“พ่ะย่ะค่ะ แต่การย้ายมาในครั้งนี้ แปลกตรงที่รายชื่อของเขามิได้อยู่ในรายนามขุนนางที่โยกย้าย ดูเหมือนว่าย้ายมาแทนโดยกะทันหัน”
“ก่อนหน้านี้ผู้ใดเป็นเจ้าเมืองดูแลอยู่”
“เป็นคนของทางการซึ่งพึ่งจะถูกย้ายไปตำแหน่งที่สูงกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดเขาต้องเลือกคนผู้นี้ด้วย หรือว่ามีผลประโยชน์ใดร่วมกัน ฝ่าบาทไม่น่าจะพลาดในเรื่องนี้ พระองค์รู้สึกผิดสังเกตมานานแล้วแค่ยังไม่ได้ตรัสออกมาเท่านั้น”
“แย่แล้ว พรุ่งนี้สกุลฟางจะไปร่วมแจกจ่ายอาหารที่นั่น หากว่าพวกเขาเริ่มสงสัยและคิดร้าย จื่อลู่ เจ้ารีบส่งคนของเราเฝ้าอารักขาคนของสกุลฟางให้ดี”
“พระองค์ทรงหมายถึง คุณหนูฟางจะไปที่ค่ายผู้อพยพเพื่อแจกจ่ายอาหารงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้เป็นไปได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนว่านางตั้งใจจะทำมากกว่านั้น ที่ผ่านมาสตรีผู้นี้คงเก็บความลับเอาไว้มากทีเดียว”
จื่อลู่ถึงกับแปลกใจเมื่อท่านอ๋องเอ่ยถึงคุณหนูใหญ่สกุลฟางแต่กับตรัสไปยิ้มไปจนจื่อลู่เริ่มไม่แน่ใจว่าผู้เป็นนายจะเริ่มกลับไปสนใจสตรีสกุลฟางผู้นี้อีกหรือไม่ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเรียกได้ว่าไม่อยากเห็นหน้านางเสียด้วยซ้ำ
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ แล้วอย่าลืมสืบเรื่องความเกี่ยวข้องของเสนาบดีฟ่งกับเจ้าเมืองคนใหม่นี่ด้วย ข้ากำลังคิดว่านอกจากผลประโยชน์เรื่องการทุจริตนี่ อาจจะมีเรื่องอื่นแอบแฝงอยู่”
“ดูเหมือนว่าบุตรีของใต้เท้าเสี่ยวผู้นี้จะถึงวัยที่จะแต่งงานแล้ว และเสนาบดีฟ่งที่มีหลานเป็นชายาองค์ชายหกอาจจะคอยช่วยเรื่องนี้อยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องสตรีในวังหลังอาจจะส่วนหนึ่ง แต่คงไม่ทำให้คนอย่างเสี่ยวลี่เจียงที่ทำงานอย่างสบายมายอมลำบากที่เสิ่นตูเป็นแน่ มันต้องมีเหตุผลอื่นแอบแฝง”
“กระหม่อมจะเร่งให้คนของเราสืบเรื่องนี้โดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม เจ้าออกไปได้แล้ว"
“อีกเรื่องหนึ่ง….”
“อะไร”
“เห็นว่าสาวใช้สกุลฟางเมื่อเย็นนี้ หอบเอาชุดของคุณหนูใหญ่ไปขายในตลาดและที่รับซื้อ ได้เงินไปเกือบสามพันตำลึงเลยพ่ะย่ะค่ะ นี่พวกนางคิดจะทำสิ่งใดกันแน่”
ท่านอ๋องลอบยิ้มอย่างพอพระทัย นี่นางทำเช่นนั้นจริง ๆ และยังรวดเร็วดังที่พูดเอาไว้ด้วย
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
“มีข่าวลือว่าคุณหนูฟางกับท่านแม่ทัพคุยกันอย่างสนิทสนม และแม่ทัพฉินผู้นั้นยังเดินมาส่งนางที่รถม้าด้วยตนเอง ข่าวลือนี้ตอนนี้ดังไปทั่วเมืองหลวงเลยพ่ะย่ะค่ะ”
รอยยิ้มของท่านอ๋องหุบลงไปในทันทีพร้อมกับมองออกนอกหน้าต่างพร้อมกับคิดอะไรบางอย่าง
“เจ้าออกไปได้แล้ว ส่วนเรื่องข่าวลือนี่…”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่า เป็นเรื่องดีอย่างมาก…”
“ไปปิดข่าวเสียให้หมด”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง…เหตุใดต้อง….”
“นางไปที่นั่นเพียงแค่อยากไปช่วยผู้อพยพด้วยน้ำใจจริง อย่าให้ข่าวลือเสียหายนี่สร้างความเดือดร้อนให้กับ….ท่านอาจารย์”
“พระองค์ทรงหมายถึงท่านราชครูหรือพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าเรื่องที่นางจะไปแจกจ่ายของ ท่านราชครูเองก็น่าจะยังไม่ทราบ”
“ข้าไม่อยากให้ท่านอาจารย์ต้องมีข่าวลือเสื่อมเสียอีก ที่ผ่านมาก็มากเพียงพอแล้ว อย่างไรท่านก็เป็นอาจารย์ของข้าและเหล่าบรรดาองค์ชาย เจ้าไปทำตามที่ข้าสั่ง อย่าให้ข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ ของ….สกุลฟางออกไปได้อีก”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ความหงุดหงิดโดยไม่ทราบเหตุผลก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งอย่างคาดไม่ถึง เพียงแค่ข่าวลือเพียงนิดหน่อยเกี่ยวกับนางและฉินเกาหาน เหตุใดทำให้เขาหงุดหงิดใจถึงเพียงนี้กันนะ หรือว่าเขา…..
“เหลวไหล ไม่มีทาง!!”
วันถัดมา
สกุลฟางที่มีฟางหยุนเฟยและหลานอี้เหนียงที่ทำข้าวต้มและหมั่นโถวมาแจกเด็ก ๆ ในค่ายผู้อพยพต่างถูกชาวบ้านกล่าวขานถึงความเปลี่ยนไปของคุณหนูใหญ่
ทั้งเรื่องที่นางยอมสละทรัพย์สินสิ้นเปลืองนำไปขายเพื่อนำเงินมาช่วยผู้อพยพจนเป็นที่พูดถึงไปทั่วเมืองหลวง ผู้ที่รับซื้อของจากนางก็ให้ราคาสูงเพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้อพยพได้อีกทางหนึ่ง
“ขอบคุณเถ้าแก่ ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“เอานี่ไป ข้ามีไม่มากหรอกแต่ข้าวสารนี่น่าจะพอช่วยคุณหนูฟางของเจ้าได้”
“ขอบคุณเถ้าแก่เจ้าค่ะ”
อาหงเป็นผู้นำสิ่งของที่เหลือไปขายตามคำสั่งเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินและมาซื้อของไปทำอาหารแจกจ่ายชาวบ้านและได้รับความช่วยเหลือของชาวเมืองหลวง ทั้งเพิ่มเงินสิ่งของและช่วยบริจาคทั้งผักและข้าวสารมาเพิ่มให้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นในค่ายผู้อพยพหลายวันมานี้จึงมีมากเพียงพอสำหรับทุกคน
“คุณหนูซื้อของมาเพิ่มแล้วเจ้าค่ะ ของบริจาคก็ได้มาอีกเพียบเลยฮูหยินจะให้เอาไปไว้ที่ใดดีเจ้าคะ”
“เอาผักและของสดไว้ที่นี่ ส่วนยาและเมล็ดพันธุ์แยกเอาไว้และถามหยุนเฟยดูว่าจะให้แยกเช่นไร”
“เจ้าค่ะฮูหยิน”
“แม่นมถง ท่านอย่าก้ม ๆ เงย ๆเช่นนี้ พวกเจ้ามาพาแม่นมไปพักหน่อยเดี๋ยวเป็นลมไป”
“คุณหนูให้นมช่วยเถิดเจ้าค่ะ ข้าเองก็อยากมีส่วนช่วยด้วยเช่นกัน”
“แม่นม ใช่ว่าข้าจะไม่ให้ท่านช่วยแต่ท่านต้องทำงานที่เหมาะกับท่านด้วย ไปแยกถุงเมล็ดพันธุ์นี่และจัดรวมกับยาและผ้าห่มให้ข้าที พวกเจ้าก็ไปด้วยนะ ช่วยกันแบกไปให้แม่นม”
""เจ้าค่ะ""
ในจวนสกุลฟางช่วงหลายวันมานี้วุ่นวายไปกับภารกิจใหม่ของคุณหนูและฮูหยินที่ออกไปช่วยค่ายผู้อพยพ บ่าวไพร่และสาวใช้หลายคนผลัดกันมาแจกจ่ายอาหารและเครื่องนุ่งห่มให้กับผู้ประสบภัย คนงานผู้ชายในจวนและทหารของฉินเกาหานก็มาช่วยดูแลความเรียบร้อยด้วยเช่นกัน
“คุณหนูให้ข้ายกเองเถอะเจ้าค่ะ”
“เอาไปก่อน ๆ ข้ายกเอง ไปเถอะน่าอาหง”
“เจ้าค่ะ ๆ ระวังนะเจ้าคะ”
“ได้ ๆ”
ไม่ทันขาดคำที่อาหงเตือน ด้วยของที่หนักเกินกำลังของฟางหยุนเฟยนางจึงเกือบจะล้มเพราะมองไม่เห็นทางข้างหน้า นางล้มหงายไปด้านหลังและพร้อมจะหัวฟาดแต่ก็มีมือหนึ่งรับนางและถุงขนาดใหญ่เอาไว้ได้
“เหตุใดเจ้าจึงมายกของเองเช่นนี้”
“ท่านอ๋อง!!”
“ถุงใหญ่กว่าตัวเจ้าเกือบสามเท่า เหตุใดมิให้บ่าวไพร่ช่วยยก จื่อลู่เจ้ามานี่!!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จื่อลู่รับถุงขนาดใหญ่นั่นเดินตามอาหงไปยังค่ายอพยพ ท่านอ๋องดึงตัวนางขึ้นมา แม้ว่าจะบอกไปแล้วว่าจะไม่หวั่นไหวกับเขาอีก แต่ผู้ใดเห็นพระเอกเช่นท่านอ๋องมาอยู่ระยะประชิดกายเช่นนี้ จะมีผู้ใดบ้างที่ไม่หวั่นไหวใจสั่น
“ถะ…ถวายบังคม...”
“พอเถอะอย่ามากพิธีเลย ข้ามาที่นี่มิได้เอาตำแหน่งมาด้วย ไปสิเจ้าจะเข้าไปข้างในมิใช่หรือข้าจะไปด้วย”
“หา!! พระองค์ตรัสว่า…”
“อืม ข้าจะเข้าไปด้วย มีเรื่องต้องจัดการน่ะ”
“เรื่องต้องจัดการ??”
“เรื่องของทางการ….เป็นความลับ”
"อ่อ เช่นนั้นหม่อมฉันก็ไม่ขอรับรู้เช่นกันเพคะ"
ฟางหยุนเฟยเดินนำทางเขาไป ท่านอ๋องเดินตามนางไปทันที กลิ่นกายนางยังคงต้องจมูกเขาอยู่จนเขาไม่อยากพลาดสายตาไปจากนาง เมื่อเดินมาถึงสถานที่ที่กองทัพของฉินเกาหานจัดเตรียมเอาไว้ให้นาง นางก็เริ่มเข้าไปทักทายเด็ก ๆ
“ว่าอย่างไรวันนี้เจ้ากินข้าวได้มากหรือไม่เสี่ยวถง”
“พี่หยุนเฟยวันนี้ข้าได้กินไก่ไปสองน่องอร่อยมากเลย”
“จริงหรือเช่นนั้นเจ้าก็มีแรงแล้วสินะ มานี่ เมื่อวานพี่สอนว่าอะไรนะ คำนี้ อ่านว่า…”
“สวัสดี”
“ใช่แล้วเก่งมาก ไปรับหมั่นโถวได้เลย”
“ขอบคุณพี่หยุนเฟย”
“มาชุนเต๋อเจ้าละเขียนคำที่พี่สอนได้กี่คำแล้ว”
“พี่หยุนเฟย ข้าเขียนคำยังไม่ได้แต่ข้าจำที่พี่สอนบวกเลขได้ นี่ สองบวกกับสามเป็นห้า”
“ยอดเยี่ยม เจ้าก็ไปเอาหมั่นโถวได้เลย”
“ขอบคุณขอรับ”
“เจ้า…สอนสิ่งเหล่านี้ให้พวกเขางั้นหรือฟางหยุนเฟย”