“ว่าไงคะพี่ชาย น้องเพิ่งมาถึงบ้านพอดี”
เอรีน่ากล่าวเสียงใสระหว่างทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงใหญ่ในห้องนอน หญิงสาวเพิ่งจะเดินทางกลับมาถึงบ้านเมื่อห้านาทีก่อน เอเรียสก็โทร.เข้ามาพอดี
“เย็นนี้ชวนพี่ไบรอันมากินมื้อค่ำที่บ้านพี่หน่อยสิ”
“น้องก็อยู่ที่บ้านอยู่แล้วนี่ไงคะ”
เอรีน่าขมวดคิ้วน้อยๆ อดจะแปลกใจกับคำเชิญชวนของพี่ชายไม่ได้ จู่ๆ มาชวนให้รับประทานมื้อค่ำด้วยกันทั้งๆ ที่อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ จะไม่ดูแปลกไปหน่อยหรอกหรือ
“พี่หมายถึงบ้านของพี่ที่ซื้อไว้แถวชานเมือง”
“อ้าว พี่เอเรียสย้ายไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่เมื่อไรกันคะ น้องไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”
เอรีน่าจำได้ดีว่าก่อนที่เธอจะเดินทางไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนที่ต่างประเทศเมื่อห้าวันก่อน เอเรียสก็ยังอยู่ที่คฤหาสน์ฟรีเดล ไม่ได้มีทีท่าว่าเจ้าตัวจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกเลยด้วยซ้ำ แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น
“ฟังที่พี่จะเล่า แล้วอย่าเพิ่งถามแทรกตกลงไหม”
เอรีน่าพยักหน้ารับหงึกๆ ถึงแม้ว่าปลายสายจะไม่เห็นก็ตาม
“คือเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างนี้”
ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากคนเป็นพี่ชายเอเรีน่าก็อดตกใจไม่ได้ เธอไม่อยู่บ้านแค่ไม่กี่วันพี่ชายอีกคนของเธอก็มีภรรยาเสียแล้ว แถมยังเป็นภรรยาที่ไม่เคยเห็นน่าค่าตากันมาก่อนด้วยซ้ำ อดถามออกไปอย่างกังวลไม่ได้
“พี่เอเรียสโอเคใช่ไหมคะ”
“พี่ไม่มีปัญหาอะไรหรอก คิดว่าคงไม่นาน”
“พี่เอเรียสหมายความว่ายังไงคะ” พอได้ยินแบบนั้นเอรีน่าถึงกับขมวดคิ้วมุ่น
“ก็หมายความว่าคงใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไม่นานหรอก พี่ก็แค่ทำตามคำมั่นสัญญาและไม่อยากให้ตระกูลเราขึ้นชื่อว่าไม่รู้จักบุญคุณ”
“หมายความว่าพี่เอเรียสจะเลิกกับพระจันทร์หรือคะ”
เอรีน่าทราบว่าภรรยาของพี่ชายชื่อพระจันทร์และอายุน้อยกว่าตัวเองจากคำบอกเล่าของคนเป็นพี่ชาย จากที่กังวลเกี่ยวกับความรู้สึกของพี่ชาย ตอนนี้ก็เริ่มเอนเอียงไปเห็นใจภรรยาของพี่ชายที่ยังไม่ได้เห็นหน้ากันอย่างพระจันทร์เสียแล้ว
“ก็ใช่ไง อย่างที่บอกพี่ก็แค่ทำตามคำมั่นสัญญาของคุณทวดเท่านั้น”
“แล้วอย่างนี้พระจันทร์เอ่อ...จะไม่เสียหายหรือคะ”
ในฐานะที่เป็นผู้หญิงเหมือนกันเอรีน่าก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความเห็นใจ ไม่ว่าการใช้ชีวิตคู่จะเกิดขึ้นเพราะเหตุผลใดก็ตาม ไม่มีใครอยากเลิกราหรอก โดยเฉพาะฝ่ายหญิง
“พี่ว่าเธอคงเตรียมใจเอาไว้แล้วแหละ ตั้งแต่รู้ว่าต้องมาอยู่กับพี่”
เอรีน่าสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ติดจะดูแคลนนิดๆ ของเอเรียส แบบนั้นก็ยิ่งเห็นใจพระจันทร์เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของพี่ชาย เธอคงแย้งอะไรมากไม่ได้
“แล้วตกลงว่าจะมากินมื้อค่ำที่บ้านพี่ไหม พี่ชวนพี่เอเดรียนกับผักหวานแล้วก็เด็กๆ แล้ว”
“ไปค่ะ เจอกันตอนเย็นนะคะ”
“อย่าลืมชวนพี่ไบรอันมาด้วยล่ะ รายนั้นไม่ใช่หงอยไปแล้วเหรอ แฟนหนีไปเที่ยวตั้งหลายวัน”
“แหม...พี่เอเรียสก็พูดเกินไป พี่ไบรอันเขาไม่หงอยหรอกค่ะ”
พูดถึงแฟนหนุ่มที่เป็นตำรวจเอรีน่าก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้ ว่าไปแล้วเธอก็คิดถึงอีกฝ่ายเหมือนกัน เพราะตอนที่ไปเที่ยวแบบตั้งแคมป์กับกลุ่มเพื่อนในเขตอุทยานไร้สัญญาณโทรศัพท์ จึงทำให้ขาดการติดต่อกันไป
“ไม่หงอยอะไรกันเมื่อวานยังโทร.มาถามพี่เลยว่าเมื่อไรเราจะกลับ ถามพี่ไม่พอยังโทร.ไปหาพี่เอเดรียนอีก อย่างนี้ยังไม่เรียกว่าหงอยอีกเหรอ ทั้งหงอยทั้งเหงาแหละพี่ว่า”
“คิกๆ แฟนใครเอ่ยน่ารักจังเลยน้า”
“ไม่ต้องมาชมแฟนเราให้พี่ฟังเลย รีบๆ โทร.หาพี่ไบรอันซะล่ะ”
“รับทราบค่า เจอกันตอนเย็นนะคะพี่ชาย”
“อืม”
เอเรียสรับคำก่อนจะกดวางสาย เอรีน่าจึงจัดการต่อสายหาคนรักอย่างผู้กองหนุ่มไบรอันทันที รอยยิ้มกว้างปรากฏบนดวงหน้ารูปไข่ทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย
“พี่ไบรอัน เอรีน่ากลับมาแล้วนะคะ”
“มารีคะ พระจันทร์ต้องออกไปซื้อของสำหรับทำมื้อเย็น พระจันทร์จะไปหาซื้อได้ที่ไหนคะ”
พระจันทร์ไม่เคยใช้ชีวิตในต่างประเทศ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวจากบ้านมาไกลถึงอเมริกา และหญิงสาวก็ไม่ทราบว่าจะหาซื้อวัตถุดิบต่างๆ ได้จากที่ไหน จึงต้องขอความช่วยเหลือจากมารี
“เดี๋ยวดิฉันโทร.ตามคนขับรถให้นะคะ คุณเอเรียสสั่งเอาไว้แล้ว”
“ค่ะ”
พระจันทร์นั่งรอที่ห้องนั่งเล่นเพียงไม่นาน มารีก็เดินเข้ามาหาพร้อมแจ้งว่ารถมารออยู่ที่หน้าบ้านแล้ว หญิงสาวจึงเดินออกไปพร้อมมารีที่บอกว่าจะออกไปด้วยกัน
รถยุโรปคันหรูเลี้ยวเข้ามาจอดยังซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่ง พระจันทร์ก้าวลงจากรถพร้อมกับมารี ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินเข้าไปด้านใน
มารีเข็นรถสำหรับใส่ของตามพระจันทร์ที่กำลังเลือกวัตถุดิบต่างๆ ที่จะใช้ปรุงอาหาร รอยยิ้มหวานปรากฏบนใบหน้าเรียวสวยเมื่อเห็นวัตถุดิบที่นำเข้าบางส่วนมาจากประเทศไทย หากแต่ก็ลอบย่นจมูกนิดๆ เมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่เธอเคยเลือกซื้อจากตลาดสดที่บ้านแล้วพบว่าราคาแตกต่างกันหลายเท่า แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ไม่มีทางเลือกจำต้องหยิบของที่ต้องการใส่รถเข็น เมื่อได้ของที่ต้องการทั้งหมดจึงไปที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน หญิงสาวเข้าคิวระหว่างที่รอคนแรกชำระเงินที่เคาน์เตอร์ ดวงตากลมโตสีดำขลับก็เหลือบไปเห็นคนรู้จักที่ไม่คิดว่าจะเจออีกฝ่ายที่นี่
“พี่คมน์”
เจ้าของชื่อหันมาตามเสียงเรียกก่อนจะขยับเท้าเข้ามาหาพระจันทร์ในทันที ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากทักทายกัน ถึงคิวพระจันทร์จ่ายเงินพอดี
“แป๊บนึงนะคะ พระจันทร์จ่ายเงินก่อน”
คมน์พยักหน้ารับ ชายหนุ่มรอจนกระทั่งพระจันทร์ชำระเงินเรียบร้อย จึงพากันเดินออกไปนอกซุปเปอร์มาเก็ตโดยมีมารีเข็นรถใส่ของตามออกไป ทั้งคู่เดินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงที่จอดรถ มารีกับคนขับรถช่วยกันเอาของที่พระจันทร์ซื้อมาใส่ท้ายรถ หญิงสาวจึงถือโอกาสนั้นพูดคุยกับคมน์
“พี่คมน์มาทำอะไรที่นี่เหรอคะ”
คมน์เป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทของพระจันทร์ที่ชื่อคัคนางค์
“คุณพ่อมาคุยเรื่องธุรกิจส่งออกเครื่องเทศน่ะ เลยให้พี่ตามมาด้วย”
“อ่อ งั้นที่แวะมาซุปเปอร์มาร์เก็ตนี้ก็เพราะมาสำรวจตลาดหรือเปล่าคะ”
“ก็ประมาณนั้นแหละ ว่าแต่พระจันทร์เถอะ ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ล่ะ”
สีหน้าของพระจันทร์ดูจืดเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อถูกถามแบบนั้น แต่สุดท้ายหญิงสาวก็ฝืนยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบกลับไป
“คือตอนนี้พระจันทร์ย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วค่ะ”
“หืม” คมน์เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นประกอบคำถาม และแน่นอนว่าเจ้าตัวแปลกใจไม่น้อยกับคำตอบของเพื่อนน้องสาว “พี่ถามได้ไหมว่าทำไมถึงได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ล่ะ แล้วยายนางค์รู้หรือยัง”
พระจันทร์ส่ายหน้าน้อยๆ เป็นการปฏิเสธ
“มันค่อนข้างกะทันหันน่ะค่ะ พระจันทร์ก็ว่าจะโทร.หานางค์อยู่เหมือนกันแต่ยังไม่มีเวลาเลย ส่วนเรื่องที่พระจันทร์ย้ายมาอยู่นี่ก็เพราะเหตุุผลทางบ้านน่ะค่ะ”
เมื่อพระจันทร์ดูไม่สะดวกใจที่จะตอบคำถาม คมน์ก็มีมารยาทพอที่จะไม่คาดคั้น
“เอาละ ไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไร อย่าลืมโทร.หายายนางค์บ้างก็แล้วกัน”
“ได้ค่ะพี่คมน์”
“งั้นเราแลกเบอร์กันเอาไว้หน่อยได้ไหมเพื่อมีอะไรจะได้โทรหากันพี่ยังอยู่ที่นี่อีกหลายวัน”
“ได้เลยค่ะ”
พระจันทร์กดหมายเลขโทรศัพท์ใส่มือถือที่คมน์ส่งมาให้ก่อนจะส่งคืน คมน์รับเอาไว้ก่อนจะกดโทร.ออกเข้าเครื่องของพระจันทร์เพื่อให้อีกฝ่ายทราบหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเอง
“พระจันทร์ไปก่อนนะคะพี่คมน์ ไว้เจอกันค่ะ”
“อืม ไว้เจอกัน”
พระจันทร์รอจนกระทั่งแผ่นหลังของคมน์หายกลับเข้าไปในซุปเปอร์มาเก็ตอีกครั้ง จากนั้นหญิงสาวจึงก้าวขึ้นรถโดยมีคนขับรถช่วยเปิดประตูให้ ประตูถูกปิดลงด้วยฝีมือของคนขับรถก่อนที่รถจะเคลื่อนออกไปจากซุปเปอร์มาเก็ต