก แต่จะให้ครบหรือไม่อยู่ที่มารดาบิดาจะจัดการ “หึ...เจ้าคิดว่าข้าโง่รึ นางอนุร้ายกาจที่ได้ยกย่องเป็นฮูหยินผู้นั้น นอกจากไม่กล้าแตะต้องสินสอดของตระกูลอวี้เราแล้ว ยังต้องใส่สินเดิมให้ครบอีกด้วย” เรื่องนี้ไว้ใจเพ่ยอิงฮัว ของของลูกสะใภ้ใครก็ไม่อาจมาเอาไปได้ ไม่เช่นนั้นคงต้องอับอายไปทั้งแคว้นแล้ว ขึ้นชื่อว่าสะใภ้ตระกูลอวี้ ต้องไม่ยอมเสียเปรียบผู้ใด...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม