“หลีเม่ย!! อย่าเสียมารยาทสิ”
“ข้าขอโทษเจ้าค่ะ”
“ท่านน้า อย่าดุนางขนาดนั้นสิเจ้าคะนางก็แค่ถามเอง เหตุใดดุนางจนนางกลัว เช่นนี้นางถึงได้เอาแต่เดินห่อไหล่ไม่กล้าสบตาคน จะพูดจะคิดอะไรก็ไม่กล้า ท่านทำเช่นนี้หาได้ไม่เจ้าค่ะ เด็กในวัยนี้คือวัยเรียนรู้และต้องฝึกทักษะในการดำรงชีวิตพวกเขาถึงจะสามารถเอาตัวรอดได้….”
“เอ่อ…หยุนเฟย นี่เจ้า….”
“ท่านพ่อ ข้าพูดมากไปแล้วกินข้าวเถอะเจ้าค่ะ กินข้าว ๆ อ่ะอาเม่ย เจ้ากินนี่เข้าไป กินเยอะ ๆ ข้าวด้วย กินข้าวด้วย”
“เจ้าค่ะ ๆ”
หยุนเฟยคิดว่าคงต้องปรับตัวอีกมากพอสมควร เมื่อเห็นเด็กอยู่ตรงหน้าก็จะอดพูดเรื่องเช่นนี้ไม่ได้สักที ก็ก่อนที่นางจะมาที่นี่ นางอายุยี่สิบห้าปีเต็มแล้วนี่
คิดว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีที่สุดในชีวิต ทั้งถูกหวยรางวัลใหญ่แม้จะไม่ใช่รางวัลที่ใหญ่มากแต่ก็ทำให้นางมีเงินเก็บหลักแสน สอบราชการติดและบรรจุงานที่โรงเรียนได้สำเร็จ แต่ก็ต้องจบชีวิตลงและมาโผล่ที่นี่
“เหตุใดเจ้าเขี่ยหอมหัวใหญ่ทิ้งละ นี่มันแหล่งวิตามินเลยนะ ตับเจ้าก็ไม่กินเหรออาเม่ย”
“ก็มัน…ขมนี่เจ้าคะ”
“อืม…งั้นนี่ละ คะน้ากินได้หรือไม่”
“คะน้ากินได้เจ้าค่ะ”
“แล้ว….เต้าหู้กับผักกาดนี่ละ”
“กินได้เจ้าค่ะ”
“อืม เช่นนั้นก็กินไปก่อน เนื้อติดมันบริโภคแต่น้อย กินได้แต่อย่ามากแล้วอย่ากินข้าวคำน้ำคำเช่นนั้นอาหารจะย่อยยากแล้วเจ้าจะอิ่มเร็ว เอาน้ำออกไปวางที่อื่น”
“คือว่าข้า…”
“อาเม่ย เวลากินข้าวเจ้าอย่าประหม่ามันจะทำให้เจ้าทำตัวไม่ถูก ท่านน้าเองก็เช่นกันหากนางไม่ได้ทำสิ่งใดผิดก็อย่าตะคอกนางบ่อยจนนางไม่กล้าทำสิ่งใด พฤติกรรมกินข้าวคำน้ำคำเช่นนี้แสดงว่านางกลัวว่าจะทำผิดจนถูกดุ ดังนั้นเริ่มตอนนี้เลย นี่เป็นบ้านของเราเจ้าอย่าเกร็งนั่งดี ๆ นี่ท่านพ่อ นั่นก็แม่เจ้าไม่ต้องกลัวผู้ใดจะว่าเข้าใจหรือไม่ ต่อไปออกสังคมจะได้ดูผ่าเผยมากกว่านี้”
“เจ้าค่ะ”
หยุนเฟยยังคงสอนนางไปเรื่อย ๆ จนท่านราชครูเองยังนึกแปลกใจ แม้แต่หลานฮูหยินเองก็แปลกใจกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือของนาง แม้นางจะพูดเช่นนั้นแต่ใครจะไปปรับตัวได้ทันกันเล่าก็ในเมื่อก่อนหน้านี้นางไม่เคยแม้แต่จะมองสองแม่ลูกนี้ด้วยสายตาที่ดีเลยสักครั้ง แต่มาวันนี้ นางทำราวกับหลีเม่ยคือบุตรสาวที่นางคลอดออกมาเองก็มิปาน
“ท่านพี่เจ้าคะ”
“ปล่อยนางเถอะ เราอาจจะได้บุตรสาวคนใหม่ก็ได้”
เกือบสองเดือน กว่าที่ทั้งสองคนแม่ลูกจะเริ่มปรับตัวเข้ากับพฤติกรรมใหม่ของฟางหยุนเฟยได้ ตอนนี้นางเริ่มขอความช่วยเหลือจากอี้เหนียงเพื่อมารื้อห้องของตนเองอีกครั้งหนึ่งแล้ว
“ไม่เอาท่านน้า นั่นก็ไม่เอา สีฉูดฉาดขนาดนั้นใครจะกล้าใส่ วัวไล่ขวิดตายเลย”
“หา เจ้า…ฮ่า ๆ หยุนเฟย วัวน่ะหรือ แต่ก่อนหน้านี้เจ้าชอบสีแบบนี้ยิ่งนัก”
“ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว ว่าแต่ข้าไม่มีเสื้อผ้าสีที่เหมือนคนเขาสวมใส่บ้างเลยหรืออย่างไรนะ”
“พี่ใหญ่ หากว่าท่านไม่ชอบท่านก็ไปซื้อใหม่สิเจ้าคะ”
“ตอนแรกข้าก็คิดว่าจะมีบ้าง แต่ว่าตอนนี้ ข้ายอมแพ้แล้ว ชุดพวกนี้ข้าสวมไม่ได้เลยจริง ๆ อย่างกะไก่หลากสีไม่ไหว ๆ ท่านน้า….”
“ข้ารู้ ๆ ไปเลือกเอาเถอะ แต่ชุดของข้า…ก็มีไม่มากเท่าไหร่เจ้าชอบชุดไหนก็เอาไปใส่เถอะ”
“คุณหนูเจ้าคะ นี่เป็นเครื่องประดับเจ้าค่ะ”
“โอ้โห ข้านี่รวยนะเนี่ยท่านน้าท่านดูสิ”
“มีมากกว่านี้อีก ข้าเก็บเอาไว้ให้ที่ห้องเก็บของ”
“อาเม่ย….”
หยุนเฟยหันมามองหน้าน้องสาวที่กำลังมองเครื่องประดับที่มากมายตรงหน้านี้อย่างชื่นชม
“พี่ใหญ่ สวย ๆ ทั้งนั้นเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้าชอบงั้นหรือ”
“แต่ข้ายังไม่ต้องใส่ของพวกนี้”
“ดี งั้นข้า….จะเอาไปขายให้หมดเลย อาหงเจ้ารื้อออกมาให้หมด!!”
""อะไรนะ ขาย!!""
หยุนเฟยหันมามองหน้าอี้เหนียงและหลีเม่ยราวกับไม่เชื่อหูตนเอง คุณหนูที่อวดร่ำอวดรวยและชอบเครื่องประดับชุดเสื้อผ้าเหล่านี้บอกว่าจะขายของฟุ่มเฟือยเหล่านี้งั้นหรือ
“หยุนเฟย เจ้า….แน่ใจนะ แม่นมถงมาช่วยข้าดูหน่อย นางจับไข้หรือไม่”
“เจ้าค่ะฮูหยิน”
“โอย…ไม่ต้องแล้ว ๆ เอาไปขาย พวกเราจะได้ซื้อชุดใหม่กัน อาหง เตรียมของขึ้นรถม้า”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
อาหงคือสาวใช้ที่นางเรียกใช้งานเป็นประจำเพราะนางคล่องตัวและนิสัยก็น่ารักเข้ากับทุกคนได้ อาหงค่อย ๆ ขนเสื้อผ้าที่นางเลือกและเครื่องประดับขึ้นรถม้า อี้เหนียงและหลีเม่ยมองตามของเหล่านั้นด้วยเกรงว่าวันใดหากนางนึกได้ขึ้นมาว่าเอาไปขายแล้วจะเสียดายหรือไม่
“ท่านน้า อาเม่ย มองอะไรกัน ขึ้นรถเอาของพวกนี้ไปขายกันเจ้าค่ะ”
“เอ่อ หยุนเฟยเจ้าแน่ใจแล้วนะว่าจะขายทั้งหมดนั่น”
“ขายสิเจ้าคะ เก็บเอาไว้ข้าก็ไม่ใส่หรอก อย่างกับห้องทองเคลื่อนที่ ไป ๆ ขึ้นรถ ๆ เร็วเข้าอาเม่ย วันนี้พี่สาวจะซื้อชุดใหม่ให้เจ้า”
“ให้ข้าหรือเจ้าคะ”
“แน่นอน ไปกันเถอะ อาหง”
“เจ้าค่ะ ออกรถ!!”
ตลาดในเมืองหลวง
รถม้าสกุลฟางเคลื่อนตัวไปจอดที่หน้าร้านขายของและโรงรับจำนำที่รับซื้อของเหล่านี้โดยเฉพาะ อาหงที่ค่อนข้างจะรู้จักคนมาก
พวกนางสามารถขายของที่ขนมาได้เกือบสองพันตำลึงจากสี่ร้านที่รับซื้อพร้อมกับการต่อรองของหยุนเฟยและอาหงที่ต่อรองเชิงข่มขู่จนเถ้าแก่ยอมจ่ายในราคาแพง
“ไม่น่าเชื่อเลยนะเจ้าคะพี่ใหญ่ ว่าของพวกนั้นจะขายได้มากขนาดนั้น”
“อาเม่ย เจ้าเห็นนั่นหรือไม่พวกเรารีบไปกันเถอะ”
“หยุนเฟย แต่ว่าเสื้อผ้าร้านนั้น ราคาสูงมาก ๆ”
“ท่านน้า ข้ายืมชุดท่านมาใส่จนท่านแทบจะไม่มีชุดสวมแล้ว ที่สำคัญเรามีเงินแล้วใช้หน่อยจะเป็นอะไรไปเล่า ยังเหลือของอีกตั้งมากที่ข้ายังไม่ได้รื้อเอาขายนะเจ้าคะ ไปกันเจ้าค่ะ”
“แต่ว่า…เงินนั่นเป็นของเจ้านะ”
“แล้วชุดที่ข้าสวมอยู่นี่เล่าเจ้าคะ หากท่านไม่ให้ยืมข้าก็ไม่มีสวมใส่ ท่านน้าอย่าขัดใจข้าเลยอาเม่ยจะโตเป็นสาวแล้ว ท่านให้นางสวมชุดเก่า ๆ ของท่านที่แก้แล้วแก้อีกเช่นนี้ไม่ได้นะ นางเป็นบุตรีของท่านราชครูเชียวนะเจ้าคะจะขายหน้าผู้อื่นเอา ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณพี่ใหญ่เจ้าค่ะ”
“ไปกันเลยพี่ใหญ่จ่ายให้เจ้าเอง”
สองพี่น้องจูงมือกันเดินเข้าไปในร้าน เถ้าแก่ที่คุ้นตานางเป็นอย่างดีรีบวิ่งออกมาต้อนรับแต่ก็ต้องแปลกใจกับการแต่งตัวที่แปลกตาของนางไป
“คุณหนูฟางวันนี้รับอะไรดีขอรับ”
“ขอชุดที่ตัดจากผ้าอย่างดีสีสุภาพแต่ดูแพง เรียบหรูไม่เอาสีจัดจ้านให้เหมาะกับฮูหยินท่านราชครูสิบชุด ของน้องข้าก็เช่นกัน ขอสีสดใสแต่ไม่เอาสีจัด ขอโทนชมพู ม่วง เขียวอ่อน ฟ้าน้ำทะเลไล่เฉดสี เอาสักสิบชุดเช่นกัน ไปเลย”
“ฮ้อ ๆ ได้เลย…เด็ก ๆ”
“พี่ใหญ่ พวกเขาจะทำอะไรเจ้าคะ”
“หยุนเฟย สิบชุดนั่นมันมากเกินไป”
“อาเม่ย พวกเขาจะพาเจ้าไปวัดตัวและลองชุด ท่านน้า หากท่านปฏิเสธข้า ข้าจะฟ้องท่านพ่อว่าท่านจงใจขัดใจข้า”
“หยุนเฟย เด็กคนนี้นี่ เอ่อ ข้าเดินเองได้ ข้าไปเอง”
“คุณหนู แล้วของท่านเล่าขอรับ”
“ข้าขอชุดสีเรียบ ๆ สักสิบชุด และขอชุดที่สวมสำหรับใส่ไปพิธีการเน้นสีเรียบเช่นกันอีกสักสามชุด อ้อแล้วก็ของชุดสำหรับสาวใช้ของข้าสักสามชุด และชุดของผู้สูงวัยอีกสามชุด นี่คือสัดส่วนของนาง”
“คุณหนูท่านซื้อชุดให้สาวใช้ด้วยหรือขอรับ”
“ใช่ วันนี้จะให้นางสวมไปก่อน วันหลังข้าจะให้ท่านไปวัดตัวและตัดให้สาวใช้ที่จวน อาหง ไปวัดตัว”
“คุณหนู.... ของข้าด้วยหรือเจ้าคะ”