ตอนที่ 9 ช่วยเหลือผู้อพยพ

1364 คำ
“หยุนเฟย เจ้าแน่ใจแล้วงั้นหรือ” “ท่านน้า หากสิ่งของเหล่านั้นที่ข้าไม่ใช้แล้ว สามารถช่วยเด็กเหล่านี้ได้ท่านว่าข้าสมควรจะทำหรือไม่เจ้าคะ” หลานอี้เหนียงมองนางพร้อมกับยิ้มให้อย่างภาคภูมิใจราวกับหยุนเฟยเป็นบุตรสาวอีกคนของนาง นางจับมือหยุนเฟยและให้คำมั่นกับหยุนเฟย “เช่นนั้นข้าก็จะช่วยเจ้าอย่างสุดกำลัง” “ข้าด้วย ๆ เจ้าค่ะ ข้าก็จะช่วยด้วย พี่ใหญ่ไปที่ใดจะขาดข้าได้เช่นไร” “เจ้าตัวแสบ แน่นอนว่าข้าต้องพาเจ้าไปด้วยแน่ ๆ แต่เจ้าต้องกินหัวหอมใหญ่นะ” “พี่ใหญ่ เหตุใดบังคับข้าอีกแล้ว” “อาเม่ย เจ้าดูเด็กพวกนี้สิ เขากินเพราะเลือกกินไม่ได้ มีอะไรให้กินก็ต้องกิน แล้วเจ้าลองกลับไปคิดถึงเวลาที่เจ้าเขี่ยผักที่เจ้าไม่ชอบ เขี่ยตับที่เจ้าไม่กินออกแล้วมองหน้าพวกเขาสิ” อาเม่ยมองไปพร้อมกับคิดได้ในทันที ของบางอย่างสำหรับบางคนอาจจะไร้ค่าแต่กับบางคนมันอาจจะทำให้เขารอดได้ “พี่ใหญ่ข้าเข้าใจแล้ว จากนี้ข้าจะพยายามไม่เลือกกินอีกเจ้าค่ะ” “ต้องแบบนี้สิท่านน้าท่านรออยู่นี่ก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะไปคุยกับท่านแม่ทัพหน่อย” “อืม เจ้าไปเถอะ” หยุนเฟยเดินไปหาฉินเกาหานที่ยืนมองทหารแจกจ่ายอาหารให้เด็กและควบคุมไม่ให้ผู้ใหญ่มาแย่งของเด็ก เมื่อหยุนเฟยเดินเข้ามาหาเขาจึงหันมามองนางอีกครั้ง “ท่านแม่ทัพ ข้ามีเรื่องอยากให้ท่านช่วยเจ้าค่ะ” “คุณหนูเชิญกล่าวมาได้เลยขอรับ” “ข้าอยากได้พื้นที่สำหรับแจกจ่ายอาหารสำหรับเด็ก และอีกที่สำหรับผู้ใหญ่เจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าและคนสกุลฟางจะมาร่วมแจกจ่ายอาหารกับพวกท่าน” “แต่ว่าท่านเป็นบุตรีของท่านราชครู ทำเช่นนี้จะไม่….” “เรื่องช่วยเหลือคนเป็นผู้ใดต้องเลือกฐานะด้วยงั้นหรือเจ้าคะ ข้าเองก็คนธรรมดาเหตุใดจะช่วยพวกเขาไม่ได้เล่าเจ้าคะอีกอย่างนี่เป็นการตอบแทนท่านที่เคยช่วยข้าเอาไว้จากสระเมื่อครั้งก่อน ข้ายังไม่มีโอกาสได้ตอบแทนท่านแม่ทัพเลย นี่ถือเป็นการขอบคุณจากข้าก็แล้วกันนะเจ้าคะ ตกลงว่าท่านแม่ทัพ พอจะช่วยข้าได้หรือไม่” “ย่อมได้ และขอบคุณท่านและสกุลฟางมากขอรับที่ช่วยผู้อพยพที่นี่” “ท่านแม่ทัพเรียกข้าว่าหยุนเฟยเฉย ๆ เถิดเจ้าค่ะจะได้ทำงานกันง่ายยิ่งขึ้น มัวแต่คำนับกันไปมาข้าเมื่อยเป็นนะ” “เช่นนั้นท่านก็เรียกข้าว่าเกาหานเถิด” “ได้พี่เกาหานเช่นนั้นข้าก็รบกวนท่านหน่อย ข้าจะรีบกลับไปเตรียมของ คงต้องเหนื่อยกันหน่อย” “ขอบคุณ เช่นนั้นให้ข้าไปส่งท่านที่รถม้าเถอะ” “ขอบคุณท่านแม่ทัพ” สายตายิ้มแย้มที่เดินคุยกันระหว่างที่กลับไปยังรถม้านั่นทำให้ท่านอ๋องหนุ่มที่มองอยู่ชั้นสองของโรงเตี๊ยมถึงกับแปลกใจระคนหงุดหงิดเล็กน้อยอย่างไม่ทราบสาเหตุ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่สนใจเรื่องเช่นนี้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดไม่ทราบ พอรู้ตัวขาก็ก้าวตามพวกนางมาถึงตรงนี้จนได้ “หรือว่านางจะไม่ได้สร้างภาพอย่างที่คิด แต่ว่าทำด้วยใจจริง สีหน้าเช่นนั้นไม่เหมือนการเสแสร้งเลยสักนิด” แต่เขาเองก็มิอาจรู้ได้ว่านางกำลังคิดจะทำสิ่งใด นี่เขากำลังจะทำในสิ่งที่ไม่เคยทำอีกครั้งเมื่อรถม้าของสกุลฟางเคลื่อนตัวออกไปพ้นจากเขตของผู้อพยพแล้ว เขาลอบดักฟังอยู่ด้านหลังรถม้าโดยไม่มีผู้ใดได้ทันสังเกต “อาหง เดี๋ยวเจ้าไปขนของที่เหลือ ทั้งเสื้อผ้าพวกนั้นออกไปขาย ท่านน้าท่านกับข้าเอาเครื่องประดับไปขาย อาเม่ยเจ้ารื้อห้องที่เหลือของข้า หากยังมีอะไรเหลือที่พอจะขายได้ เจ้ากับแม่นมถงก็รวบรวมเอาไว้” “พี่ใหญ่ ท่านขายเพียงเท่านั้นก็น่าจะเพียงพอแจกจ่ายคนอพยพได้อีกเป็นเดือนเลยนะเจ้าคะ” “ไม่พอ ข้าคิดว่านอกจากเรื่องแจกจ่ายนั่นแล้ว นี่ใกล้ฤดูหนาวแล้วแต่ค่ายนั่นเพียงพอแค่กันลมกันฝนได้ชั่วคราว หากคิดจะช่วยพวกเขาจริง ๆ ที่จริงต้องยื่นเบ็ดให้พวกเขา มิใช่มัวแต่ยื่นปลาให้พวกเขาเช่นนี้” “ยื่นปลา ยื่นเบ็ด พี่ใหญ่ท่านพูดอะไรเจ้าคะ” “หยุนเฟย หากทำเรื่องนี้ขึ้นมาจริง ๆ อย่างไรเจ้าต้องบอกท่านพ่อเจ้าก่อน” “ท่านน้า เรื่องนี้ข้ามอบเป็นหน้าที่ท่าน ข้าคิดว่าท่านพ่อคงจะรับฟังท่าน ข้าเชื่อใจท่าน” “หยุนเฟย….นี่เจ้า” "ท่านน้าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน หลังจากนี้ข้าอาจจะต้องรบกวนท่านอีกมาก ข้าเกรงใจท่านจนไม่รู้จะขอบคุณเช่นไรแล้วนะเจ้าคะ แต่ว่าท่านพ่อฟังท่านมากกว่าข้า หากข้าเป็นคนพูดเขาอาจจะสงสัยหลายอย่าง" “ข้ายินดีช่วยเจ้าได้ตลอด ขอเพียงเจ้าบอกมาข้าจะช่วยเจ้าสุดกำลังทุก ๆ เรื่อง” “ขอบคุณท่านน้า” “พี่ใหญ่ข้าเองก็จะช่วยท่านสุดกำลังเช่นกันเจ้าคะ่” “เหตุใดข้าไม่เคยรู้ว่าน้องสาวของข้าน่ารักเช่นนี้มาก่อนนะ” “พี่ใหญ่ท่านอย่าชมข้าเช่นนี้สิเจ้าคะ ข้าอาย” “ฮ่า ๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้นในรถม้าจนคนที่นั่งลอบฟังอยู่ด้านหลังยังอดยิ้มตามบทสนทนานั้นไม่ได้ ฟางหยุนเฟยเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ เปลี่ยนไปจนผู้คนจดจำนางคนเดิมไม่ได้ แม้แต่แม่ทัพผู้กล้ายังรู้สึกแปลกใจกับการเปลี่ยนไปของนางและยังยอมรับความช่วยเหลือจากนาง เขาเองก็จะลองสืบเรื่องการทุจริตครั้งนี้ด้วยเช่นกัน แต่เรื่องของฟางหยุนเฟยน่าสนใจสำหรับเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาไม่สามารถสลัดเรื่องของนางออกไปจากหัวได้เลยนับตั้งแต่….. “ตั้งแต่วันที่เจ้าบอกเลิกข้างั้นหรือ” เขามองรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไปหลังจากที่เขาลงมาแล้ว เสียงของนางที่หนักแน่นและบอกว่าจะยอมขายทรัพย์สินที่เหลือที่นางเคยใช้อย่างฟุ่มเฟยนั่นเพื่อแลกกับการช่วยเหลือผู้คน คำนั้นยังคงติดอยู่ในหัวของเขาจนกลับไปถึงจวน เขาอาบน้ำและนั่งนึกถึงใบหน้าและแววตาที่ไร้ซึ่งมารยาที่นางพูดกับแม่ทัพฉินผู้นั้นได้ “แม้แต่สายตาและคำพูดก็แปลกไป คนคนเดียวกันจะแตกต่างได้ถึงเพียงนั้นเลยงั้นหรือ” “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของจื่อลู่ดังมาจากด้านนอกห้องอาบน้ำทำให้เขาตื่นจากภวังค์ “มีรายงานเรื่องทุจริตเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” “รู้แล้ว เดี๋ยวข้าจะออกไป” “พ่ะย่ะค่ะ” ท่านอ๋องลุกจากอ่างไม้สำหรับแช่น้ำและเดินออกมาเช็ดตัวพร้อมกับเปลี่ยนชุดเพื่อออกไปนั่งฟังรายงานที่สั่งให้จื่อลู่ไปตามสืบมาในเรื่องการทุจริตของการแจกจ่ายอาหารของผู้อพยพ “เล่ามาว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจู่ ๆ จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น” “ทูลท่านอ๋อง นี่คือรายงานที่พระองค์ให้กระหม่อมไปตามสืบมาพบว่ามีขุนนางในพื้นที่บางคนถูกสั่งให้โยกย้ายมากะทันหันเพื่อดูแลเรื่องค่ายผู้อพยพนี้โดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ” “เสี่ยวลี่เจียง คนผู้นี้คือคนของใครกัน” “ก่อนหน้านั้นเป็นขุนนางอยู่เมืองยงโจว ต่อมาถูกย้ายให้ไปประจำการเป็นรองเจ้าเมืองหลันในชิงโจว และพึ่งมารับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเสิ่นตูซึ่งอยู่ด่านหน้าที่รับผู้อพยพพ่ะย่ะค่ะ” “จากยงโจวย้ายมาชิงโจวก็ไม่น่าแปลก แต่จากชิงโจวมาถึงเสิ่นตูนี่ มันไกลมาก...ต้องมีผู้ที่พาเขามา” “พระองค์คาดการณ์ได้แม่นยำยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” “เป็นคนของฟ่งจื่อคงจริง ๆ สินะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม