ตอนที่ 12
หอมกลิ่นกาสะลอง
สายลมยามเย็นในเวลาพลบค่ำ พัดผ่านกิ่งต้นกาสะลองใหญ่ข้างเรือนใหญ่ของพ่อครู จนดอกขาวร่วงกราวกระจายเต็มพื้นดินบางดอกปลิวไปตกยังชานเรือน ส่งกลิ่นหอมรัญจวนไปทั่วบริเวณ กลีบดอกขาวบริสุทธิ์ของปีปแม้คลุกเคล้ากับเหล่าผงธุลีดิน แต่ความหอมที่แสนงดงามนั้นก็ยังคงกรุ่นกำจาย
สร้อย ก้มลงเก็บดอกที่ร่วงหล่นนั้นอย่างตั้งใจใส่กระด้งหวายไว้ร้อยมาลัยวางตามมุมห้องทั้งในเรือนใหญ่และเรือนเล็ก เพื่อสูดดมกลิ่นที่แสนจรุงใจนั้นอย่างเพลิดเพลิน
“ทำไมเรือนเงียบเช่นนี้ จำปาไปไหนรึ?แล้วคุณภพละ?”
เสียงเข้มของ พ่อครูไกรศร ดังขึ้นจากข้างหลัง ทำให้สร้อยชะงักมือเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองหน้าคมคร้ามของเจ้าของเรือนที่เดินเข้ามาในลานหน้าเรือน พร้อมกลับ ไอ้กล้า ผัวของตน
ดวงตาคู่สีนิลเข้มของพ่อครู ฉายแววขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเดินมาเกือบถึงเรือนแล้ว ไม่พบเมียคนสวยเดินมาต้อนรับ พร้อมขันน้ำเย็นลอยดอกมะลิดั่งเช่นทุกครั้ง
อีจำปา!! บอกแล้วว่าอย่าไปหาเรื่องให้กูอีกแล้ว
“คุณภพกินมื้อเย็นที่ฉันยกให้ แล้วหลับพักผ่อนในห้องพระชั้นบนแล้วจ้ะ” สร้อย ตอบพลางฝืนยิ้มเล็กน้อย และสบตากับไอ้กล้าที่เดินตามพ่อครูมา คล้ายต้องการความช่วยเหลือ
“แล้วจำปา?” เสียงพ่อครูเข้มขึ้น
“จำปามันออกไปกับอีเปียจ้ะ เห็นว่าไปบ้านโนนจานไปตามอีสวย ขับอีแต๋นไปกับไอ้กล้า อีจำปีก็ไปด้วย เดี๋ยวคงกลับแล้วจ้ะ ไปหลังจากพ่อครูไม่ทันไร? ฉันก็ห้ามมันแล้วว่าไม่ต้องไป”
สร้อย บอกด้วยน้ำเสียงละล่ำละลั่ก เมื่อเห็นหน้าหล่อเหลาตรงหน้าเริ่มจะขุ่นเคืองขึ้นกว่าเดิม
“บ้านโนนจานไปทำไมรึ?”
“เห็นว่าไปตามอีสวย ที่บ้านยายผันหมอตำแย”คำบอกของสร้อย ทำให้คิ้วหนาเข้มของพ่อครูขมวดเข้าหากัน
“อีสวยมันจะไปหาหมอตำแยทำไมกัน? ..รึว่า” ไอ้กล้า เอ่ยขึ้น เมื่อฟังคำพูดของเมียตน แต่ต้องชะงักคำพูดไว้แค่นั้น เมื่อหันไปมองหน้าของพ่อครู
เรื่องบางอย่าง รู้ แต่ไม่เอ่ยออกมาจะดีกว่า
“เหตุใดจึงต้องไป กูก็บอกแล้วว่าช่วงนี้อย่าพยายามออกจากเรือนหากกูไม่ได้ไปด้วย” มือหนา กำเข้าหาแน่นอย่างหัวเสีย เหงื่อบางส่วนซึมออกจากสันกรามและหยดย้อยลงในเสื้อ
“หรือเราไปตามพวกมันดีมั้ยพ่อครู?”
ไอ้กล้า เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของเจ้านาย
“ไม่ต้องดอก นั่นมาถึงกันแล้ว”
สร้อยบอก เมื่อเสียงรถอีแต๋นดังมาแต่ไกล และเคลื่อนตัวอย่างช้าๆมาจอดยังหน้าเรือนใหญ่ ก่อนจำปีและไอ้เข่งจะก้าวลงจากรถ ตามด้วย จำปา เป็นคนสุดท้าย
“ฉันไปละนะจ้ะ”
เปียตะโกนบอกทุกคน ก่อนจะเคลื่อนรถออก เพื่อจะกลับบ้านของตน จำปา โบกมือให้หล่อนและยืนมองจนลับตา
“อีสวยเป็นไงบ้าง?” สร้อยรีบปรี่เข้าถามเข่ง โดยพ่อครูไกรศร ได้แต่ยืนมองเมียตัวเองตรงขั้นบันได ก่อนจะเดินขึ้นเรือนไปเงียบๆ คล้ายไม่สนใจเรื่องราวดังกล่าวแม้แต่น้อย
“ช่วยไม่ทันมันทำเสร็จแล้ว มันใจดำเสียจริง”
เข่ง บอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ และทุกคนก็กรูเข้ามาคุยเรื่องนี้กันอย่างออกรส แต่จำปา จำต้องเดินขึ้นเรือนใหญ่ตามร่างสูงของพ่อครู ที่เดินขึ้นเรือนใหญ่โดยไม่หันมามองหน้าเธอเลยไม่แต่น้อย
“กลับมานานแล้วเหรอจ้ะ? หิวรึเปล่า”
จำปา เอ่ยถามเสียงหวาน เมื่อเดินเข้าไปในห้องนอน และพ่อครูปลดผ้าขาวม้าฟาดไว้ยังพนักเก้าอี้ไม้ประดู่ ก่อนจะย่อกายลงนั่งและหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า
“ไม่หิว”
หน้าหล่อเหลาตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงห้วนๆคล้ายไม่พอใจเธอเต็มประดา นั่นทำให้หญิงสาวขยับร่างไปชิดใกล้จากด้านหลัง และเอื้อมมือยังบ่าหนาของเขาก่อนจะกดบีบเบาๆ
“ฉันขอโทษที่ออกจากเรือน ก็แค่อยากไปห้ามสวยเท่านั้น อีกอย่างเปีย เข่งกับจำปีก็ไปด้วยไม่น่าจะมีอะไร?...แต่ฉันก็ไปไม่ทัน”
เสียงของ จำปา ขาดห้วงเล็กน้อย แม้จะตระหนักแก่ใจตัวเองด้วยทราบเนื้อเรื่องจากนิยายแล้ว ว่ายังไงสวยก็ต้องทำแบบนั้น
แต่เธอก็คาดหวังว่าจะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงมันได้
“พี่ไม่พอใจที่เอ็งไปที่นั่น ถึงจะมีคนไปด้วยก็ตาม ที่แห่งนั้นมันโสมมเต็มไปด้วยวิญญานที่อาฆาตมาดร้าย และคนที่จิตใจอำมหิตยิ่งกว่าผีวิญญานเสียอีก”
ไกรศร ผ่อนลมหายใจเล็กน้อย
เขาไม่ได้อยากซ้ำเติม สวย ไปมากกว่านี้ แม้ในใจลึกๆ แสนจะรู้สึกเดียดฉันท์นักกับความดำมืดในจิตใจของผู้หญิงคนนี้ และเขาไม่ต้องการให้ จำปา ไปคลุกคลีและข้องเกี่ยวกับคนและสถานที่แห่งนั้นเลยแม้แต่น้อย
จิตใจเธอสะอาดบริสุทธิ์เกินกว่าจะไปเกลือกกลั้ว
“ใช่ อำมหิตเสียจริง ..ฉันช่วยไม่ได้เลย”
เสียงของ จำปา อ่อนลง มือของเธอเริ่มสั่นระริก เมื่อนึกถึงสภาพในบ้านนั้นและกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งชวนอาเจียน ต่างจากกลิ่นหอมละมุนของดอกปีปที่ชานเรือนยิ่งนัก
“คนทุกคนมีกรรมเป็นของตน”
พ่อครูถอนหายใจเล็กน้อย บีบมือนิ่มของเธอเบาๆ คล้ายจะปลอบประโลม “เราไม่สามารถช่วยทุกคนได้หรอก ต่อให้เราจะมีวิชาอาคมแกร่งกล้าแค่ไหนก็ตาม ทุกคนมีวิถีทางของตนทั้งนั้น”
เสียงนุ่มทุ้มหูนั่นแสนอบอุ่นนัก จนขอบตาคู่สวยของ จำปา เริ่มรื้นไปด้วยน้ำใสเอ่อล้น
“ฮือ ฮึก”
“ร้องให้ทำไม พี่พูดอะไรผิดรึ?”
ไกรศร เอ่ยถามอย่างตระหนก เมื่อเห็นหญิงสาวน้ำตาคลอและสะอื้น มือหนารีบดึงร่างของเมียเข้ามากอดให้หน้าสวยซุกกับอกกำยำ และลูบเรือนผมสลวยเพื่อปลอบประโลม
“ขะ..ข้าแค่สงสารเด็กพวกนั้น”
“สงสารเด็กพวกนั้น ก็ต้องสงสารและดูแลตัวเองด้วย”
เขาบอกเสียงเข้ม ก่อนจะดันหน้าเธอออกจากอก ให้สบตาอย่างลุ่มลึก
“ไม่ใช่ดูแลแค่ตัวเอง เอ็งต้องใส่ใจลูกน้อยของเราในท้องเอ็งด้วย”
คำบอกของ พ่อครูทำให้เธอตาเบิกโพลงด้วยไม่คิดว่าเขาจะทราบเรื่องนี้เพราะเธอยังไม่ได้เอ่ยบอกเรื่องนี้กับเขามาก่อน
“พี่ไกรรู้ได้เช่นไร? ฉันตั้งใจจะบอกหลังจากพี่ลงเสาเอกวังช้างและจำวรุษเสร็จ ไม่อยากให้ต้องเป็นกังวล”
เสียงของเธอสั่นระริก นั่นทำให้มุมปากหยักของ ไกรศร ยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงกดจูบยังหน้าผากโหนกเนียนของเธออย่างอ่อนโยน
“พี่เป็นพ่อหมอนะ มีสิ่งมีชีวิตบังเกิดในท้องเมียตัวเองทำไมพี่จะไม่รู้ นี่แหละสาเหตุที่พี่ไม่อยากให้เอ็งออกจากเรือนไปไหนหากไม่จำเป็นจนกว่าจะผ่านพ้นสี่เดือน”
เป็นพ่อหมอช่างดีอะไรเช่นนี้
ไม่ต้องอัลตร้าซาวด์ หรือทำนิฟตรวจครรภ์ให้ยุ่งยากดั่งเช่นยุคปัจจุบัน ...จำปา คิดในใจ
“ความจริงระดูฉันเพิ่งจะขาดไปแค่เดือนเดียวเอง อายุเจ้าหนูคงน่าจะไม่กี่สัปดาห์ พี่ไกรรู้เร็วจัง”
“นั่นไงพี่ถึงบอกช่วงนี้เดินเหินหรือทำอะไรต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และนี่นั่งรถอีแต๋นไปทางลูกรังแบบนั้น จะกระทบกระเทือนไปถึงไหนต่อถึงไหน”
หน้าหล่อเหลา พลันบึ้งตึงขึ้นอีกครั้ง
“ฉันขอโทษจ้ะ ต่อไปฉันจะระวังและดูแลตัวเองให้ดี”
หญิงสาวเอ่ยเสียงหวานอย่างออดอ้อน เมื่อเห็นสีหน้าที่เริ่มกังวลของพ่อครู แต่หน้าคมเข้มนั้นก็ยังคงฉายความงอนง้ำจนเธอต้องย่อกายลงนั่งบนตักแกร่ง และวาดแขนเล็กโอบรอบท้ายทอยของเขาไว้
ไกรศร หรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเห็นกริยายั่วยวนของเธอ
กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกปีปที่ทัดอยู่บนใบหู ข้างแก้มนวลนั้นส่งกลิ่นเย้ายวนเป็นพิเศษ จนเขาอดใจไม่ไหวต้องกดจมูกยังปรางแก้มเนียนของเมีย พร้อมเอ่ยเสียงแหบพร่า
“หอมจัง ..เมียพี่”
**********************