ตัวอาคารหลังใหญ่ที่มีมากกว่าหกชั้นซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์อิตาเลียนตั้งอยู่ในเขตแมนฮัตตันคือสถานที่ที่เอเรียสแวะเข้ามาหาคนเป็นพี่ชายอย่างเอเดรียน รถยนต์คันหรูจอดในที่จอดรถสำหรับผู้บริหาร เอเรียสก้าวลงจากรถโดยมีคนขับรถลงเปิดประตูให้ ก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวเข้าลิฟต์ไปและกดที่หมายเลขชั้นสูงสุดของตัวอาคารหลังนี้
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก…
“เข้ามา”
เจ้าของห้องเอ่ยอนุญาตเอเรียสจึงก้าวเข้าไปด้านใน เอเดรียนที่ก้มหน้าก้มตาดูแฟ้มเอกสารในตอนแรกเงยหน้าขึ้นมองแขกผู้มาเยือน พอเห็นว่าเป็นน้องชาย คิ้วหนาจึงขยับเข้าหากันนิดๆ
“นายมีอะไรหรือเปล่า ทำไมมาหาพี่ถึงที่ทำงานแต่เช้าแบบนี่ โทร.มาก็ได้นี่”
เอเรียสถือวิสาสะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามกับคนเป็นพี่ชาย เอเดรียนจ้องใบหน้าที่เรียบเฉยของเอเรียส หากแต่นัยน์ตาสีฟ้าครามคู่นั้นฉายชัดว่าบางสิ่งกำลังรบกวนจิตใจ
“เย็นนี้ผมจะชวนพี่กับผักหวานแล้วก็เด็กๆ ไปกินมื้อค่ำที่บ้านด้วยกัน”
“หมายถึงที่คฤหาสน์ฟรีเดลน่ะเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึงบ้านของผม บ้านที่ผมซื้อไว้อยู่แถบชานเมือง”
“อ้าว นายย้ายไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่เมื่อไร พี่ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ผมเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่เมื่อวาน”
“แล้วทำไมนายถึงย้ายออกจากล่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า หรือว่าเอรีน่ากวนใจจนทนอยู่ไม่ไหว”
เอเดรียนกล่าวถึงน้องสาวและนั่นก็ทำเอาเจ้าตัวเผลอยิ้มออกมากับความดื้อรั้นของน้องเล็กของบ้านที่ถูกตามใจจนเคยตัว
“ไม่ใช่หรอกครับ เอรีน่าไม่อยู่บ้าน แต่จะกลับมาวันนี้”
“อ้าว งั้นเพราะอะไรล่ะ”
“คือเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างนี้ครับ”
หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากคนเป็นน้องชาย เอเดรียนถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น พลางจ้องใบหน้าที่ยังคงเรียบเฉยของเอเรียส
“ไม่มีการแต่งงาน ไม่มีทะเบียนสมรส แล้วฝ่ายนั้นเขายอมเหรอ”
“ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรนี่ครับ เพราะทันทีที่เห็นเช็คมูลค่าสิบล้านดอลลาร์เขาก็บินกลับกรุงเทพฯ ทันที ทิ้งเอาไว้ก็แต่ลูกสาวของเขานั่นแหละครับ”
น้ำเสียงที่กล่าวออกมาติดจะเย้ยหยันนิดๆ จนคนฟังอย่างเอเดรียนสัมผัสได้ คนเป็นพี่ชายถึงกับสั่นศีรษะนิดๆ พลางสบสายตากับเอเรียส
“จริงๆ แล้วนายไม่ต้องทำตามก็ได้นี่ แค่ให้เงินก็น่าจะจบ”
“หากไม่เป็นเพราะคำสัญญาของคุณทวดของเราและคุณทวดของเขาผมก็ไม่มีทางยอมทำตามเด็ดขาด และคุณพ่อก็ขอร้องผมด้วย ผมจะปฏิเสธได้ยังไง”
เอเรียสกล่าวถึงคุณทวดที่ล่วงลับไปแล้ว บวกกับคำขอร้องของคนเป็นบิดาทำให้ชายหนุ่มไร้ทางเลือกในการปฏิเสธ และที่สำคัญนี่เป็นเรื่องบุญคุณระหว่างกันของสองตระกูลที่ในอดีตฝั่งโน้นเคยช่วยตระกูลฟรีเดลเอาไว้ หากปฏิเสธคงจะดูใจร้ายเกินไปหน่อย
“แล้วนายโอเคกับการใช้ชีวิตคู่งั้นเหรอ”
“ผมก็แค่ทำตามคำมั่นสัญญาในอดีตก็เท่านั้น”
“นายหมายความว่าไง”
“คุณทวดแค่ระบุเอาไว้ว่าให้ทายาทรุ่นใดรุ่นหนึ่งได้ใช้ชีวิตด้วยกันที่ฐานะสามีภรรยา แต่ไม่ได้ระบุว่าจะต้องจัดพิธีแต่งงาน ไม่ได้ระบุว่าจะต้องจดทะเบียนสมรสนี่ครับ และวันหนึ่งหากผมจะกลับไปใช้ชีวิตโสดตามเดิม นั่นก็ไม่ถือว่าผมทำผิดสัญญา อีกอย่างผมก็ให้เกียรติเขาด้วยการสวมแหวนไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายแล้วนะครับ แค่นี้มันก็มากเกินพอแล้ว”
เอเดรียนถึงกับส่ายหน้าให้กับความคิดของคนเป็นน้องชาย
“แล้วนายไม่สงสารผู้หญิงเขาบ้างเหรอ ว่าแต่เค้าชื่ออะไรนะ”
“พระจันทร์ครับ”
“อ่านั่นแหละ แล้วนายไม่สงสารพระจันทร์บ้างเหรอ เลิกรากันผู้หญิงก็มีแต่จะเสียหาย”
“ผมไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องเสียหายตรงไหนเลยนี่ครับ ไหนเมื่อทั้งสองฝ่ายได้ผมประโยชน์ร่วมกัน ถึงแม้ว่าผมจะขาดทุนย่อยยับก็ตาม ไม่ใช่น้อยๆ เลยนะครับ กับมูลค่าตัวเลขที่ผมต้องจ่ายไป”
“นายนี่มันจริงๆ เลยนะเอเรียส”
“นี่ก็ถือว่าผมยอมสุดๆ แล้วนะครับ” เมื่อเอเรียสบอกแบบนั้นเอเดรียนก็หมดคำจะโต้แย้ง จึงถือโอกาสเปลี่ยนเรื่อง
“เออ แล้วเรื่องไลลาน่ะ นายทำใจได้แล้วงั้นเหรอ”
เอเดรียนกล่าวถึงอดีตคนรักของเอเรียสที่เพิ่งจะเลิกรากันไปไม่ถึงเดือน
“ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรนี่ครับ เราจากกันด้วยดี”
ถึงแม้น้องชายจะตอบออกมาแบบนั้น แต่เอเดรียนสัมผัสได้ว่าเอเรียสยังค่อนข้างอ่อนไหวในเรื่องนี้ หากแต่เจ้าตัวเก็บซ่อนความรู้สึกต่างๆ เอาไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยเย็นชา
“เอาละๆ นายโอเคก็ดีแล้ว” เมื่อเจ้าตัวบอกแบบนั้นเอเดรียนก็ไม่อยากเซ้าซี้
“ตกลงคืนนี้จะไปกินมื้อค่ำที่บ้านผมใช่ไหมครับ ผมให้พระจันทร์เตรียมอาหารไว้รอแล้ว”
“ต้องไปสิ แล้วเอรีน่าล่ะนายบอกหรือยัง”
“เดี๋ยวโทร.ไปบอกครับ กะว่าให้ชวนพี่ไบรอันมาด้วย”
“งั้นก็โอเค เย็นนี้เจอกัน”
“ครับ”
เอเรียสรับคำก่อนจะลุกขึ้นสาวเท้าออกไปจากห้องทำงานของเอเดรียนโดยมีสายตาของคนเป็นเจ้าของห้องมองตามไปจนแผ่นหลังของน้องชายลับสายตา และอดจะกังวลไม่ได้ตามประสาคนเป็นพี่ที่ห่วงน้องชาย
และหวังว่าเรื่องทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี