วันรุ่งขึ้นมินตราเดินทางมาแต่งหน้าให้กองถ่ายนิตยสารเปิดบ้านเซเลปที่บ้านของเจติยา ซึ่งการเจอกันครั้งนี้ เจติยาและมารดาดูไว้ตัวและเย็นชากับเธอต่างจากครั้งที่แล้วอย่างสิ้นเชิง เธอพยายามไม่ใส่ใจและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด หลังจากนี้เธอจะบอกน้ำหนึ่งว่าหากมีงานจากบ้านนี้เธอจะไม่รับ เป็นครั้งแรกที่เธอเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน แต่เธอขอเลือกความสบายใจดีกว่าที่จะต้องฝืนใจทำแล้วไม่มีความสุข
“เสร็จแล้วค่ะ” เจติยาหยิบกระจกมาส่องใบหน้าตัวเองซ้ายขวาแล้ววางลง
“ขอเจสคุยธุระส่วนตัวกับคุณมินนี่สักครู่ได้ไหมคะ” เจติยาหันไปบอกน้ำหนึ่งและทีมงานอีกสองคนที่คอยดูแลเสื้อผ้าหน้าผมให้ ทั้งหมดรับคำและเดินออกจากห้องไป
“คุณเจสมีอะไรจะคุยกับมินนี่เหรอคะ” มินตราถามขณะเก็บของลงกระเป๋าในใจเธอพอรู้อยู่ว่าอีกฝ่ายต้องการจะคุยเรื่องอะไร
“เจสอยากคุยกับคุณมินนี่เรื่องพี่วินค่ะ” มือบางที่กำลังหยิบเครื่องสำอางลงกระเป๋าชะงักก่อนจะหันมาสบตา เจติยาตรงๆ
“วินทำไมเหรอคะ”
“คุณมินนี่รู้จักกับพี่วินมานานแค่ไหนแล้วคะ”
“สิบกว่าปีแล้วค่ะ”
“รู้จักกันได้ยังไงคะ แล้วสนิทกันแค่ไหน”
“มินนี่กับวินรู้จักกันตั้งแต่เรียนไฮสคูลที่อเมริกาค่ะ ส่วนสนิทแค่ไหนมินนี่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกันค่ะ”
“เจสจะไม่อ้อมค้อมนะคะ เจสไม่ค่อยสบายใจที่พี่วินกับคุณมินนี่สนิทกันมากขนาดนี้ ครั้งก่อนพี่วินถึงกับเบี้ยวนัดเจสและวางสายใส่ แถมเรายังทะเลาะกันเพราะคุณมินนี่ด้วย จะขอมากไปไหมคะ ถ้าเจสจะขอให้คุณมินนี่เว้นระยะห่างกับพี่วินให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้พี่วินไม่ใช่คนโสดแล้ว พี่วินมีเจสเป็นแฟนคงไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบหรอกค่ะ ถ้าแฟนของเราจะสนิทสนมและแสดงความห่วงใยกับผู้หญิงคนอื่นมากเกินไป แม้จะบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทก็ตาม” วูบหนึ่งมินตรารู้สึกไม่พอใจและอยากจะสวนกลับไปว่าเจติยามีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้เธอออกห่างจากผู้ชายที่เธอรักมาสิบกว่าปีและรักมาก่อนเจ้าหล่อนเสียอีก แต่ก็ได้แค่คิดเพราะเธอไม่ควรจะพูดหรือไปทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนต้องมีปัญหากัน
“มินนี่ไม่รู้นะคะว่าเว้นระยะห่างของคุณเจสคือแค่ไหน แต่มินนี่กับวินเราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ และงานของเราก็ทำให้ต้องเจอกันบ่อยๆ เรื่องนี้คุณเจสคงต้องคุยกับคุณวินเองแล้วล่ะค่ะ” มินตราตอบไปตามตรงเพราะจู่ๆ จะให้เธอสั่ง ห้ามอนาวินมาหาหรือสั่งให้เขาตัดเธอออกไปจากชีวิตคงไม่ใช่เรื่อง เธออยู่ในพื้นที่ของเธอตลอดไม่เคยคิดจะทำลายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แม้เธอจะรักอนาวินมากแค่ไหนก็ตาม แต่เจติยากำลังล้ำเส้นเพราะความหึงหวงไร้สติ หากเธอกับเขาจะต้องตัดความสัมพันธ์กันเพราะความสบายใจของผู้หญิงที่เขาคบหาก็ขอให้อนาวินเป็นฝ่ายทำอย่างนั้นเอง
“หมายความว่าคุณมินนี่จะไม่ทำตามที่เจสขอใช่ไหมคะ”
“ไม่ใช่ทำหรือไม่ทำหรอกนะคะ แต่มินนี่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเพราะมินนี่ก็อยู่ในพื้นที่ของมินนี่ตลอดไม่เคยคิดจะไปวุ่นวายอะไรเรื่องของคุณสองคน ถ้าคุณไม่พอใจการกระทำของวินก็ควรคุยกับวินเองนะคะ” ยังไม่ทันที่เจติยาจะได้ตอบอะไรเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“คุณเจสซี่คะ คุณวินมาแล้วค่ะ” ชื่อของอนาวินทำให้เจติยาลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกไปทันทีเพราะเขาคือช่างภาพที่รับหน้าที่ถ่ายภาพในวันนี้ มินตราถอนหายใจและหยิบอุปกรณ์เดินตามไปยังฉากที่ถูกเซ็ทเตรียมไว้บริเวณห้องรับแขก ภาพที่เห็นตรงหน้าคือเจติยายืนกอดแขนอนาวินในขณะที่เขากำลังคุยกับคุณหญิงจรุงจิต
“อ้าว มินนี่” อนาวินหันมายิ้มให้เธอและทำท่าจะเดินมาหา แต่ถูกเจติยาดึงเอาไว้
“พี่วินคะ เจสให้แม่บ้านเตรียมของว่างไว้ให้ พี่วินไปทานก่อนนะคะ เจสถามทีมงานแล้วยังมีเวลาอีกยี่สิบนาทีกว่าจะเริ่มถ่ายกัน”
“ใช่จ้ะ น้าสั่งให้แม่บ้านไปซื้อจากร้านเจ้าอร่อยมาเลยนะ วินไปทานกับน้องนะ” คุณหญิงจรุงจิตรีบสำทับทำให้ อนาวินต้องเดินตามการจับจูงไป เจติยาหันมามองมินตราด้วยแววตาของผู้ชนะก่อนจะหันกลับไปฉอเลาะกับอนาวินต่อ เธอจะไม่ยอมเสียเขาไปง่ายๆ แน่ หลังจากทะเลาะกันครั้งนั้นเธอต้องบีบน้ำตาและใช้มารยาขอโทษเขาเพื่อให้เขายกโทษให้และเธอก็ทำสำเร็จ ดังนั้นเธอจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาเขาเอาไว้และไม่ให้ใครมาแย่งไปได้เป็นอันขาด โดยเฉพาะช่างแต่งหน้าธรรมดาๆ ถึงจะมีชื่อเสียงเป็นที่นิยมของเหล่าดาราเซเลป แต่ถ้าเทียบกับทายาทนักธุรกิจพันล้านอย่างเธอแล้วมินตราไม่มีอะไรเทียบได้เลย ดังนั้นเธอจะยอมแพ้ช่างแต่งหน้าธรรมดาๆ ไม่ได้เป็นอันขาด
“คุณเจสซี่นี่ร้ายเหมือนกันนะคะ” น้ำหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์โดยตลอดเข้ามากระซิบกับมินตรา
“หืม หนึ่งพูดอะไร” มินตราถามด้วยความประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าน้ำหนึ่งที่ดูเฉยๆ จะมองออก
“โอ๊ย เห็นหนึ่งดูซื่อๆ โง่ๆ แต่ความจริงหนึ่งไม่ได้ซื่อบื้อจนไม่รู้อะไรนะคะคุณมินนี่ หนึ่งว่าคุณเจสซี่น่ะหึงคุณวินกับคุณมินนี่ ตะกี้ถึงได้กันซีนไม่ให้คุณวินเดินมาหาคุณมินนี่ ไหนๆ พูดแล้วก็ขอพูดหน่อยเถอะค่ะ หนึ่งอึดอัดอกจะแตก คุณมินนี่รู้ไหมคะว่าคนที่บ้านอัศวกุลรวมถึงคุณหญิงอรดีไม่ได้ปลื้มคุณเจสซี่หรอกนะคะ” มินตรามองซ้ายมองขวาเพระกลัวว่าจะมีใครมาได้ยินเข้าแล้วจะเป็นเรื่อง
“ทำไมหนึ่งถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“หนึ่งไม่ได้คิดค่ะ แต่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน ส่วนคุณอรน่ะท่านไม่เคยขัดใจคุณวินอยู่แล้ว คุณวินจะรักจะชอบใครท่านก็ไม่ว่า แต่หนึ่งแอบได้ยินป้าจิตกับคุณอรคุยกันว่าคนนี้ยังไม่ผ่าน หนึ่งก็ไม่รู้ว่าไม่ผ่านเพราะอะไรนะคะ แต่สำหรับพวกเราแม่บ้านแล้วไม่ผ่านเพราะคุณเจสซี่เธอค่อนข้างไว้ตัวและเจ้ายศเจ้าอย่างเวลาไปที่บ้านน่ะค่ะ”
“อาจจะเพราะเขาอยู่เมืองนอกแต่เด็กมั้งจ๊ะ”
“ไม่จริงหรอกค่ะ คุณมินนี่ก็อยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็กยังไม่เคยทำแบบนั้นเลย ป้าจิตน่ะปลื้มคุณมินนี่มากชมแล้วชมอีก แถมยังเอาคุณมินนี่กับคุณเจสซี่มาเปรียบเทียบกันให้คุณอรฟังด้วยนะคะ ว่าระหว่างคุณมินนี่กับคุณเจสซี่ป้าจิตอยากให้คุณวินชอบคุณมินนี่มากกว่า ที่พีคกว่านั้นคือคุณอรท่านก็เห็นด้วยนะคะ”
“อะไรนะ”
“หนึ่งพูดจริงๆ นะคะ หนึ่งได้ยินมากับหูตอนที่ป้าจิตบอกคุณอรว่าถ้าเลือกได้อยากให้คุณวินลงเอยกับคุณมินนี่มากกว่า เพราะเห็นกันมานาน แถมคุณมินนี่ยังหน้าตาสะสวยมีสัมมาคาราวะ แล้วคุณอรตอบว่ายังไงรู้ไหมคะ อะแฮ่ม” น้ำหนึ่งทำท่าเก๊กเสียงเป็นคุณอรดี
“ฉันก็เห็นด้วยกับแม่จิต ถ้าถามใจฉันล่ะก็ ฉันแอบอยากได้หนูมินนี่มาเป็นลูกสะใภ้ตั้งนานแล้ว ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้เหลือเกิน ติดที่ว่าเด็กสองคนนี้เขาเป็นเพื่อนกัน ฉันก็เลยหมดหวัง” มินตราตกใจกับสิ่งที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน เธอยอมรับว่าวูบหนึ่งหัวใจของเธอมันพองโตคับอกที่คุณอรดีมารดาของอนาวินรักและเอ็นดูเธอขนาดนี้ แต่ต่อมาหัวใจที่พองฟูได้เพียงชั่วครู่ก็ต้องห่อเหี่ยวเพราะมันเป็นไปไม่ได้
“อย่าว่าแต่ป้าจิตกับคุณอรและคนอื่นๆ ที่บ้านเลยค่ะ หนึ่งเองก็แอบเชียร์คุณมินนี่กับคุณวินเหมือนกัน”
“น้ำหนึ่ง ไม่เอาอย่าพูดแบบนี้ ใครได้ยินเข้ามันจะไม่ดีนะ”
“ค่ะๆ หนึ่งไม่พูดแล้วก็ได้ แต่หนึ่งแค่อยากบอกให้คุณมินนี่รู้ไว้ เผื่อว่าจะมีโอกาสเป็นจริงขึ้นมาบ้าง” ‘มันไม่มีวันเป็นจริงได้หรอกหนึ่ง’ ประโยคนี้มินตราได้แต่ตอบน้ำหนึ่งอยู่ในใจ