ไปพาตัวมา

1277 คำ
เสียงพูดคุยหัวเราะของทหารที่เดินผ่านกระโจมทำให้ฝูเหิงที่อยู่ด้านใน ใจไม่สงบนัก เขาไม่รู้ว่าเหตุใดแผ่นหลังของนางทำให้เขานึกถึงเจ้าเต้าหู้น้อยของเขาขึ้นมาได้ แม้จะไม่พบนางมาเกือบสี่ปีแล้ว หากได้เห็นอีกครั้งเขาย่อมจำนางได้ในทันที “เจ้าไปตรวจดูสตรีที่เข้ามาในค่ายเป็นผู้ใด” “ขอรับ” ฝูเหิงสั่งทหารคนสนิทให้รีบออกไปตรวจสอบให้เขาทันที เหยาเหยาเมื่อตรวจดูอาการไข้ของมารดาลดลงแล้วนางก็พักอยู่แต่ในบ้านดินไม่ได้ออกมาด้านนอกอีกเลย เพราะหน้าตาของนางที่เป็นจุดเด่นมากเกินไป ทำให้ไม่อยากออกไปปรากฏตัว เพียงแค่สายตาของชาวบ้านกับทหารที่มองมายามนางเดินผ่านก็ทำให้นางอดจะหวาดกลัวไม่ได้ ยังดีที่บ่าวผู้ชายในจวนผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้าที่หน้าบ้านดินของนางไม่ขาด เสี่ยวถงทหารคนสนิทของฝูเหิงหาตัวสตรีที่เข้าไปในค่ายไม่พบ แต่เขาก็พอจะรู้ว่านางพักอยู่ที่บ้านดินหลังไหน เมื่อซุ่มหลบดูอยู่นานก็ไม่เห็นว่านางจะออกมา มีเพียงสาวใช้ที่เดินเข้าออกเท่านั้น แต่อย่างน้อยเขาก็สืบจนรู้ว่านางมาจากตระกูลใด เสี่ยวถงรีบกลับไปที่ค่ายเพื่อรายงานนายของตนทันที “ได้ความว่าอย่างไร” ฝูเหิงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “ข้าน้อยไม่พบตัวนางขอรับ” เมื่อเห็นสายตาของฝูเหิงที่มองมาราวกับจะบีบคอเขาให้ตาย เสี่ยวถงก็รีบเอ่ยเรื่องนามของนางทันที “รู้เพียงว่านางเป็นคุณหนูตระกูลหวัง หวังเจินเหยาขอรับ” สิ้นคำของเสี่ยวถง ฝูเหิงก็ปล่อยจอกสุราทิ้งลงพื้นจนแตกละเอียด ดวงตาของเขาทอประกายวูบอย่างน่าหวาดหวั่น ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอ่านสิ่งใดอยู่ เพียงเสี่ยวถงเดินออกไปจากกระโจม เสียงพังข้าวของด้านในก็ดังโครมครามออกมาด้านนอก ทหารที่เฝ้าหน้ากระโจมต่างถอยห่างออกไป เพราะกลัวคนด้านในจะเกิดพาลจนมาหาคู่ซ้อมเช่นพวกเขา “เกิดอันใดขึ้น” ตงหยางเดินเข้ามาถามเสี่ยวถงที่ยืนตัวสั่นอยู่หน้ากระโจมน้องชาย “รองแม่ทัพให้ข้าน้อยไปตรวจสอบเรื่องสตรีที่เข้ามาในค่ายขอรับ” เสี่ยวถงเอ่ยตอบอย่างสั่นเทา หากเรื่องเพียงแค่นี้ ไม่อาจทำให้โทสะของฝูเหิงเป็นเช่นนี้ไปได้ “แล้วอย่างไร” เขาเอ่ยถามเสียงเย็น “ข้าน้อยบอกรองแม่ทัพว่านางคือคุณหนูหวัง หวังเจินเหยา ท่านรองแม่ทัพก็ทำลายข้างของเลยขอรับ” เสี่ยวถงเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ ตงหยางดวงตาไหววูบขึ้น เมื่อรู้ว่าคนตระกูลหวังอยู่ที่ค่ายผู้อพยพ “ไปพาตัวคุณชายหวังกับคุณหนูหวังว่า” เขาเอ่ยสั่งเสี่ยวถง แล้วเดินเข้าไปในกระโจมของน้องชาย “หึ เพียงได้ยินชื่อนางก็คลุ้มคลั่งเลยรึ” ตงหยางรินสุราลงในจอก ที่ยังไม่แตกอย่างใจเย็น “หรือท่านไม่แค้นคนตระกูลหวัง” ฝูเหิงหันมามองพี่ชายที่นั่งลงดื่มสุราอย่างใจเย็น ดวงตาของเขาแดงก่ำอย่างน่าหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์สุราหรือโทสะที่อยู่ในใจ “วิธีจะจัดการนางมีต้องมากมาย แต่เจ้ากับเลือกทำลายข้าวของ” ตงหยางมองน้องชายอย่างใจเย็น “ท่านกำลังพูดสิ่งใด” ฝูเหิงเอ่ยถามพี่ชายอย่างไม่เข้าใจ เรื่องวางแผนพี่ชายของเขาเก่งกาจยิ่งนัก แต่หากเป็นเรื่องพละกำลังเขาไม่แพ้ผู้ใดแน่นอน “ข้าให้เสี่ยวถงไปพานางมาที่ค่าย ถึงตอนนั้นเจ้าจะทรมานนางเช่นไรก็ย่อมใด” ตงหยางหมุนจอกสุราในมือ ดวงตาของเขาเปล่งประกาย เมื่อถึงใบหน้างามของสองพี่น้องที่เขาเคยสนิทสนม “ยังเป็นท่านพี่ที่หลักแหลม” ฝูเหิงยิ้มเย็นออกมา เขาอยากจะรู้เมื่อนางตกอยู่ในเงื้อมมือของเขานางจะยังเยือกเย็นอย่างที่เคยเป็นได้หรือไม่ เสี่ยวถง เมื่อมาถึงที่บ้านดินที่พักของตระกูลหวัง เขาก็แจ้งเรื่องที่ท่านแม่ทัพเรียกสองพี่น้องให้เข้าไปพบ เพื่อสอบถามเรื่องอาการป่วยที่ทั้งคู่ได้มาขอยาไป เหยาเหยานางขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ หรือพวกเขาจะรู้ตัวของพวกนางแล้ว แต่ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะคนอย่างฝูเหิงหากรู้ว่าเป็นนางไม่ปล่อยให้นางออกจากค่ายทหารในตอนแรกเป็นแน่ แต่หนิงเฉิงเริ่มสั่นสะท้านเสียแล้ว เพราะเขารู้ดีว่าคนเช่นตงหยางร้ายกาจเจ้าเล่ห์มากเพียงใด แต่ทั้งคู่ก็ยังยอมเดินทหารไปที่ค่าย เพื่อไม่ให้บิดามารดาเป็นห่วงทั้งคู่สบตากันก่อนที่จะรับรู้ว่าไม่สมควรพูดถึงสองพี่น้องเซี่ย เสี่ยวถงที่เห็นใบหน้าของเหยาเหยาในครั้งแรกยังอดที่จะจ้องมองนางตาค้างไม่ได้ ไม่ต่างจากที่ทหารพูดคุยกันในค่าย ความงามของนางทำให้เขาดูต่ำต้อยจนไม่กล้ามองใบหน้างามนั้นนาน “แม่นาง หาผ้าปิดหน้าเสียหน่อยเถิด” เขาเอ่ยออกมาอย่างหวังดี เหยาเหยานางลืมเรื่องนี้ไปสนิท ก่อนจะหันไปหาเสี่ยวผิงเพื่อให้นางนำผ้าปิดหน้ามาให้นาง “เดินไหวหรือไม่” หนิงเฉิงเอ่ยถามน้องสาว เมื่อเห็นว่านางเดินช้าลง เหยาเหยาส่ายหัว เพราะนางตอนที่ออกมาจากค่ายทหารในตอนแรกก็เร่งฝีเท้าเสียจนแผลที่บาดเจ็บระบมเพิ่ม ยิ่งต้องเดินไปอีกรอบนางก็ก้าวขาไม่ออกเสียแล้ว เสี่ยวถงมองนางอย่างเห็นใจ แต่เขาก็ไม่อาจที่จะช่วยแบกนางได้ ยังดีที่มีพี่ชายนางมาด้วย หนิงเฉิงจึงแบกน้องสาวขึ้นหลังแล้วเดินช้าๆ ไปที่ค่ายทหาร ตงหยางนั่งดื่มสุรารออย่างใจเย็น แต่ผิดกับฝูเหิงที่เขาเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวาย “เหตุใดถึงช้านัก” เขาตะโกนออกมาอย่างหัวเสีย “หึหึ มิใช่เจอนางแล้วเจ้าก็ใจอ่อนเสียก่อนเล่า” ตงหยางเอ่ยดักทางน้องชาย เมื่อสี่ปีที่แล้ว ก่อนจะเดินทางมาชายแดนเหนือ เขาเห็นฝูเหิงหายออกจากขบวนกองทัพไป เมื่อกลับมาก็เห็นสีหน้าเจ็บปวดของเขา เมื่อถามเสี่ยวซานบ่าวของน้องชาย เขาจึงได้รู้ว่าน้องชายตัวดีแอบไปที่จวนตระกูลหวัง เพียงแต่ไม่กล้าเข้าไปด้านใน “ไม่มีวัน” เขากัดฟันเอ่ยออกมา ก่อนจะยกไหสุราขึ้นดื่ม เพื่อดับความร้อนที่อยู่ในใจ “ท่านแม่ทัพ คุณชายหวังกับคุณหนูหวังแม่แล้วขอรับ” เสี่ยวถงร้องบอกอยู่ที่หน้ากระโจม ตงหยางลุกพรวดขึ้นก่อนจะเดินออกไป เขาลากตัวหนิงเฉิงไปที่กระโจมของเขาทันที หนิงเฉิงก็ตกตะลึงเกือบจะปล่อยน้องสาวที่อยู่บนหลังตกพื้นเสียแล้ว “แล้วเหยาเหยาเล่าขอรับ” เขาเอ่ยถามเสียงสั่น “นางไม่ตายหรอก แต่เจ้าไม่แน่” ตงหยางกระซิบข้างหูของหนิงเฉิง ก่อนจะดึงแขนของเขาให้เข้าไปในกระโจม เหยาเหยายืนนิ่งอย่างตกตะลึงที่เห็นพี่ชายถูกลากตัวไปเช่นนั้น พอนางก้าวขาจะตามไปกลับถูกมือหนาใหญ่ดึงรั้งเข้าไปในกระโจมเสียก่อน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม