เมื่อขับรถไปถึงสนามบาสเก็ตบอลของคณะนิเทศศาสตร์ สองก็เดินถือกระเป๋ากีฬาสีดำใบโปรดเข้าไปด้านในเพื่อเปลี่ยนชุด ส่วนเธอเดินเลี่ยงไปซื้อกาแฟที่ซุ้มเครื่องดื่มด้านหน้า ฟ้าลดาสั่งคาปูซิโน่สำหรับตัวเองพร้อมกับซื้อน้ำเปล่าเพิ่มอีกสองขวดสำหรับสองและปอร์เช่
ส่วนคลื่นกับตี๋ไม่ต้องซื้อเผื่อเพราะสองคนนั้นไม่ได้มาด้วย เห็นว่าเมาค้างตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่ฟื้น
เมื่อได้เครื่องดื่มครบก็เดินไปนั่งรอที่ม้านั่งข้างสนาม ไม่นานสองในชุดบาสสีขาวก็เดินมาหยุดตรงหน้าเธอ วางกระเป๋ากีฬาสีดำลงบนม้านั่งที่เธอนั่งอยู่ ก่อนยื่นโทรศัพท์มือถือพร้อมกุญแจรถมาให้เก็บไว้ตามด้วยนาฬิกาเรือนหรูราคาแพงที่เจ้าตัวเพิ่งปลดจากข้อมือซ้าย จะเหลือก็แต่สร้อยข้อมือสีเงินบนข้อมือขวาที่เขาไม่ยอมปลดมันออก
ฟ้าลดามองสร้อยข้อมือสีเงินที่อยู่บนข้อมือแกร่งแววตาเป็นประกาย หัวใจพองฟูคับอกทุกครั้งที่เห็นมันอยู่บนข้อมือของสอง มันคือของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่เธอซื้อให้สองเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นเธอคิดอยู่นานว่าจะซื้ออะไรเป็นของขวัญวันเกิดให้สอง เธอชอบสร้อยข้อมือเส้นนี้มาก เรียกได้ว่าโดนใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ทว่าก็ลังเลอยู่นานกว่าจะตัดสินใจซื้อเพราะกลัวว่าสองจะไม่ใส่ เพราะนอกจากนาฬิกาแล้วเธอไม่เคยเห็นสองใส่เครื่องประดับอื่นเลย
จนกระทั่งทุกวันนี้เธอก็ยังรู้สึกปลื้มใจไม่หายที่ตัดสินใจซื้อสร้อยข้อมือเส้นนี้ สองเป็นผู้ชายที่ใส่สร้อยข้อมือได้ดูดีและเท่มาก
มากกว่าอะไรทั้งหมดคือสองไม่เคยถอดสร้อยข้อมือเส้นนี้เลย ไม่รู้เป็นเพราะความขี้เกียจถอดเพราะคิดว่ามันยุ่งยากหรือว่าอะไรก็ตาม
ทว่าการที่สองใส่สร้อยข้อมือที่เธอซื้อให้ตลอดเวลามันทำให้หัวใจของเธอพองฟูอิ่มเอมทุกครั้งที่เห็น
“ยิ้มไร?”
“ยิ้มอะไร ใครยิ้ม เราไม่ได้ยิ้มซะหน่อย”
“เมื่อกี้เธอยิ้ม”
“เราไม่ได้ยิ้มสอง อย่ามั่ว”
“หึ”
“หึอะไร ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ยิ้ม”
ฟ้าลดาหน้าแดงก่ำก่อนจะเม้มปากแน่นเพื่อบังคับตัวเองให้หยุดยิ้ม หยิบกระเป๋ากีฬาสีดำไปวางอีกฝั่งแก้อาการเก้อกระดากอายของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าพูดกับเจ้าของกระเป๋าน้ำเสียงจริงจัง
“เกมเดียวนะสอง ถ้าเยอะกว่านั้นเราจะกลับก่อนแล้วให้สองกลับกับเช่” ไม่ใช่แค่พูดข่มขู่ทว่าเธอยังชูกุญแจรถในมือให้สองเห็นเป็นการยืนยันคำพูดอีกด้วย
“อืม” คำตอบของสองทำให้เธอยิ้มพอใจ
“ดีมาก”
“ฟ้าใสซื้อน้ำเปล่ามาด้วยปะ? หิวน้ำว่ะ?”
คำถามของปอร์เช่ที่ดังมาก่อนตัวดึงสายตาของเธอให้หันไปมอง ก่อนจะยื่นมือไปหยิบขวดน้ำดื่มที่เพิ่งซื้อมาส่งให้ “ยี่สิบ”
“เดี๋ยวให้ไอ้สองจ่าย”
“ตลอดแหละ”
“ฮ่าๆ รู้แล้วก็อย่าทวงดิ ทวงแล้วไม่ได้จะทวงเพื่อ” ปรมะพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะถามถึงเรื่องที่สงสัย “ไหนบอกจะมาพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอวะ? แล้วทำไมได้กลับมาก่อน?”
“เราบอกเหรอ? บอกตอนไหน?” เลิกคิ้วถามพร้อมกับชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง เธอไปบอกตอนไหนว่าจะกลับพรุ่งนี้
“บอกไอ้สองไง มันบอกว่าเธอจะมาพรุ่งนี้”
ฟ้าลดาหันหน้ากลับไปมองสองที่ตอนนี้กำลังยืนคุยอยู่กับโต้งเพื่อนจากคณะนิเทศอยู่ตรงกลางสนาม พยายามนึกว่าเธอเผลอไปบอกสองตอนไหนว่าจะกลับพรุ่งนี้ทว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่สองจำผิดก็เป็นเธอที่ลืมจริงๆ
“ฝากกระเป๋าด้วย อย่าให้หายนะเว้ย หายขึ้นมาไม่มีกางเกงในใส่กลับบ้านนะเอ่อ”
“พูดอย่างกะตอนนี้ใส่” ไม่ต้องสงสัยว่าเธอติดนิสัยทะลึ่งตึงตังจากใคร ก็พวกมันนี่แหละที่สอนเธอ
“เฮ้ย! รู้ได้ไงว่าเราไม่ใส่”
นั่นไง เพื่อนกันยอมกันได้ที่ไหน
ฟ้าลดาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ส่ายหน้าอย่างเอือมๆ ก่อนจะหันไปมองสองที่ยืนอยู่กลางสนามแล้วหันกลับมามองปอร์เช่อีกครั้ง
“เช่”
“มีไร?”
“เมื่อวาน...”
“เมื่อวานทำไม?"
“เปล่า ไม่มีไร”
“หือ? แน่ใจนะว่าไม่มีไร“ ปอร์เช่เลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย เมื่อเห็นเธอพยักหน้ารับก็พยักหน้าตามไม่ได้เซ้าซี้ ก่อนเดินลงไปในสนามก็ไม่ลืมที่จะยักคิ้วให้เธอคล้ายกับจะบอกว่า ‘นึกออกตอนไหนก็ถามมาแล้วกัน พร้อมตอบ’
ฟ้าลดาถอนหายใจออกมาเสียงดัง ก่อนจะยื่นมือเอาไปคว้านหาพัดลมพกพาสีฟ้าอันจิ๋วจากกระเป๋ากีฬาสีดำของสอง ใช้เวลาไม่นานก็หาเจอ แบตเตอรี่เต็มพร้อมใช้งานไม่ต่างจากทุกครั้ง
พัดลมจิ๋วตัวนี้คือของเธอ ทว่าคนที่หยิบมันใส่มาในกระเป๋าด้วยทุกครั้งคือสอง และคนที่ชาร์จแบตมันก็คือสองอีกเช่นกัน
มือเรียวกดสวิตส์พัดลมให้ทำงาน ยกมันขึ้นสูงในระดับใบหน้าสวยของตัวเอง ความเย็นจากพัดลมที่กระทบใบหน้าทำให้อารมณ์ดีขึ้นอีกเท่าตัว
‘ถ้าไม่เอามาเธอก็บ่นร้อนไม่หยุด’
‘ก็มันร้อนจริงๆนี่นา’
‘ก็รู้ว่าร้อนไง ถึงเอาพัดลมมาให้’
นั่นคือสาเหตุที่สองหยิบพัดลมจิ๋วใส่กระเป๋ามาด้วยทุกครั้งเวลามาสนาม ไม่ว่าจะเป็นสนามบาสเก็ตบอลหรือว่าสนามฟุตบอล
สองบอกว่าขี้เกียจฟังเธอบ่นร้อนก็เลยต้องเอาพัดลมมาด้วย