“ไปไหนอะสอง?”
คนที่เพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จหันไปถามคนขับเมื่อเห็นว่ารถที่วิ่งออกมาจากร้านอาหารได้พักใหญ่กำลังออกนอกเส้นทาง... เส้นทางนี้ไม่ใช่เส้นทางกลับคอนโดทว่ามันคือถนนสายหลักที่มุ่งตรงสู่มหาวิทยาลัยที่เธอกับสองเรียนอยู่
“ไปมหา’ลัยเหรอ?” เมื่อคนขับยังเงียบก็เลยถามต่อ ครั้งนี้สองไม่ได้เงียบใส่เธอทว่าขานรับในลำคอเพื่อบอกว่าเธอเดาถูก จุดหมายปลายทางที่สองกำลังจะไปคือมหาวิทยาลัยที่เธอกับเขาเรียนอยู่ ที่เธอสงสัยสองจะเข้าไปในมหาวิทยาลัยทำไม เขามีธุระอะไรให้ต้องไปทำ
“อือ”
“ไปทำไมอะ วันนี้มีนัดรวมพลเหรอ? ไม่เห็นรู้เรื่องเลย” พูดพร้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูกลุ่มไลน์ต่างๆก็ไม่เห็นว่ามีการแจ้งนัดหมายหรือว่ารวมพลอะไรเพิ่มเติม ข้อความล่าสุดก็ยังเป็นข้อความประชาสัมพันธ์เรื่องการรับน้องและงานปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ที่จะมีขึ้นอาทิตย์หน้า
“เปล่า ไม่ได้นัด”
“ถ้าไม่ได้นัดแล้วสองจะเข้าไปในมอทำไม? มีธุระ?” ปกติเธอเป็นคนพูดเยอะอยู่แล้ว ทว่าเวลาอยู่กับสองเธอต้องเพิ่มประสิทธิภาพการพูดเป็นสองเท่า อยากรู้หรือว่าสงสัยอะไรก็ต้องถาม ซึ่งเธอก็ทำมาตลอด
มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เธอไม่กล้าพูด และไม่คิดที่จะพูดมันออกไป
“ไอ้เช่มันไลน์มาให้ไปช่วยแข่งบาสกับพวกนิเทศ มันบอกว่าคนไม่พอ”
“เช่ชวนไปเล่นบาส?” ฟ้าลดาหันไปเลิกคิ้วมองคนขับ ปอร์เช่ชวนไปเล่นบาสแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ “แล้วทำไมสองไม่ไปส่งเราที่คอนโดก่อน อย่าบอกนะว่าจะให้เราไปนั่งเฝ้าสองที่สนามบาส ไม่เอาอะ ร้อนก็ร้อนอยากกลับห้องไปนอนมากกว่า”
“แข่งแปปเดียว”
“แปปเดียวน่ะกี่นาที?”
“ก็จบเกม”
“จบเกมเขาเรียกแปปเดียวเหรอสอง ถ้าแปปเดียวมันก็ไม่ควรเกินห้านาทีมั้ย” หรือถ้าเกินห้านาทีก็ไม่ควรเกินสิบนาที ถ้ามากกว่านั้นเธอไม่เรียกว่าแปปเดียวหรอกนะ
“มีที่ไหนแข่งบาสห้านาที”
“ก็ไม่มีไง” พูดจบก็ไม่ลืที่จะแบะปากกลอกตามองบนให้มันครบสูตร แล้วมาบอกว่าแข่งแปปเดียว ถ้าจะเล่นจนจบเกมแล้วเอาอะไรมาแปปเดียว “สองไปส่งเราที่คอนโดก่อนไม่ได้เหรอแล้วค่อยกลับมาเล่นบาสกับไอ้เช่”
กลุ่มเธอมีทั้งหมดหกคน เป็นผู้ชายสี่คนซึ่งก็คือสอง ปอร์เช่(ปรมะ)คนต้นเรื่องที่ส่งข้อความชวนสองมาเล่นบาส อีกสองคนคือ คลื่น(คฑากร) และตี๋(เตชินท์) ซึ่งเธอไม่รู้ว่าสองคนนี้มาด้วยหรือเปล่า
ส่วนผู้หญิงสองคนคือเธอและเฌอเบลสาวเหนือจากเมืองเชียงใหม่ที่ขาวออร่าเหมือนคนไม่เคยออกแดด
“ไม่ส่ง บอกแล้วไงรอกลับพร้อมกัน” พูดจบก็ตบไฟเลี้ยวเลี้ยวรถเข้าประตูมหาวิทยาลัยทันที ปิดโอกาสฟ้าลดาอย่างสมบูรณ์
“เอาแต่ใจตัวเองเกินไปปะ ตกลงเป็นเพื่อนหรือเป็นพ่อกันแน่” ฟ้าลดาบ่นอุบ บึนปากใส่คนข้างๆที่นั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอย่างขัดใจ บอกเลยว่าพ่อเธอยังไม่เคยบังคับเธอขนาดนี้เลย แล้วไม่ใช่แค่บาสเก็ตบอลนะที่สองลากเธอไปนั่งเฝ้าเป็นหมาหงอยอยู่ข้างสนามด้วยแทบทุกครั้ง แม้แต่เวลาที่สองไปเล่นฟุตบอลเขายังลากเธอไปนั่งโง่ๆรอเขาบนอัฒจันทร์ข้างสนามแทบทุกครั้ง วันที่เธอไม่ได้ไปคือวันที่เธอติดธุระจริงๆ
ไม่รู้เพราะหมั่นไส้ที่เธอบ่นเยอะหรืออยากจะกวนให้เธอหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม ทันทีที่เลี้ยวรถผ่านประตูมหาวิทยาลัยสองก็ยื่นมือซ้ายของตัวเองมาขยี้ผมเธอทันที
“สอง! นิสัย!” ฟ้าลดาหันไปถลึงตาขวางมองคนข้างๆที่เล่นอะไรเป็นเด็กๆ ต้องมาเสียเวลาเธอจัดทรงผมใหม่อีก
คนยิ่งไม่ได้สระผม ไม่รู้หรือไงว่ามันจัดทรงยาก
แล้วอย่านึกว่าสองจะสำนึกนะ นอกจากจะไม่สลดหรือว่าสำนึกในสิ่งที่ตัวเองทำแล้วยังยกยิ้มมุมปากพอใจกับท่าทางหงุดหงิดของเธอไปอีก
“บ่นมาก รำคาญว่ะ”
“รำคาญแล้วพามาด้วยทำไม รำคาญสองก็พาไปส่งที่คอนโดสิ”
“ไม่!”