สายฝนกระหน่ำสาดเทจากฟากฟ้าไม่สงสารพนักงานสาว ปรายดาวยืนมองเบื้องหน้าก็ถอนหายใจแขนดุจเสลาโอบเรือนกายบอบบางไว้ ความเหน็บหนาวเคลื่อนสู่ร่างกายเพราะเครื่องแต่งกายไม่เอื้ออำนวย
นิ้วสัมผัสผ่านเม็ดฝนแค่ส่วนปลาย หรือฟ้าร้องไห้วันนี้อาจเพราะสงสารโชคชะตาอาภัพของเธอ คิดดังนั้นเรียวปากพลันแค่นหัวเราะ
ไร้สาระที่สุด!
ปี๊น! ปี๊น!
แตรจากรถยี่ห้อแพงดังกระทั่งต้องเงยหน้าสนใจ แอสตัน มาร์ตินสีสนิมคันละหลายสิบล้าน ลดกระจกลงช้า ๆ เผยวงหน้าหล่อเหลาที่พบเจอตั้งแต่เล็กจนโต
“ขึ้นรถ!” คำพูดง่าย ๆ ฟังดูคล้ายคำสั่งพิกล ชายหนุ่มส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเมื่อเห็นเธอยืนนิ่งปฏิเสธความหวังดี ‘พลรบ ประภากร’ ลูกชายเพื่อนพ่อซึ่งอดีตปรายดาวเคยขยาดมากที่สุดในโลก
เขาคือหนุ่มไฮโซเจ้าของสถานีโทรทัศน์ช่องเก้าสิบสาม ชายผู้มากความสามารถไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจหรือดนตรี
“เร็ว ๆ ตัวกะเปี๊ยกแค่นี้ยังทำเก่ง”
“พี่รบ!” ได้ยินเสียงต่อว่าก็กอดอกตอบ ไร้มาดขรึมที่ชอบปฏิบัติต่อลูกน้องเพราะกับเธอพลรบแค่คนปากเสีย ไม่ห่วงภาพลักษณ์ซ้ำยังเป็นตัวเองสุด ๆ
“ถ้าเราดื้อพี่จะจอดอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน อยากให้คนอื่นเดือดร้อนก็เอาเลย เต็มที่” สิ้นคำขู่ ตาคู่สวยกวาดมองรถเบื้องหลัง ซึ่งมันเรียงรายเสียจนต้องจำยอมเปิดประตูเชื่อฟังคำสั่ง เพราะหนุ่มติสต์คนนี้ทำอะไรมากกว่าแค่พล่ามไปวัน ๆ ได้ติดรถเขากลับบ้านในวันย่ำแย่ก็ไม่ได้ลำบากอะไร
อณูความเงียบปกคลุมสองหนุ่มสาว พลรบเปิดเพลงอะคูสติกแผ่วเบาเคล้าคลอเสียงฝน ดวงตาคมกริบเหลือบมองคนข้างกายก่อนเปิดบทสนทนา
“น้องภูกลับจากเข้าค่ายพรุ่งนี้ใช่ไหม”
“พี่รบรู้ได้ไงเนี่ยว่าน้องภูไปค่าย ลูกปรายแอบเล่าอะไรให้พี่ฟังอีก” พลรบสนิทกับภูตะวันยิ่งกว่าคนเป็นแม่ ด้วยความเป็นเด็กผู้ชายหนุ่มน้อยจึงมอง ‘ลุงรบเป็นซูเปอร์แมน’ ผู้ชายคนนี้ช่วยเธอเลี้ยงภูตะวันตั้งแต่ยังไม่ถึงขวบเดือน ไม่สิ…
เขาดูแลคุณแม่ลูกอ่อนตั้งแต่ยังไม่คลอดด้วยซ้ำ
“แกก็บ่นตามประสาเด็กแหละ ไม่อยากไปค่ายเพราะคิดถึงคุณแม่คุณตา”
เขาเกริ่นเพียงเล็กน้อย ปรายดาวก็ระบายหัวเราะ คอยดูนะ อีกไม่กี่นาทีพลรบต้องเร้าหรือขออะไรบางอย่างเพราะเจ้าตัวแสบปรารถนาของรางวัล
“น้องภูอยากไปเที่ยวสวนสนุก พี่ให้สัญญากับแกว่าถ้ากลับมาจะพาไป”
“ว่าละ แบบนี้ทุกที มารับปรายเพราะหวังผลใช่ไหมพูด!”
ส่ายหน้าหรี่มองหางตา ถ้าซื้อลอตเตอรี่เธอคงถูกรางวัลที่หนึ่งเพราะเดาแม่นเหมือนรู้อนาคต
“พี่ไม่อยากเห็นมลพิษทางสายตาต่างหาก”
“หมายความว่าไง” ปรายดาวขมวดคิ้วมุ่น สัมผัสได้ว่าสิ่งที่เขากำลังเอ่ยเกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับเธอ
“คิดว่ามาที่นี่เพราะบังเอิญหรือไง โทร. หาปรายก็ไม่รับเลยได้คุยกับเด็กน้ำหวาน” เขาเกริ่นด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเสมือนไม่สลักสำคัญอะไร
“พี่รู้เรื่องทุกอย่างหมดนะ”
“…” กำมือแน่นกลืนน้ำลายลงคอเพราะรู้ว่าเขาจะพูดเรื่องอะไรต่อ ใจตกลงยังตาตุ่ม ครั้นจำคำพูดในอดีตได้ชัดเจนสุ้มเสียงหนักแน่นท่าทางเอาจริงเอาจังเอ่ยว่า…
‘ปรายคบกับมึงกูไม่ว่า แต่ถ้ามึงทำให้ปรายเสียใจแม้แต่ครั้งเดียว อย่าหวังว่ากูจะปล่อย!’
และเขาก็ทำอย่างที่ให้สัญญาไว้จริง ๆ…
“ขอโทษ…”
“พี่รบขอโทษปรายเป็นพัน ๆ ครั้งละมั้ง”
ปรายดาวเปรียบเปรย มองออกทะลุปรุโปร่งที่พลรบคอยดูแลอยู่ทุกวันนี้ เพราะเสี้ยวหนึ่งรู้สึกผิด
“ถ้าไม่เป็นเพราะพี่ ปรายคงไม่ต้องรู้จักมัน” หนุ่มไฮโซกำพวงมาลัยแน่น เหยียบคันเร่งเร็วขึ้นยามอารมณ์คุกรุ่น พลรบเลือดร้อนตั้งแต่เธอจำความได้ พี่ชายขี้หงุดหงิดยังมีมุมปกป้องน้องสาวราวอัศวินพิทักษ์เจ้าหญิง
“ช่างเถอะ มันผ่านไปนานแล้ว ถ้าที่พี่มาดูแลปรายกับลูกเพราะยังคิดว่าเป็นเพราะตัวเองปรายก็เกรงใจพี่นะ”
ปรายดาวเม้มริมฝีปากโพล่งตรงไปตรงมาไม่คิดอ้อมค้อม ชีวิตพลรบกับตนต่างกันดั่งฟ้ากับเหว ได้รู้จักมักคุ้นกันเพราะบิดาทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่สมัยเรียน
“อีกอย่างปรายอายุเท่านี้ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาตั้งเท่าไรทำไมแค่นี้จะอดทนไม่ได้”
แต่เมื่อเติบโตขึ้นไปทุกคนย่อมมีชีวิตเป็นของตนเอง จะทำตัวอ่อนแอให้พี่รบคอยกางปีกปกป้องดั่งวันวานก็คงไม่ใช่ ยิ่งเป็นแม่คนแล้วต้องรู้จักเข้มแข็ง
แม้ข้างในปวดร้าวยามนึกถึงคำพูดทำร้ายจิตใจที่เธอมักจะได้ยินจนชินและชาว่า…
‘ท้องในวัยเรียนก็ตาม!’
“แต่ปรายยังตัวกะเปี๊ยกเหมือนเดิม”
“ไอ้พี่รบ!”
ปัดมือสากออกแทบไม่ทัน พลรบลงน้ำหนักขยี้หนัก ๆ จนเรือนผมเงางามแทบไม่เป็นทรง
“ไปดื่มกันวันนี้พี่เลี้ยงเอง”
“แต่…”
“ถ้าเมาเดี๋ยวพากลับ หน้ายิ้ม ๆ แบบนี้พี่มองออกนะว่าเราแบกโลกไว้ทั้งใบ”
ชายหนุ่มเป็นคนฉลาด เขาเข้าใจทุกถ้อยคำออกอย่างทะลุปรุโปร่ง สายตาปรายดาวลดมองต่ำปฏิเสธไม่ได้คล้ายน้ำท่วมปาก
เพราะทุกประโยคที่กล่าวมานั่นคือความจริง เธอแบกโลกไว้ทั้งใบจริง ๆ อย่างที่พลรบว่า!
ไม่นานรถคันหรูชะลอจอดที่ลานกว้าง โต๊ะไม้พร้อมกับไฟเจิดจ้าสว่างวาบขึ้นมาเพราะลมฝนปลิวหายไปในอากาศ
‘Up twenty one’
ร้านอาหารกึ่งบาร์ลับคือจุดหมายปลายทาง พลรบใช้บริการที่นี่ประจำถึงมาดไฮโซโก้หรูอย่างไรชายหนุ่มก็แค่คนธรรมดา คนหนึ่ง
บาร์แห่งนี้สะอาดแถมมีบริการยอดเยี่ยม ความเป็นส่วนตัวแม้มีไม่มาก เพราะมันฮิตเสียจนผู้คนพลุกพล่านไม่มีเวลาสังเกตใครต่อใคร
เขาพาปรายดาวนั่งโต๊ะประจำ สั่งอาหารสองสามอย่างพร้อมเครื่องดื่มมึนเมา ทีแรกหญิงสาวทำท่าทีอึกอักไม่กล้าแตะต้องเท่าไรนัก คนมีอายุมากกว่าจึงเลื่อนแก้วกึ่งเชิญชวน ถึงต้องรักษามาดคุณแม่แต่อย่างไรก็เป็นมนุษย์ มีเลือดเนื้อ หัวใจ ความรู้สึก…
เมื่อความเศร้ามาเยือนจะแปลกอะไรหากอยากระบายกับแอลกอฮอล์ ปรายดาวจึงดื่มแก้วแล้วแก้วเล่า ยิ้มทั้งน้ำตาพรูอารมณ์อ่อนไหว
“ฮะ…ฮึก…ปรายมันโง่ ทำไมถึงเป็นคนโง่แบบนี้”
เธอทึ้งศีรษะตนเองซ้ำ ๆ หยาดน้ำตาไหลเปื้อนสองข้างแก้ม หยดแล้วหยดเล่าก็ไม่อาจลบเลือนความขมขื่น
เรื่องทุกข์ใจมีมากแต่ต้องปั้นหน้ายิ้มเข้มแข็งว่าไม่เป็นไร แม้พลรบเคยถามว่าเหนื่อยไหม ไหวหรือเปล่า
ปรายดาวก็พยักหน้าแสร้งยิ้มประหนึ่งคนเดิม แต่เขารู้เธอเปลี่ยนแปลง รอยยิ้มสดใสที่เคยเป็นดั่งโลกทั้งใบของผู้ชายคนนี้หายไปตลอดกาล…
หยาดน้ำตาไหลโรยรินมากขึ้นเท่าไร คล้ายทึ้งหัวใจแกร่งฉีกขาดตาม ๆ เธอ สุดท้ายผู้ชายที่คนตัวเล็กชอบด่าว่าปากเสียจะทำอะไรได้…นอกจากอยู่เคียงข้างหญิงเดียวที่รัก
“เหล้าเลอะหมดแล้วเนี่ย ยายตัวแสบ!”
แกล้งระบายหัวเราะกลบกลืนแล้วหยิบทิชชูเช็ดข้างริมฝีปาก ใช่ว่าเขาสบายใจเสียเมื่อไรยามรู้ข่าวเรื่องภวัฒน์บังเอิญต้องข้องเกี่ยวกับปรายดาวเพราะงาน
พลรบกลัวเหลือเกิน… กลัวว่าไอ้สารเลวนั่นจะทำให้ปรายดาวเสียใจไม่แพ้อดีตที่ผ่านมา
เวลาผ่านไปกว่าเกือบครึ่งชั่วโมงคนเมาเริ่มไม่ไหว เธอฟุบลงแนบโต๊ะไม้ ใบหน้ากระจ่างใสเปียกชุ่มคราบน้ำตา แพขนตางอนสลวยลีบเมื่อนัยน์ตาคู่หวานปิดลง
พลรบแทบแบกร่างเล็กขึ้นหลัง เขาพยุงหญิงสาวเชื่องช้าหลังเคลียร์ค่าเครื่องดื่มและอาหารเสร็จ ความใกล้ชิดเล่นเอาลมหายใจสัมผัสกันและกัน กว่าจะมาถึงรถคันหรูดวงหน้างดงามก็อยู่ห่างจากชายที่แอบรักแค่คืบ
“รบบบ…ร้บบบบ” เธอเรียกเขาเสียงยาวไม่มีความเคารพ ใด ๆ หลงเหลือ ช่วงเวลาโรแมนติกหายวับไปกับตา เมื่ออยู่ ๆ คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือกเบี่ยงกายโก่งคออาเจียน
“ปราย!” มือสากรวบผมยาวสลวยไว้ข้างหลัง คนห่ามไม่เคยดูแลใครแทบสบถหยาบคาย เขาไม่น่าพายายตัวเล็กนี่มากินเหล้าจนสภาพดูไม่ได้
“แหวะ!” ทุกอย่างในท้องกองอยู่บนพื้นตรงลานจอดรถ เล่นเอาคนเมาแทบทรุด โชคดีที่แขนกำยำคว้าเอวเธอไว้ได้ทัน ผ่านไปสักพักกว่าพลรบจะพยุงปรายดาวขึ้นยานพาหนะ
เขาเคลื่อนรถออกไปโดยไม่รู้ทุกการกระทำตกอยู่ในสายตาคบกริบของใครบางคนตั้งแต่ต้นจนจบ…
ภวัฒน์พาร่างสั่นเทาผ่านโถงทางเดิน นัยน์ตาเหลือบมองมารดาชั่วครู่ ก่อนหมุนกายขึ้นบันได ท่านพาเด็กเอนเทอร์เทนมาสำราญนับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่บิดาจากไป ‘ราณี’ ไม่เคยว่างเว้นจากหนุ่มคราวลูก แม้เป็นผู้กุมบังเ**ยนใหญ่ของ ‘อลงกรณ์’ ควบตำแหน่งนักธุรกิจหญิงแห่งปี ทว่าตัณหาราคะไม่เข้าใครออกใคร
เขาปาสูทสีเข้มกระแทกพื้นพรม ภาพฉากโรแมนติกที่ลานจอดรถติดตาตั้งแต่เมื่อครู่กระทั่งตอนนี้ เรียวปากหยักกัดฟันกรอดเพราะแพ้ให้คู่อริทุกที คำขู่ที่มันเคยประกาศกร้าวว่าไม่ยอมปล่อยปรายดาวอีกนั่นคือเรื่องจริง!
หยิบประกาศนียบัตรขึ้นมาเพ่งดูเขม็ง
‘รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งด้านวิชาคณิตศาสตร์’
‘รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งกีฬาคือยาวิเศษ’
เขาเป็นได้แค่ตัวสำรองเป็นผู้แพ้ตลอดทั้งปี เพราะที่หนึ่งคือพลรบ ประภากร นักเรียนดีเด่นหกปีซ้อน เด็กหนุ่มชื่อกองกำลังที่ใครต่อใครต่างรักจนภวัฒน์หมั่นไส้…
คงมีเรื่องเดียวกระมังที่เคยเอาชนะชายผู้เพียบพร้อมอย่างหมอนั่นได้ คือการพรากหญิงซึ่งมันรักมากเสียจนน่าสังเวช
คราแรกภวัฒน์ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าปรายดาวมีอะไรดีนักหนา ก็แค่ลูกสาวแม่ค้าธรรมดาส่วนพ่อมีศักดิ์เป็นตำรวจกินเงินรายเดือน
ไม่เคยมีแสงสว่างในหัวใจกระด้างเย็นชาจนคนตัวเล็กก้าวเข้ามา ดาวดวงน้อยสาดไออุ่นให้เขาเปลี่ยนไปช้า ๆ แม้เป็นแค่เรื่องราวแสนธรรมดา แต่การได้ยิ้มหรือหัวเราะพร้อมกับเธอนั้นช่างวิเศษเกินใคร
ปรายดาวเคยเป็นทุกอย่างสำหรับเขา… เธอเปรียบดั่งน้ำค้างยามเช้าซึ่งภวัฒน์จำได้ไม่รู้ลืม
“พี่คิดถึงปราย”
แม้วันนี้ความสัมพันธ์ของเราไม่อาจเหมือนเดิมก็ตาม เพราะผู้ชายสารเลวคนนี้ทำร้ายหัวใจ หักหลังแฟนเก่าอย่างเลือดเย็น เขารู้ว่าตนเองผิดแต่ใจดื้อด้านคิดถึงเธออยู่ร่ำไป เจ็ดปีผ่านไปถามว่าทุกอย่างเหมือนเก่าไหม… ก็ไม่
หัวใจไม่เคยเหมือนเดิมเพราะมันหยุดเต้นไปตั้งแต่วันวาน!
หยุดเต้นไปพร้อม ๆ กับแผ่นหลังบอบบางซึ่งก้าวเดินไปข้างหน้ากับพลรบ เธอสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดคู่อริ
ถ้าพลรบไม่เข้ามาเอาเรื่องเขาวันนั้น ปรายดาวคงเลือนหายไปไร้คำร่ำลา
หญิงสาวร้องห้ามดึงท่อนแขนกำยำไม่ให้มีเรื่องกันครั้งที่เท่าไรไม่รู้
‘ให้มันจบตรงนี้ เรื่องของพี่ปรายจะถือว่าทำบุญ’ เธอผสานมือเข้าหา เงยหน้ากล่าวขณะดวงตาแดงก่ำ
‘ปรายลืมได้เหรอ ลืมมันได้หรือไงเรื่องระหว่างเรา!’
ร้องถามสุดเสียงมองเสี้ยวหน้างามซึมซับไว้กับความทรงจำ เพราะกลัวไม่มีโอกาสได้เห็นอีก
‘ได้ไม่ได้ ปรายก็ต้องลืม…’ น้ำเสียงหวานแข็งกร้าวจนภวัฒน์แค่นยิ้มสมเพชตนเอง
‘เพราะปรายให้อภัยคนหลอกลวงอย่างพี่ไม่ได้’
‘ปราย…’
‘พอเถอะ พี่เข้าหาปรายเพราะอะไรใจพี่รู้ดีตั้งแต่ต้น อย่าอ้างถึงความรักเพราะมันไม่เคยมีอยู่จริง’
‘…’
‘แค่นิทานหลอกเด็ก พี่คงสะใจ’
เขาเถียงไม่ออก ถ้อยคำปรามาสตัดสินจากริมฝีปากกระจับบาดหัวใจเป็นแผลเหวอะหวะ ที่เธอคิดมันถูกต้องแต่ไม่ทั้งหมด…
เข้าหาเพราะหวังผลคือความจริง แต่ทุกครั้งยามใกล้ชิดไม่ใช่การแสดง!
‘วันนี้พี่ชนะแล้วยินดีด้วย!’
‘ลาก่อน อย่ามาเจอกันอีกเลย’ ปรายดาวหันหนี ฝีเท้าซวนเซแม้เชื่องช้าทว่าฉายชัดว่าไต่ตรองถี่ถ้วน
‘ที่กูเคยบอกว่าจะไม่ปล่อยถ้ามึงทำปรายเสียใจ’
พลรบชี้หน้าสั่งสอนปิดท้าย ความเดือดดาลแล่นพล่านจุกกลางอกตามประสาหนุ่มเลือดร้อน
‘หลังจากนี้กูจะดูแลปราย ผู้หญิงที่กูรักต้องไม่เสียน้ำตาให้มึงอีก!’ เปิดศึกกันไปแล้วหนึ่งระลอกหลังพลรบรู้เรื่องความระยำที่ภวัฒน์ทำไว้ ลานกว้างคณะบริหารกลายเป็นสังเวียนจนนักศึกษาพากันโจษจัน
สองหนุ่มไฮโซถูกสภามหา’ลัยเรียกพบข้อหาทะเลาะวิวาท แต่สุดท้ายก็รอดได้เพราะอำนาจเงินตรา
พลรบว่าขณะจ้ำอ้าวโอบกอดปรายดาวซึ่งจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ ทุกย่างก้าวทุกการเคลื่อนไหว เธอจะรู้หรือไม่ว่าเอาหัวใจผู้ชายคนนี้ติดมือไปด้วย…
ภวัฒน์เพียงเฝ้ามองเธอ ชายโง่เขลาทำได้เพียงเท่านี้จริง ๆ