หยุนเฟยหันไปราวกับพึ่งได้ยินเรื่องที่น่าเหลือเชื่อพร้อมกับจ้องไปที่พระพักตร์ท่านอ๋อง
“พระองค์ตรัสจริงหรือเพคะ เช่นนั้นที่ดินตรงนั้น”
“เป็นที่ดินของข้าเอง แต่มิได้ทำประโยชน์อะไรเพราะอยู่นอกเมือง หากว่าเจ้าต้องการ….”
เขาพูดต่อไม่จบเพราะรอยยิ้มที่ดีใจที่ผุดขึ้นของคนตรงหน้าทำเอาเขาใจสั่นไหวและมิอาจพูดอะไรได้เมื่อนางหันมายิ้มให้เขาอย่างนึกปลาบปลื้มใจ
“หากว่าเป็นเช่นนั้นได้จริง ๆ เด็กเหล่านั้นก็มีโอกาสแล้ว หากว่าทรงมีพระกรุณาที่จะสร้าง…แต่ว่างบประมาณในการสร้างโรงเรียนน่าจะมาก เช่นนี้หม่อมฉันเองคงต้องไปรื้อของไร้ค่าเหล่านั้นเพิ่ม ใช่แล้ว...ต้องเริ่มทำเพื่อรวบรวมเงิน ไหนจะค่าแรงการสร้างอีก อุปกรณ์การเรียนการสอน”
“เอ่อ…เดี๋ยวก่อน คือว่าที่ดินนั่นเป็นของข้า เช่นนั้นข้าจะช่วยสร้าง…”
“ไม่ได้เพคะ เพียงแค่พระองค์ทรงมีความประสงค์จะบริจาคที่ดินให้แล้ว เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นพระคุณอย่างมากแล้ว จะเดือดร้อนพระองค์ให้ช่วยสร้างอีกก็ออกจะเกินไปหน่อย”
“ไม่ใช่ เจ้าฟังนะเรื่องนี้ที่จริงหากจะว่าไปแล้วมันก็อยู่ในแผนการฟื้นฟูของราชสำนักหากว่าข้านำเรื่องนี้กราบทูลฝ่าบาท อย่างไรแล้วฝ่าบาทก็ต้องจัดสรรคนที่จะมาสร้างโรงเรียนนี้ขึ้นมา ถึงเวลานั้นเจ้าก็เพียงแค่ช่วยดูแลความเรียบร้อยและวางแผนการจัดสร้าง บริหารงานและการสอน….ร่วมกับข้า”
“อ้อ เป็นเช่นนี้เองท่านอ๋องเพคะ....”
หยุนเฟยคุกเข่าลงต่อหน้าท่านอ๋องและก้มลงคำนับให้เขาด้วยใจจริง ท่านอ๋องไม่เคยเห็นนางทำเช่นนี้มาก่อน ฟางหยุนเฟยที่อวดดียึดถือในศักดิ์ศรีของตนผู้นั้นน่ะหรือที่จะยอมคุกเข่าให้กับเขา
“รับการคำนับเพื่อขอบคุณจากหม่อมฉันด้วยเพคะ”
“ฟางหยุนเฟย เจ้ารีบลุกขึ้นอย่าทำเช่นนี้เลยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว”
เขารีบเข้ามาดึงตัวนางลุกขึ้น ยามที่นางมิได้สวมชุดสีฉูดฉาดบาดตาแต่งแต้มใบหน้าจนจัดจ้านและใส่น้ำหอมที่มีกลิ่นฉุนจนเขาไม่นึกอยากเข้าใกล้เหมือนครั้งเก่านั้นก็ทำให้นางดูน่ามองมากกว่าเดิมมากจริง ๆ
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ”
“เรื่องนี้ยังต้องลำบากอีกมาก เรื่องการนำเข้าที่ประชุมไว้เป็นหน้าที่ข้าเองแล้วข้าจะรีบมาแจ้งความคืบหน้ากับเจ้า”
“เพคะ หม่อมฉันจะร่วมมือกับพระองค์อย่างเต็มที่เลยเพคะ หากว่าท่านอ๋องทรงมีสิ่งใดที่จะไหว้วานหม่อมฉันขอให้บอกมาได้เลยเพคะ”
“จริงหรือ”
“เพคะ แน่นอนสิเพคะหม่อมฉันพูดแล้วไม่คืนคำเชื่อถือได้แน่นอนเพคะ”
“ดี เช่นนั้นเอาไว้ข้าคิดก่อนนึกได้จะบอกเจ้า”
“เพคะ”
ท่านอ๋องลอบยิ้มก่อนที่พวกเขาจะเดินลงจากโรงเตี๊ยมเพื่อกลับไปช่วยคนด้านนอกเพื่อแจกจ่ายอาหาร หยุนเฟยกลับไปช่วยอี้เหนียงแจกขนมให้เด็ก ๆ แล้ว
หลังจากนั้นนางก็พาเด็ก ๆ นั่งล้อมวงเพื่อเล่านิทานให้ฟัง ท่านอ๋องทำเพียงนั่งมองอยู่ห่าง ๆ ด้วยความสนพระทัยจนกระทั่งจื่อลู่เดินมาหาเขา
“ท่านอ๋องมีเรื่องด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม รู้แล้วไปกันเถอะ”
วันถัดมา
หยุนเฟยและอี้เหนียงมาเตรียมตัวเพื่อแจกจ่ายอาหารดังเช่นทุกวัน แต่ในวันนี้แปลกตาไปเพราะเริ่มมีโต๊ะหลายตัวมาตั้งเพิ่ม นางจึงหันไปมองด้วยความสนใจเพราะผู้ที่มาตั้งเอาป้ายมาปักขนาดใหญ่ว่า "สกุลฟ่ง"
“เชอะ ขึ้นป้ายเสียใหญ่โตกลัวคนอื่นไม่รู้หรืออย่างไรว่ามาช่วยคน”
“อาหงเจ้าอย่ามัวแต่พูดเลยรีบมาช่วยกันจัดของเถอะ”
“เจ้าค่ะฮูหยิน”
“หยุนเฟย วันนี้ดูแล้วคงมีสกุลใหญ่ ๆ มาตั้งโรงทานเพื่อช่วยเหลือคนอีกมากเลย พวกเขาคงไม่อดแล้วล่ะ”
“ท่านน้า ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่นะเจ้าคะ”
หากเรื่องดำเนินไปตามนิยาย นางเอกของเรื่องพบเห็นผู้อพยพจึงได้มาตั้งโรงหมอชั่วคราวเพื่อมารักษาคน และมีสกุลชุนของตัวร้าย “ชุนลี่ถิง” ที่มาตั้งโรงทานใกล้ ๆ กัน
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้พระรองก็จะได้พบกับนางเอกงั้นหรือ ว้าวนึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นฉากนี้ด้วย”
“พี่ใหญ่ท่านพูดอะไรเจ้าคะ ท่านรู้จักกับคุณหนูสกุลฟ่งด้วยหรือเจ้าคะ”
“ไม่รู้จักหรอก แต่ว่าเราเดินไปทำความรู้จักได้นี่นา ไปกันอาเม่ย ท่านน้าเดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะ”
“อ้อ ได้สิอย่าเดินไปไกลมากละ”
“เจ้าค่ะ ไปกันอาเม่ย”
หยุนเฟยจูงมือน้องสาวมาที่ด้านหน้าโต๊ะที่นางเอกในเรื่อง “ฟ่งลี่เซียน” ที่มาตั้งเพื่อรักษาคนอยู่อย่างนึกสนใจและอยากเห็นหน้าของนางเอกของเรื่องเต็มที
“นั่นนางใช่หรือไม่ ท่านหมอที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนั่น”
“ใช่เจ้าค่ะ แต่ว่าท่านน่าจะเคยพบนางในวังหลวงแล้วนี่เจ้าคะ ท่านก็เข้าวังกับท่านพ่อบ่อย ๆ นี่เจ้าคะ”
“ข้าจำไม่ได้หรอก คนตั้งมากมาย”
“ฟ่งลี่เซียน” สาวงามที่นั่งอยู่ที่โต๊ะและกำลังตรวจผู้คนที่รอเข้าแถวอยู่ รอยยิ้มและใบหน้าที่เปล่งประกายนั้นไม่บอกก็รู้ว่านางต้องเป็นนางเอกอย่างแน่นอน
“ขาว สวย หน้าดุจถูกวาดจากช่างฝีมือ ดูท่าทางที่อ่อนช้อยงดงามนั่นสิ สวยอะไรเช่นนี้”
“พี่ใหญ่ ท่านแม่ทัพฉินมาเจ้าค่ะ”
“โอ๊ะ ฉากนี้เลย ๆ มาแล้ว ๆ ในที่สุด….”
ฉินเกาหานเดินมาพร้อมทหารองครักษ์เมื่อเดินผ่านมาเห็นจึงได้ตะโกนขึ้นมา
“พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่!!”
“อ้าว ไหงเป็นงั้นล่ะพระรองของฉัน”
“พี่ใหญ่ ที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนกลาง นึกจะมาตั้งโต๊ะก็มาไม่ได้ต้องขออนุญาตก่อนนะเจ้าคะ”
“ออ ๆ งั้นหรือแล้วนางไม่ได้ทำเช่นนั้นมาก่อนงั้นหรือ”
ฟ่งลี่เซียนเดินออกมาและคำนับให้ฉินเกาหานที่ยืนอยู่ด้านนอกอย่างนอบน้อม
“ท่านแม่ทัพ ขออภัยที่มาโดยมิได้บอกกล่าว ข้าน้อยฟ่งลี่เซียนและสหายข้า ชุนลี่ถิง มาที่นี่เพื่ออยากช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของพวกท่าน ข้าพอจะมีความรู้ทางด้านยาและการแพทย์อยู่บ้างก็เลย….”
“หากว่าคุณหนูฟ่งมีใจอยากช่วยเหลือ ข้าย่อมยินดี แต่คุณหนูควรจะบอกกล่าวกับข้าก่อนเพื่อจะได้จัดอำนวยความสะดวก มิใช่มาตั้งโต๊ะและทำโดยพลการเช่นนี้ ช่วงนี้มีพวกไม่หวังดีแฝงตัวเข้ามาอยู่มาก หากเกิดอะไรขึ้นข้าคงรับผิดชอบร่างกายที่มีค่าของท่านไม่ไหว”
อ้าว ไหงเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ละ ในนิยายบอกว่าทั้งคู่พบกันแล้วพระรองจ้องมองนางด้วยความชื่นชมและให้การช่วยเหลือจนนางเป็นที่น่ายกย่องมิใช่หรือ
“เหตุใดเหตุการณ์มันไม่เหมือนในนิยายเลยล่ะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วสายตาพวกเขา….”
หยุนเฟยยืนงงอยู่ด้านนอกเพราะสายตาของแม่ทัพฉินที่มองไปยังฟ่งลี่เซียนมิได้เป็นสายตาของการชื่นชมแต่เป็นสายตาที่เคลือบแคลงสงสัยและดูไม่พอใจอยู่นิดหน่อยเพราะเขาเป็นคนที่จัดการความเรียบร้อยในค่ายอพยพนี้ ก่อนที่จะมีผู้ใดจะพูดสิ่งใด “ชุนลี่ถิง” ก็ชี้มาที่ฟางหยุนเฟยที่ยืนงงอยู่ด้านนอก
“ท่านแม่ทัพ เหตุใดท่านมาต่อว่าพวกข้าที่มีใจช่วยเหลือผู้คน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ฟางหยุนเฟยผู้นั้นก็มาตั้งโต๊ะบริจาคได้ หรือว่านางทำได้พวกข้าทำไม่ได้ อยากให้สกุลฟางได้หน้าอยู่ผู้เดียวงั้นหรือ”
ทุกสายตาหันมามองฟางหยุนเฟยที่ตกใจเมื่อทุกคนหันมาที่นางอย่างพร้อมเพรียง นางทำหน้าแปลกใจที่เรื่องดำเนินไปแตกต่างจากในนิยายที่นางอ่านและเริ่มพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“อ้าว ไหงมาโยนขี้ให้ข้าแบบนี้ละนางร้ายผู้นี่ เดี๋ยวแม่ก็ตบให้คว่ำเสียนี่”