เหยาเหยานางอายุได้สิบสองหนาว เหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของนางก็เกิดขึ้น เมื่อท่านลุงของนางที่เป็นผู้ตรวจการในเมืองหลวงส่งหลักฐานการยักยอกการค้าเกลือของตระกูลไป๋ขึ้นถวายฮ่องเต้
ไป๋จิ้งเจียน บิดาของ ไป๋เยว่ มารดาของเซี่ยตงหยางและเซี่ยฝูเหิง ทำให้ความผิดครั้งนี้ของตระกูลไป๋ถูกริบทรัพย์ ตระกูลไป๋ที่มีความผิดก็ถูกประหาร บุรุษสตรีในจวนต่างถูกเนรเทศ บางถูกส่งเข้าหอนางโลม
ไป๋เยว่ เมื่อรู้ข่าวของบิดาก็ล้มป่วยจนตรอมใจ เพียงไม่กี่เดือนนางก็จบชีวิตลง
ความจริงเป็นเรื่องที่ท่านลุงของเหยาเหยาสมควรทำอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าตงหยางกับฝูเหิงจะผูกใจเจ็บกับเรื่องนี้ยิ่งนัก
เมื่อโยวลู่พาบุตรทั้งสองไปร่วมงานศพของไป๋เยว่ที่จวนตระกูลเซี่ย ผู้อาวุโสต่างก็ไม่ได้ผิดใจกัน แต่ไม่ใช่กับฝูเหิงที่โกรธแค้นญาติฝั่งมารดาของเหยาเหยาจนกลายเป็นเรื่องเป็นราว
“เจ้ายังกล้ามาเหยียบที่จวนของข้าอีกหรือ” เขาเอ่ยต่อว่านางเมื่อนางเดินเข้ามาเคารพศพของไป๋เยว่
ยังดีที่บิดากับพี่ชายของนางเข้าไปเคารพก่อนหน้านี้แล้ว ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะกระอักกระอ่วนใจมากเพียงใด
“อาเหิงอย่าเสียมารยาท” ตงหยางเอ่ยดุน้องชายเสียงเข้ม แต่สายตาของเขาที่มองมาทางเหยาเหยาก็ว่างเปล่าไม่เหมือนเดิม
เหยาเหยานางสงบนิ่งไม่ตอบโต้ เพราะรู้ว่าฝูเหิงกำลังเสียใจกับการจากไปของมารดา นางทำพิธีจนเสร็จก็เดินออกมาจากห้องโถง
แต่ฝูเหิงไม่ยอมปล่อยให้นางจากไปง่ายๆ ยิ่งเห็นใบหน้าเรียบเฉยของนางโทสะใส่ใจก็พุ่งสูงขึ้นเกินจะควบคุมได้
“ปล่อย ข้าเจ็บ” ฝูเหิงดึงลากเหยาเหยาไปที่ด้านหลังของเรือน
รอยนิ้วมือของเขาปรากฏที่ข้อมือขาวนวลของนางอย่างน่าสงสาร
“หึ ถูกทำเพียงแค่นี้ก็เจ็บแล้วหรือ แต่สิ่งที่ตระกูลมู่ของท่านตาเจ้าทำไว้กับท่านตาของข้า เพียงเท่านี้นับเป็นอะไร”
“แล้วข้าเกี่ยวอันใดกับเรื่องนี้” นางเอ่ยถามอย่างสงสัย
เขาจะมาพาลนางได้อย่างไร ตระกูลหวังของนางไม่ได้ทำสิ่งใดให้เขาเจ็บช้ำสักอย่าง
“เจ้าจะไม่เกี่ยวได้อย่างไร เจ้าเป็นหลานสาวของตระกูลมู่”
“ฝูเหิงข้าว่าท่านพาลเสียแล้ว หากมีเรื่องที่จะพูดเพียงเท่านี้ข้าขอตัว” เหยาเหยานางเอ่ยอย่างใจเย็น ก่อนจะเดินกลับไปหาบิดา
“ข้าจะทำให้ตระกูลมู่กับตระกูลหวังของเจ้าต้องเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น” ฝูเหิงเอ่ยเสียงเหยียบเย็นออกมา แววตาที่เขามองมาทางเหยาเหยาเจ็บปวดจนนางอดจะเห็นใจไม่ได้
“แล้วแต่ท่านเถิด ข้าคงไปห้ามความคิดท่านไม่ได้” เพราะนางรู้ดีว่าเขาดื้อรั้นมากเพียงใด
หากยังเอ่ยห้ามหรือโต้แย้งแทนท่านลุงของนาง ไม่รู้ว่าเขาจะระเบิดอารมณ์ใส่นางมากเพียงใด
เหยาเหยาเมื่อมาอยู่ข้างกายบิดากับพี่ชาย นางก็ไม่เอ่ยเรื่องที่ฝูเหิงพูดกับนางให้พวกเขาฟัง
แต่เมื่อขึ้นรถม้ากลับจวนนางก็พูดกับบิดาเรื่องที่นางกังวลทันที
“ท่านพ่อ ลูกขอปากมากสักคำ อยู่ใกล้ชิดกษัตริย์ เหมือนอยู่ข้างๆ เสือ ในเมื่อตอนนี้ฮ่องเต้ ทรงมีความคิดอ่านเป็นของตนเองแล้ว ท่านพ่อท่านถอยออกมาเสียตอนนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ”
โยวลู่เมื่อฟังคำพูดของบุตรีมีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจ ในตอนนี้เป็นอย่างที่นางพูดจริงๆ เมื่อเขาได้รับความโปรดปรานมากเพียงใดก็รั้งแต่จะเป็นภัยมาถึงตัว
เรื่องที่มาจวนตระกูลเซี่ยในวันนี้ เขาจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวได้อย่างไร ฝูเหิงยังเป็นเด็กน้อยที่มองไม่ทะลุปรุโปร่ง เขาย่อมหุนหันพลันแล่น พูดไม่คิดออกมา
เหยาเหยานางสนิทสนมกับเขามาตั้งแต่เด็กย่อมจะกังวลใจในสิ่งที่ได้ยิน
“เหยาเหยาไม่ต้องห่วง เรื่องนี้พ่อก็คิดเช่นเจ้า” โยวลู่ตบลงที่มือขาวเรียวของบุตรีเบาๆ เขามักจะรับฟังในสิ่งที่บุตรีพูด เพราะว่านางมีสายตาที่กว้างไกล
หลังจากฝั่งร่างของมารดาลงหลุมในสุสานบรรพชน สองพี่น้องก็ออกเดินทางขึ้นเหนือเพื่อเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร ฝูเหิงยังมีโทสะเรื่องของมารดาไม่หายจึงไม่คิดที่จะมาบอกลาเหยาเหยา
เหยาเหยานางก็รู้เมื่อเขาออกเดินทางไปได้หลายวันแล้วจากผู้เป็นบิดา
หนึ่งปีต่อมา หวังโยวลู่ก็ลาออกจากตำแหน่ง หลังจากที่เขาบอกเรื่องที่ตนอยากกลับไปอยู่บ้านเกิดให้ฮ่องเต้ได้ฟัง เกือบปีที่พระองค์ถึงยอมปล่อยให้เขาได้ลาออก
เหยาเหยานั่งอยู่ในรถม้ากับพี่ชาย นางเปิดผ้าม่านรถม้าขึ้น เพื่อมองเมืองหลวงที่อยู่มาสิบสามปีเป็นครั้งสุดท้าย
นางทิ้งเรื่องทั้งหมดไว้อยู่ด้านหลัง ยังดีที่บิดาชิงพูดเรื่องลาออกเร็วเสียก่อน ไม่เช่นนั้นนางไม่อยากจะคิดว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น
เมื่อฝูเหิงทำตามสิ่งที่เขาพูดจริง นางก็ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีใดที่ทำให้ฮ่องเต้เริ่มแคลงใจบิดาของนาง หากไม่มีเรื่องที่บิดาของนางขอลาออกไปอยู่ที่บ้านเดิม ฮ่องเต้คงได้จัดการกับตระกูลหวังของนางเสียแล้ว
โยวลู่พาครอบครัวเดินทางนับสองเดือนกว่าจะมาถึงที่เมืองหานเป่ยทางตอนเหนือ ยังดีที่เรือนของบิดามีผู้ดูแลตลอดจึงไม่ได้ทรุดโทรมมากนัก
บ่าวที่ติดตามมาก็ไม่ได้มากเช่นตอนที่อยู่ที่เมืองหลวง แต่อย่างน้อย เมื่ออยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องคอยพะวงเรื่องจะถูกใส่ร้าย
โยวลู่มาอยู่ หานเป่ยได้เพียงไม่กี่วัน ก็เริ่มมีสำนักศึกษามาทาบทามให้เขาไปสอนตำราแล้ว ถึงเรื่องเงินทองจะไม่ได้ขัดสน แต่เมื่อคนที่เคยทำงานมาตลอดกับอยู่แต่จวนเพียงอย่างเดียวโยวลู่ก็เริ่มเป็นคนเงียบขรึมมากขึ้น
“ท่านพ่อข้าว่าก็ดีนะเจ้าคะ ท่านไปสอนตำราในสำนักศึกษา อย่างน้อยความรู้ที่ท่านมีก็ถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้”
“จริงของน้องขอรับ ท่านพ่อ” หนิงเฉิงเห็นด้วยกับน้องสาว
แม้จะมาอยู่ที่นี่เขาจะไม่มีสหายเช่นในเมืองหลวง แต่อย่างน้อยก็ยังมีน้องสาวที่พูดคุยกันได้
เมื่อเห็นว่าลูกเมียมีความคิดเช่นเดียวกัน โยวลู่ก็ยินยอมที่จะรับปากไปสอนในสำนักศึกษาเนี่ยนเจิน
ความงามของอดีตบุตรสาวราชครูถูกลือในเมืองหานเป่ย จนบุรุษทั้งหลายต่างมาลอบมองนางที่จวน เพื่อจะได้ยลโฉมสาวงามสักครั้ง ว่าเป็นเช่นข่าวลือหรือไม่
เหยาเหยานางไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนจึงไม่มีผู้ใดเคยพบหน้านาง เวลาของนางทั้งหมดล้วนหมดไปกับการศึกษาตำราแพทย์ที่นำมาจากเมืองหลวง
หากจะออกจากจวนเมื่อใด นางก็มักจะปกปิดใบหน้าเสมอ จึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นนางเมื่ออยู่ข้างนอกจวน