วันต่อมา
11.12 am.
"วันนี้เรียบร้อยค่ะคุณบีม"
"ขอบคุณที่ทำงานหนักนะครับ รบกวนมากจริงๆ"
"ค่ะคุณบีม"
"ผมไปก่อนนะครับคุณพิณ"
ฉันที่กำลังยืนเก็บของอยู่เงยหน้ามองคุณบีมที่เป็นนักกีฬาวิ่งทีมชาติที่เดินมาลา ก่อนจะรีบก้มโค้งลาเขาด้วยความเลิ่กลั่กเพราะตัวเองดันเอาแต่เหม่อไม่ทันสังเกตว่าเขาจะกลับแล้ว
"สวัสดีค่ะคุณบีม เดินทางปลอดภัยนะคะ"
"คุณพิณดูเหนื่อยๆนะ พักผ่อนเยอะๆนะครับ"
ฉันยิ้มให้คุณบีมก่อนจะมองเขาจนเขาเดินออกไปจากห้องบำบัด พี่พายที่เห็นฉันเองแต่ยืนนิ่งจึงเดินเข้ามาหาฉันด้วยความเป็นห่วงทันที
"เป็นอะไรไปพิณ ทำไมวันนี้เหม่อจังรึเหนื่อยเพราะวิ่งงานเยอะรึเปล่า?"
"เปล่าค่ะ พิณไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะพี่พาย ที่เห็นเบลอๆแบบนี้คงเพราะเมื่อคืนมัวแต่หาวิธีการบำบัดคุณติณณ์น่ะ"
"เฮ้ย อย่าทางดูแลเขาจนตัวเองเบลอแบบนี้สิ อีกอย่างพี่ป๋องก็ช่วยดูแผนการรักษาอยู่อย่าคิดมากนะ"
"เข้าใจค่ะพี่ ขอบคุณมากนะคะ"
"อืม ตัวเองก็อย่าคิดมากไป ป่ะกินข้าวกันเถอะ"
"วันนี้พิณห่อข้าวมาน่ะค่ะ"
พี่พายเลิกคิ้วมองฉันที่กำลังยิ้มให้เธออยู่ก่อนเธอจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะช่วงแรกๆฉันก็ห่อข้าวมากินอยู่บ้าง
"โอเคๆ งั้นพี่จะบอกคนอื่นๆให้แล้วกัน แล้วเจอกันตอนบ่ายนะ"
"ค่ะ"
ฉันยิ้มให้พี่พายพร้อมกับมองเธอที่เดินออกจากห้องไปอีกคนจนลับสายตา ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆและเดินไปเก็บอุปกรณ์การบำบัดให้เข้าที่เข้าทางจนเสร็จถึงจะเดินออกจากห้องมาที่ห้องพักของทีมตัวเอง ฉันเดินไปที่กระเป๋าเป้ตัวเองและหยิบมาม่าคัพออกมาแกะระหว่างเดินไปที่ห้องบริการส่วนกลางที่มีน้ำร้อนให้อยู่
"กินในห้องไม่ได้แน่"
เดี๋ยวกลิ่นมาม่าจะติดแล้วพี่ๆจะรู้ว่าฉันแอบกินมาม่าอีก...และแน่นอนที่บอกว่าตัวเองห่อข้าวมาคือฉันโกหก เงินในตอนนี้มีพอแค่ซื้อมาม่าคัพมาตุนไว้เท่านั้นแหละ
"กินบนดาดฟ้าดีกว่า"
คิดได้แบบนั้นฉันก็หยิบมาม่าคัพที่ใส่น้ำพร้อมกับน้ำเปล่าขวดใหญ่ของตัวเองติดมือมาขึ้นลิฟต์ทันที ฉันเดินออกจากลิฟต์ไปตามทางที่รายล้อมด้วยสวนหญ้าบนดาดฟ้าที่บริษัทจัดไว้ให้สำหรับขึ้นมาพักผ่อนก่อนจะนั่งลงบนม้านั่งอย่างเหม่อลอย
"..."
ท้องฟ้าตอนเที่ยงไม่ได้สวย และอากาศดีเหมือนในซีรีย์เกาหลีที่เคยดูเลยแฮะ กลับกันบนนี้มันแดดร้อนมากๆ ดีหน่อยที่ที่นั่งยังมีร่มเงาของตึกข้างๆพอบังแดดให้อยู่
"ให้ตาย"
ชีวิตหลังจากเรียนจบและทำงานมันไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองวาดฝันไว้จริงๆ ทั้งน้องที่ต้องรับผิดชอบชีวิต กับตัวเองที่แค่นี้ก็แทบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ฉันหยิบมาม่ามาเปิดกินด้วยจิตใจที่กำลังห่อเหี่ยวสุดๆจนน้ำตามันไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
"ฮึก..."
ชีวิตบัดซบเงินตั้งสองแสนจะไปหามาจากไหน เงินที่ติดตัวอยู่ตอนนี้ก็มีแค่สามพันแล้วยังค่าที่พักค่ากินค่าอยู่อีก
"อึ่ก...ฮึก"
ตอนนี้ฉันกลับกินมาม่าทั้งน้ำตาเนี่ยนะ!?...นี่มันแย่กว่าการกินข้าวทั้งน้ำตาซะอีก แต่ถึงมันจะเครียดมากแต่ฉันกลับยิ่งหิวจนไส้กิ่ว ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะมีความฝันสูงส่งอะไรขอแค่ตัวเองหาเงินพอที่จะหาของอร่อยๆกินเท่านั้น
ก็พอรู้ว่าทุกคนล้วนต้องเจอจังหวะชีวิตที่มันแย่ แต่ก็ไม่คิดว่าจะแย่จนต้องมานั่งร้องไห้ตอนกินมาม่าแบบนี้...แย่ชะมัด คิดยังไงก็คิดไม่ตก เงินเยอะขนาดนั้นฉันจะหามาจากไหน?
3.45 pm.
พรึ่บ
"ขอบคุณที่มาส่งนะคะ"
"ให้มารับเวลาเดิมนะครับ?"
"ใช่ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ"
ฉันก้มหัวให้พี่คนขับก่อนจะเดินแบกกระเป๋าตัวเองขึ้นคอนโดพร้อมๆกับร่างสูงของใครอีกคนที่กำลังเดินขึ้นคอนโดพร้อมกันจึงทำให้ฉันอดจะหันมองไม่ได้ คุณติณณ์ที่วันนี้ใส่ชุดนักศึกษาหันมองฉันด้วยแววตานิ่งเรียบก่อนเขาจะเลิกคิ้วมองฉันด้วยความสงสัย
"สภาพอะไรของเธอเนี่ย?"
"คะ?"
"เธอดูเหมือนคนไม่ได้นอน"
ฉันเลิกคิ้วพร้อมกับจับหน้าตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังยิ้มออกมาราวกับไม่ได้มีเรื่องในใจอะไรทั้งนั้นตอบเขา
"นอนสิคะ พิณนอนครบแปดชั่วโมงต่อวันเลยนะแล้วคุณติณณ์ละคะเป็นไงบ้างวันนี้ เพิ่งไปเรียนมาเหรอ?"
"อืม วันนี้แขนไม่มีอาการเกร็งเลยด้วย"
"จริงเหรอคะ?"
"ใช่ เมื่อเช้าก็ออกกำลังกายตามที่เธอบอก"
"ดีเลยค่ะ แบบนี้น่าจะเพิ่มโปรแกรมออกกำลังเพิ่มได้"
"วันนี้ทำอะไรล่ะ?"
"วันนี้จะให้ใช้เครื่องทุ่นแรงแขนข้างที่เกร็ง และใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์ตอนท้ายค่ะ"
"ดีเลยฉันเมื่อยๆอยู่พอดี"
"พิณต้องบอกคุณติณณ์กี่ครั้งเนี่ยว่าพิณไม่ใช่หมอนวด"
"พูดมากน่า"
ฉันแอบเบะปากใส่คุณติณณ์ทันทีหลังโดนเขาเหวี่ยงใส่ ก่อนจะเดินตามเขาออกจากลิฟต์มาที่ห้องบำบัดของตัวเอง
"น้ำหนักนี้น่าจะพอดี"
หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพฉันก็เดินมานั่งรอบนโซฟา ก่อนจะยกแขนดูนาฬิกาเพราะตอนนี้มันสี่โมงกว่าแล้ว...ปกติคุณติณณ์จะไม่เลทนะ ฉันมองออกไปนอกห้องก่อนจะเดินออกไปดูเขาด้วยความเป็นห่วง เพราะกลัวจะเกิดเหตุเหมือนรอบก่อนอีก
"คุณติณณ์คะ คุณติณณ์"
ไม่มีเสียงตอบแฮะ ฉันเม้มปากมองไปที่ห้องส่วนตัวของคุณติณณ์ก่อนจะตัดใจเดินหันหลังออกมาแทน
"พิณ พิณนรา!"
เสียงตะโกนเรียกชื่อตัวเองจากด้านในห้องมันทำให้ฉันเบิกตากว้าง และต้องรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนของคุณติณณ์อย่างถือวิสาสะ ดวงตาฉันเบิกกว้างมองคุณติณณ์ที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องน้ำทั้งที่ยังใส่เสื้อคลุมไม่เรียบร้อยดี แต่เพราะแขนขวาที่กำลังเกร็งตัวของเขามันทำให้ฉันต้องมองข้ามเรื่องนั้น และวิ่งไปหาเขาก่อน
"ทำไมอาการกำเริบคะ?"
"ไม่รู้"
"อย่าปิดบังสิคุณติณณ์"
ฉันมองสบตาคุณติณณ์ในตอนที่เขาหลบสายตาขณะที่มือของฉันก็กำลังบีบนวดแขนของเขาอยู่ ทั้งๆที่อาการกำลังดีขึ้นตามลำดับแท้ๆแต่ไหงเป็นงี้อีก...
"คุณไปทำอะไรมาคะก่อนหน้านี้ ไม่สิ..." ตอนมาไม่เห็นรถตู้ที่รับส่งเขาประจำหนิ แถมเขายังมาจากทางโรงจอดรถอีก "คุณขับรถมาใช่ไหม?"
"..."
"คุณติณณ์"
"แม่ง เลิกถามจี้สักที!"
"คุณขับรถมาจริงๆสินะ แบบนี้ไม่ได้นะคะมันอันตราย!"
คุณติณณ์ถอนหายใจออกมาเสียงดังพร้อมกับมองฉันด้วยแววตาดุดัน และเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่ฉันตำหนิให้เขาไปแบบนั้น
"แพทย์ยังไม่อนุญาตให้คุณขับจนกว่าอาการของคุณจะดีขึ้น ทำแบบนี้ที่คุณพยายามอดทนมามันก็ไม่มีประโยชน์สิ"
"ก็ฉันเหนื่อยจะทนแล้ว อีกอย่างอาการมันก็ดีขึ้นแล้วฉันอยากกลับไปแข่งรถสักที!"
"พิณรู้ว่าคุณอยากลงแข่ง แต่การบำบัดมันต้องเป็นไปตามลำดับ.."
"เธอแม่งจะไปรู้อะไร!?"
พรึ่บ!
ฉันเบิกตากว้างหลังคุณติณณ์สะบัดแขนออกจากมือจนทำให้ตัวฉันเซไปตามแรงของเขา ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดพร้อมกับหันมองคุณติณณ์อีกครั้ง
"ก็เพราะพิณไม่รู้ไงพิณเลยต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยคุณในตอนนี้ คุณอยากได้อะไรคุณก็บอกสิคุณติณณ์ คุณจะเอาแต่ทำตัวเอาแต่ใจแบบนี้เมื่อไหร่อาการคุณจะดีขึ้น เผลอๆยิ่งคุณฝืนทำแบบนี้มีแต่จะทำให้ร่างกายแย่ลง!"
"..."
"ขอร้องเถอะค่ะ อย่าแอบไปขับรถทั้งๆที่อาการนี้ยังไม่ดีขึ้นเลย ขืนคุณยังรั้นแบบนี้คุณอาจจะไม่ได้ลงสนามแข่งตลอดไปเลยก็ได้"
ปึก!
ฉันสะดุ้งมองคุณติณณ์ทันทีที่เขาใช้แขนขวาทุบประตูห้องน้ำพร้อมกับมองหน้าฉันด้วยสายตาดุดัน ในตอนนี้คุณติณณ์น่ากลัวยิ่งกว่าพวกที่ฉันเจอเมื่อคืน มันเลยทำให้ฉันเผลอกำมือแน่นพร้อมกับมองเขาด้วยแววตายำเกรง
"ถ้าเธอยังเอาแต่พูดว่าฉันจะไม่ได้ลงสนามแข่งอีกนะพิณนรา.."
ฉันเผลอกลืนน้ำลายลงคอในตอนที่เขาพูดจบ คุณติณณ์มองสบตาฉันราวกับจะฉีกฉันออกเป็นชิ้นๆจนร่างกายฉันสั่นเทิ้ม
"ขะ ขอโทษค่ะ..พิณขอโทษ"
"มีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไปอย่ามากะเกณฑ์ชีวิตฉันอีก"
เสียงของเขามันเต็มไปด้วยความกดดัน ขณะที่สายตาก็เต็มไปด้วยความน่ากลัวจนฉันทำได้แค่หลบสายตาเขาพร้อมกับก้มหน้าพยักหน้าอย่างจำยอม
"ออกไป วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะบำบัดกับเธอแล้ว"
แม้ในใจอยากจะพูดแต่สิ่งที่ฉันทำได้ก็คือพยักหน้าพร้อมกับรีบเดินออกจากห้องนอนของเขาทั้งน้ำตา ฉันกลัวจนขาสั่นแต่ก็พยายามข่มความกลัวของตัวเอง คุณติณณ์น่ากลัวกว่าคนพวกนั้นหลายสิบเท่า
แต่นี่มันยังไม่พออีกเหรอกับเรื่องที่ฉันต้องเจอทุกวันนี้...นอกจากคนพวกนั้นฉันยังต้องมาแบกรับอารมณ์ที่รุนแรงราวกับพายุของคุณติณณ์อีกคนด้วยใช่ไหม?
"ฮึก"
มันอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ แต่สิ่งที่ฉันต้องทำคือต้องอดกลั้น และฉันคิดว่าใบหน้าคงเบะบิดเบี้ยวหมดแล้ว ฉันเองก็พยายามกลั้นน้ำตาแต่ระหว่างเก็บของเข้ากระเป๋าน้ำตามันก็ไหลออกมาไม่หยุดจนทุกอย่างพร่าเบลอไปหมด
แกร็ง
"อ้าวคุณพิณไอ้ติณณ์ยังไม่มาอีกเหรอ?"
ฉันสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับหันมองคุณชินที่เดินเข้ามาในห้องด้วยความตกใจไม่ต่างจากเขาที่กำลังเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าฉันกำลังร้องไห้อยู่ ฉันส่ายหน้าไปมาพร้อมกับเช็ดน้ำตาออกก่อนจะก้มหัวทักทายเขาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"วันนี้คุณติณณ์ไม่บำบัดค่ะ ยังไงพิณขอตัวกลับก่อนนะคะ"
คุณชินไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำฉันก็เดินผ่านหน้าเขาออกมาจากห้องและรีบตรงมาขึ้นลิฟต์แล้ว ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลงฉันก็ร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้นด้วยความอัดอั้นที่เกินจะทนไหว
วันนี้ฉันทนกับทุกอย่างไม่ไหวแล้วจริงๆ