“ใช่ เจ้าด้วย พวกเจ้าก็ต้องเปลี่ยนทั้งหมด ไปเถอะ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู”
หยุนเฟยหันไปยิ้มให้สาวใช้ท่ามกลางความแปลกใจของเถ้าแก่ในร้านไม่น้อย แม้ว่าคุณหนูฟางก่อนหน้านี้จะมือเติบ ซื้อแต่ของราคาแพงแต่นั่นก็เพราะนางซื้อให้ตัวเองไม่เคยซื้อให้คนอื่นเช่นนี้
แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างกว่าทุกครั้งราวกับว่าไม่ใช่นางคนเดิม แต่เถ้าแก่เองก็มิได้มีเวลาสงสัยแต่อย่างใดเพราะอย่างไรเงินที่ได้รับจากคุณหนูฟางหยุนเฟยก็ยังเป็นเงินก้อนโตเช่นเดิมไม่ต่างจากทุกครั้ง
“สวยมาก เอาชุดนี้ด้วย”
“ท่านน้าชุดนี้ใช้ได้ ท่านสวมแล้วเข้ากับผิวมาก เอาด้วย”
“อาหง ใช้ได้นี่ชุดนี้ใส่แล้วดูสวยขึ้น เอาสีนี้”
หน้าร้าน
“ท่านอ๋อง นั่นรถม้าสกุลฟางพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเห็นแล้ว ว่าแต่นางมาทำอะไร”
“ก็คงจะมาซื้อชุดใหม่ตามประสาคนที่ฟุ่มเฟือยเช่นนางกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องของนางไม่เกี่ยวกับข้า”
ตั้งแต่วันที่นางบอกเลิกการหมั้นกับเขา นางก็ไม่เคยมาให้เขาเห็นหน้าอีกตามที่นางรับปากเอาไว้ ข่าวเรื่องการยกเลิกการหมั้นของเขาและนางแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง คงเป็นราชครูฟางที่จัดการเรื่องนี้ ไม่นานพวกนางก็เดินออกมาพร้อมกับเถ้าแก่ที่โค้งคำนับให้และรับปากจะจัดส่งเสื้อผ้าไปที่สกุลฟาง
“นั่นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ นางมาซื้อ…..เหตุใดนางจึงแต่งตัวจืดชืดแปลกตาเช่นนั้น”
ท่านอ๋องเองก็หันไปมองด้วยเช่นเดียวกัน ที่จื่อลู่พูดนั้นไม่ผิดเลย ชุดที่นางสวมใส่ดูจืดชืดอย่างที่นางไม่เคยสวมมาก่อน ที่สำคัญนางไม่น่าจะมากับฮูหยินรองของท่านราชครูได้ เพราะผู้ใดในเมืองหลวงแห่งนี้จะไม่ทราบบ้างว่านางเกลียดแม่เลี้ยงของนางมากเพียงใด อีกทั้งน้องสาวของนาง….
“เป็นไปได้อย่างไรกันที่พวกนางจะ….”
เขาหันไปมองจื่อลู่ที่ตกใจจนพูดไม่ออกอยู่เช่นกันเมื่อพวกนางพากันขึ้นรถม้าไปแล้ว พวกนางไม่เห็นพวกเขาที่นั่งอยู่ที่โรงน้ำชาฝั่งตรงข้าม หยุนเฟยและน้องสาวโผล่หน้าออกมามองดูเมืองหลวงที่คึกคักผ่านหน้าต่างรถม้า รอยยิ้มนั่นทำเอาท่านอ๋อง“หมิงเว่ยหราน” ชะงักและเผลอมองนางราวกับพึ่งเคยพบนางเป็นครั้งแรก
“นางยิ้มสวยได้ขนาดนั้นเลยงั้นหรือ”
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องหันมามองหน้าองครักษ์ข้างกายและเริ่มสงสัยกับบางเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล ตั้งแต่เรื่องที่นางบอกเลิกการหมั้นกับเขา นี่นางยังพาแม่เลี้ยงที่นางเคยเกลียดเข้าไส้และน้องสาวต่างท้องมาด้วย ดูราวกับสนิทกันมาก นี่เป็นสิ่งที่น่าสงสัย
“จื่อลู่ เจ้าไปสืบมาทีว่าพวกนางซื้อสิ่งใดไปบ้าง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
แม้ว่าคำสั่งจะฟังดูน่าแปลกแต่จื่อลู่ก็เก็บอาการเอาไว้อย่างดี เขารีบไปสืบข้อมูลทันที ท่านอ๋องนั่งดื่มชาไปได้เพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูปจื่อลู่ก็วิ่งกลับมาพร้อมกับเรื่องราวที่เขาคาดไม่ถึง
“เจ้าแน่ใจหรือว่าฟังมาไม่ผิด”
“แม้แต่เถ้าแก่ร้านยังแทบไม่เชื่อเลยขอรับแต่ว่านางทำเช่นนั้นจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ซื้อชุดใหม่ให้แม่เลี้ยงที่เคยเกลียดและน้องสาวที่ไม่เคยนับญาติด้วยมากกว่าซื้อให้ตัวเอง แล้วยังซื้อให้สาวใช้ในจวนและแม่นมงั้นหรือ เจ้าเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้บ้างหรือไม่”
“หากกับคุณหนูฟางที่ฟุ่มเฟือยเช่นนี้ก็เคยบ้างพ่ะย่ะค่ะ แต่นางจะซื้อให้ตัวเองเท่านั้น ไม่เคยมีครั้งไหนที่นางจะมีน้ำใจซื้อของให้ผู้อื่นเช่นนี้ นางถึงได้เป็นที่เกลียดชังและไม่มีผู้ใดคบหา…”
“พอแล้ว นั่นข้ารู้แล้วไม่ต้องพูดมาก”
“พ่ะย่ะค่ะ แต่ว่ากระหม่อมแปลกใจอีกเรื่องหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องใด”
“เห็นเถ้าแก่บอกว่าก่อนหน้าจะออกจากร้านนางยังพูดกับแม่เลี้ยงอีกว่า นางจะขนชุดและเครื่องประดับของนางออกมาขายอีกพ่ะย่ะค่ะ ครั้งนี้ที่มาซื้อของก็เป็นการนำชุดและเครื่องประดับเก่ามาขายเพื่อซื้อชุดใหม่กลับไปพ่ะย่ะค่ะ”
“คนเช่นนางมิได้ขัดสนจนต้องนำของเก่ามาขายเพื่อซื้อของใหม่เลยนี่ หรือว่าจะเสแสร้งทำดีกับแม่เลี้ยงแต่ว่ามันเพื่ออะไรกัน”
“หรือว่านางอยากจะสร้างภาพว่าเป็นสตรีที่มีน้ำใจเพื่อหลอกล่อบุรุษเพราะข่าวการยกเลิกการหมั้นของพระองค์กับนาง ก็ดูเหมือนจะเป็นฝั่งของนางที่กระพือข่าวออกไปนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ยกเลิกงานหมั้นกับข้าเพื่อจะหาบุรุษคนอื่นมาแทนงั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นจริง…นางก็ดูถูกข้าเกินไปแล้ว เรื่องคดีที่นางถูกผลักตกน้ำไม่คืบหน้าเลยงั้นหรือ”
“กระหม่อมส่งคนไปสืบในวังหลวงมา ทุกคนต่างปิดปากเงียบสนิทราวกับถูกสั่งพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้คงตามสืบไม่ง่ายนักพระองค์จะยังให้….”
“สืบต่อไป ข้าก็อยากจะรู้ว่า นางกลัวตายเพราะคิดว่าข้าคือสาเหตุที่ทำให้นางถูกลอบฆ่า หรือว่านางเพียงแค่อยากสร้างภาพเพื่อหาบุรุษคนอื่นจริง ๆ ฟางหยุนเฟยเจ้าช่างเป็นคนที่น่าแปลกเสียจริง ๆ น่าสนใจขึ้นทุกวัน”
“ท่านอ๋อง พระองค์คงมิได้…”
“กลับได้แล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
บนรถม้า
“หยุนเฟย วันนี้เราใช้เงินไปมากแล้ว พอเถอะ”
“ท่านน้าแต่เรายังไม่ได้ซื้อของสดเลยนี่เจ้าคะ ท่านก็รับปากข้าว่าจะปรับเรื่องอาหารของอาเม่ย เจ้าไม่ต้องมาทำหน้ามุ่ยใส่ข้าเลยนะ”
“พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ทำหน้ามุ่ยเพราะท่าน ข้าก็แค่…เหนื่อยกับการลองชุดมากไปหน่อยเท่านั้น”
“นึกว่าอะไร แล้วเจ้าเริ่มหิวแล้วงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ หิวนิดหน่อย”
“เช่นนั้นเราก็แวะกินข้าวแถวนี้เถอะเจ้าค่ะ”
“เอ่อ แต่ว่าแถวนี้นะหรือ แต่เจ้าจะ…”
“ทำไมเล่า บะหมี่คนละชามก็อิ่มแล้วกระมังเจ้าคะ”
""บะหมี่งั้นหรือ!!""
“ทำไม อาเม่ยเจ้าไม่อยากกินบะหมี่งั้นหรือ”
“เปล่า ไม่ใช่หยุนเฟยแต่เจ้าเคยกินแต่อาหารที่เหลาและหอชื่อดัง เจ้าจะกินของข้างทางได้งั้นหรือ”
“อาหง จอดรถ”
“เจ้าค่ะ”
“พี่ใหญ่ ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะข้ากับท่านแม่น่ะกินได้ไม่มีปัญหา แต่ว่าท่าน…”
“กินได้สิ ข้าอยากลองมานานแล้วอาหงเคยบอกว่าแถวนี้มีร้านบะหมี่อยู่ร้านหนึ่งอร่อยมาก ไปกันเถอะอาหง นำทางไปร้านบะหมี่ที่เล่าให้ฟังทีสิ”
“ได้เจ้าค่ะคุณหนู”
อี้เหนียงและหลีเม่ยนั่งมองหยุนเฟยที่กินบะหมี่ชามที่สองกับอาหงอย่างนึกแปลกใจ นางไม่เพียงกินอย่างเอร็ดอร่อยแต่ต่ออีกชามพร้อมกับเรียกอาหงมานั่งกินที่โต๊ะเดียวกันอีกด้วย
นางเปลี่ยนไปจากเดิมมากขนาดนี้ได้เช่นไรกัน แต่ทั้งสองแม่ลูกเองก็เริ่มจะปรับตัวเข้ากับนางได้แล้วและดีใจที่นางเป็นเช่นนี้มากกว่าฟางหยุนเฟยคนเดิม
“อร่อยมากจริง ๆ ท่านน้า ท่านว่าที่นี่ใส่อะไรลงไปบะหมี่ถึงได้อร่อยนักเจ้าคะ”
“คิดว่าน่าจะอยู่ที่น้ำซุปและการทำหมี่ของเขานะ เจ้าดูสิ เขาทำเส้นบะหมี่ด้วยมือสด ๆ และทำวันต่อวัน น้ำซุปนั่นก็จะต้มด้วยไฟอ่อนตลอดเวลาเช่นนี้ก็จะหวานน้ำต้มเครื่องยาจีนและน้ำต้มกระดูก”
“เช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่าพวกเราถึงทำเองไม่อร่อยเช่นเขา แต่ละร้านก็มีวิธีการของตัวเอง เอ๊ะ ด้านนอกนั่น เหตุใดคนจึงมากนัก”
“คุณหนู ที่นั่นก็คือค่ายอพยพของผู้คนที่หนีสงครามมาจากเมืองอื่นอย่างไรเล่าเจ้าคะ”