ตอนที่ 11 สัญชาตญาณความเป็นครู

1465 คำ
หยุนเฟยลุกขึ้นมายิ้มให้ท่านอ๋อง เขาคิดว่าเขาคงจะใจสั่นจนกระตุกต่อหน้านางเข้าสักวันหากว่านางยิ้มเช่นนี้บ่อย ๆ เขาเองไม่แน่ใจว่าจะต้านทานเสน่ห์เช่นนี้ได้อีกนานแค่ไหนกัน “เพคะ เด็กเหล่านี้ล้วนมาจากต่างที่ ไม่มีพ่อแม่ไม่มีคนคอยดูแล เรื่องการเรียนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้ง ๆ ที่บางคนมีพรสวรรค์แต่กลับไม่มีโอกาส” “พระองค์ลองดูสิเพคะ นั่นคือเป่าจิน เขาวาดภาพได้สวยมากแต่ไม่มีแม้แต่กระดาษกับพู่กัน เขาเคยวาดภาพนกที่หากวาดลงในกระดาษคงจะงดงามมาก ส่วนนั้นก็อาเฉิง เขาเชี่ยวชาญงานประดิษฐ์และซ่อมแซมได้ราวกับเป็นช่างคนหนึ่งได้เลย เขามักจะไปช่วยพวกทหารและบ่าวรับใช้สร้างเพิงพักสำหรับฤดูหนาวนี้” “เจ้ามิได้มาช่วยพวกเขาเพียงชั่วคราว แต่ได้ข่าวว่าเจ้ายังช่วยสอนพวกเขาเริ่มเพาะปลูกผักบางอย่างที่โตง่ายและเก็บเกี่ยวเร็วเพื่อเอาไว้ทำกินด้วย” “หากว่าเราเอาแต่ช่วยพวกเขา มิต้องช่วยไปตลอดหรือเพคะ ยิ่งพวกเขาช่วยเหลือตัวเองได้รวดเร็วเท่าใดก็จะยิ่งดีและเป็นประโยชน์กับพวกเขาเองนะเพคะ หากว่าพวกเขาได้รับจนเคยชินก็จะกลายเป็นคนขี้เกียจและงอมืองอเท้ารอแต่ความช่วยเหลือจากผู้อื่นจนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง เช่นนี้ต่อให้ฝ่าบาทส่งเงินช่วยเหลือหรือส่งเสบียงมาอีกเท่าใดก็ไม่เพียงพอหรอกเพคะ” “มิสู้ให้พวกเขาฝึกทักษะการเลี้ยงชีพอย่างถูกต้องและมอบอาชีพที่พอจะทำได้ให้พวกเขาดีกว่า นี่คือวิธีแก้ไขที่ยั่งยืนตามความคิดของเจ้าสินะ” “เพคะ หม่อมฉันคิดเช่นนั้นจริง ๆ อย่างน้อย ๆ ก็อยากจะเริ่มจากเด็ก ๆ เหล่านี้ก่อน พวกเขายังเป็นผ้าขาว สะอาดและไร้มลทิน สามารถสั่งสอนและเรียนรู้ได้แค่พวกเขาขาดโอกาสที่จะเข้าถึงการศึกษาเท่านั้น หม่อมฉันเองก็พยายามมองดูเด็กแต่ละคน พบว่าแต่ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกันและแต่ละคนสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็ว ส่วนหลายคนที่ยังไม่พร้อมก็ค่อย ๆ เรียนรู้ไปและทำอย่างอื่นได้ เพราะความชอบแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน” “เจ้า อยากจะเปิดโรงเรียนเพื่อสอนเด็ก ๆ หรือไม่” หยุนเฟยหันมามองพระพักตร์ของท่านอ๋องที่ราวกับรู้ความคิดภายในใจของนาง แต่เพราะสายพระเนตรของท่านอ๋องก่อนหน้านี้มองมาเพียงแค่นาง เขาจึงรู้ว่านางคิดอยากจะทำสิ่งใดต่างหาก แต่นางคิดว่าท่านอ๋องตรัสเพราะทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ห่วงใยราษฎรเท่านั้น “หม่อมฉันเพียงแค่คิด แต่ยังไม่ได้คิดถึงขนาดจะทำถึงขนาดนั้นเพคะ การทำเช่นนั้นคงต้องใช้เวลาและเงินค่อนข้างมาก ซึ่งในตอนนี้เพียงแค่อยากให้พวกเขาท้องอิ่มและมีที่บังแดดบังลมเสียก่อน เรื่องอื่น ๆ เอาไว้ค่อยคิดกันทีหลัง” “ว่าอย่างไร วันนี้เจ้าทำอะไรมาอวดพี่สาวได้บ้าง” “ข้าเขียนคำนี้ได้ขอรับ” “คำว่าอะไรเอ่ย” เด็กน้อยใช้ไม้ในมือเขียนไปที่พื้นและเขียนคำว่า “ชอบ” ไปที่พื้น ใบหน้าของหยุนเฟยร้อนผ่าวขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ท่านอ๋องเองก็ลอบยิ้มอย่างพอใจเช่นกัน เขายกตัวเด็กคนนั้นขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยชม “เด็กน้อย เจ้าเรียนคำนี้…มาจากที่ใดงั้นหรือ” “ข้าแค่อยากจะบอกพี่สาวเจ๋ย ๆ ขอรับ” “บอกพี่สาวว่าชอบงั้นหรือ” “ขอรับ พี่สาวทั้งสวยทั้งใจดียังสอนข้ารู้จักหนังสืออีก ข้าก็เลยชอบนางขอรับ” “ลู่ลู่ เจ้าไปเอาหมั่นโถวที่พี่อาหงเถอะ” “เจ้า…จดจำแม้กระทั่งชื่อของเด็ก ๆ เหล่านี้ได้เกือบทั้งหมด” “มันคงเป็นสัญชาตญาณของความเป็นครู…..เอ่อ….ฮ่า ๆ หม่อมฉัน…ไปช่วยอาเม่ยแจกข้าวต้มดีกว่าเพคะ” “เดี๋ยวก่อนสิ ข้ายังพูดไม่จบ” “ท่านอ๋องเพคะ มีเรื่องใด อุ๊ย!!” มือหนาของท่านอ๋องคว้านางไว้เป็นครั้งแรก เขาไม่เคยทำเช่นนี้กับผู้ใดและยิ่งกับนางที่เขาคิดแต่จะออกห่าง แต่ครั้งนี้เขาอยากจะรั้งนางเอาไว้ให้นานที่สุด เขาอยากจะทำเรื่องที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำมาก่อนเช่นกัน แต่เขาอยากทำเพราะยิ่งเห็นนางทำเรื่องในวันนี้ เขายิ่งปล่อยให้นางไปเช่นนี้ไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้นางจดจำเขาได้ “ท่านอ๋องเพคะ” นางหันไปมองมือของเขาแต่ท่านอ๋องเองก็ทำตัวไม่ถูก เขาจะปล่อยแต่ก็ไม่อยากปล่อย จึงได้ดึงนางออกจากที่นั่นเพื่อหาที่เงียบ ๆ คุยกับนางแทน “ท่านอ๋อง จะพาหม่อมฉันไปที่ใดเพคะ” “ข้านึกอะไรบางอย่างได้ เจ้ามากับข้า” “แต่ว่าด้านนี้ยังวุ่นวาย คนเริ่มมากแล้วเพคะ หม่อมฉัน….” “ข้าให้จื่อลู่ส่งคนไปช่วยเจ้าเพิ่มแล้ว ใช้เวลาไม่นานหรอก” ท่านอ๋องจูงมือนางเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่วันก่อนเขามองลงมา ท่ามกลางผู้คนที่มองมายังพวกเขาเพราะจดจำฟางหยุนเฟยได้ และสตรีอีกหลายคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นซึ่งฟางหยุนเฟยเองก็ไม่ทันเห็นพวกนางเพราะท่านอ๋องจูงกึ่งลากนางเข้ามายังโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็วและพานางขึ้นบันไดไปทันที “นั่นมัน!!….ท่านอ๋องหมิงเว่ยหรานมิใช่หรือลี่เซียน เหตุใดท่านอ๋องถึงได้มากับ….ฟางหยุนเฟย” “ฟ่งลี่เซียน” หันไปมองท่านอ๋องที่กำลังจูงมือฟางหยุนเฟยเดินขึ้นชั้นสองไปอย่างรวดเร็วตามคำบอกของ “ชุนลี่ถิง” ที่ตามมาดูว่าเรื่องที่ร่ำลือว่าฟางหยุนเฟยเปลี่ยนไปแล้วและมาแจกจ่ายอาหารราวกับเป็นนางฟ้ามาโปรดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่นึกไม่ถึงว่าจะพบเจอท่านอ๋องที่นี่ด้วย “เหตุใดท่านอ๋องจึงมาที่นี่แล้วยัง….” “ไหนว่าพวกเขายกเลิกการหมั้นกันแล้วมิใช่หรือ” “นี่ลี่เซียน เจ้าว่าหยุนเฟยผู้นั้นจะทำเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจของท่านอ๋องหรือไม่” “เจ้าหมายความว่าอย่างไร” “ก็ตามที่พูด และตามที่ร่ำลือกัน เจ้าคิดว่าคนที่ฟุ่มเฟือยเอาแต่แต่งตัวราวกับเครื่องทองเคลื่อนที่เช่นนางจะยอมขายทรัพย์สินพวกนั้นเพื่ออะไรกัน นี่มันละครฉากใหญ่ที่นางสร้างขึ้นมาเลยกระมัง ได้ข่าวว่าท่านแม่ทัพฉินเกาหานเองก็ชื่นชมนางต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทด้วยนี่” “ใช่ ท่านตาของข้าเองก็พูดเช่นนั้น นางเป็นข่าวใหญ่ในราชสำนักในช่วงนี้และเป็นที่พูดถึงอย่างมากจริง ๆ” “แล้วเจ้าเป็นถึงหลานสาวเสนาบดีจะไม่ทำอะไรบ้างหรือ” “เจ้ากำลังหมายถึงให้ข้าเลียนแบบนางเช่นนั้นหรือ หากว่าข้าทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่าข้าเลียนแบบนางและไม่มีความคิดของตนเองน่ะสิ” “แต่หากเจ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ทั้งเมืองหลวงจะพูดได้ว่าบุตรขุนนางใหญ่อย่างพวกเจ้าเอาแต่สบายอยู่ในจวนไม่เหมือนกับฟางหยุนเฟย เจ้ายอมได้งั้นหรือ” “เจ้าก็พูดถูก เรื่องนี้ข้าไม่จำเป็นต้องเลียนแบบนาง คนเรามีความถนัดไม่เหมือนกัน ข้านึกออกแล้วว่าจะต้องทำเช่นไร” “ข้าคิดเอาไว้แล้วว่าเจ้าต้องฉลาดและรู้วิธีการอย่างแน่นอน” ชั้นสอง ท่านอ๋องดึงนางมายังห้องที่เขามาใช้ประจำและเปิดหน้าต่างให้นางดูด้านนอกทีเ่ป็นพื้นที่โล่งกว้างและมีทุ่งหญ้าอยู่ “พระองค์พาหม่อมฉันมาที่นี่เพราะเหตุใดเพคะ” “เจ้าลองดูพื้นที่ตรงนั้นสิ” “พื้นที่โล่งกว้าง ทำไมหรือเพคะ” “เจ้าว่าสถานที่นั้นเป็นเช่นไรบ้าง” “ก็…อุดมสมบูรณ์ดี ด้านล่างนั่นน่าจะมีลำธาร หญ้าปกคลุมตรงนั้นแสดงว่าตรงนั้นดินดีอุดมสมบูรณ์เหมาะกับการเพาะปลูก แต่ที่นั่นคงมิใช่ที่ดินที่ไร้เจ้าของเป็นแน่ เพราะพื้นที่งามเช่นนั้นคงจะเป็นพื้นที่ของคนใหญ่โตแน่นอน” “ฟางหยุนเฟย เจ้ามองขาดเสียจริงนะใช้ได้เลยนี่” “พระองค์ต้องการจะตรัสอะไรกันแน่เพคะ” “เจ้า….อยากทำสำนักศึกษาให้เด็ก ๆ เหล่านั้นหรือไม่”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม