บทที่ 5 ผลไม้ป่าแสนอร่อย

1537 คำ
ม้าทั้ง 5 ตัวออกเดินทางในป่าเพื่อทะลุไปยังหมู่บ้านหลัวไห่อำเภอหลัวเหอ สองพี่น้องขึ้นม้าไปด้วยกันโดยที่จงเช่อเป็นผู้นำทางไปเพื่อจะได้ผ่านดงผลไม้ป่า ที่เขาเองชอบแวะเล็มกินบ่อยครั้งเมื่อเจ้านายไม่เร่งรีบนัก เฉ่าเหมย(สตอเบอรีป่า) ลูกสีแดง ๆ กับหลันเหมย(บลูเบอร์รีป่า) เป็นสิ่งที่มันชื่นชอบนัก และอยากให้เจ้านายได้ลองชิมสักครั้ง บ้านผิงหลังจากฟ้าสาง ความเสียหายของบ้านยังไม่เท่าทรัพย์สินที่หายไปด้วยซ้ำ “ไม่...ไม่จริงข้าจำได้ว่าฝังตรงนี้” เผยอิงซวงสตรีร้ายกาจที่แอบซ่อนตำลึงของบุตรชายคนรองไว้ครึ่งหนึ่งในไหเกลือใต้ต้นไม้ ยามนี้พบว่ามันกลายเป็นหินไปหมดแล้ว “เจ้าแน่ใจหรือไม่อาซวง ไม่ผิดแน่หรือ” ผู้เฒ่าหม่าคงเริ่มใจคอไม่ค่อยดี ยามนี้บ้านโดนไฟไหม้แล้วยังมีทรัพย์สูญหายไปเสียอีก โรงครัวกับห้องเก็บฟืนเป็นหลังคามุงด้วยจากและหญ้าคาทำให้มันลุกไหม้จนแยกสิ่งใดไม่ได้ กระทั่งเด็กสองคนนั้นก็ไม่รู้ว่าตายในกองเพลิงแล้วหรือไม่ แต่เผยอิงซวงไม่ได้ให้คนตามหา เพราะต้องจัดเก็บข้าวของให้เสร็จก่อน เด็กไร้ประโยชน์นั่นนางตั้งใจจะขายอยู่แล้ว เพื่อเอาตำลึงมากินใช้ เลี้ยงไว้ก็ต้องเสียตำลึงรักษาอีก “ตาเฒ่าข้าเหลือตำลึงเพียงไม่เท่าไหร่...ตอนนี้บ้านเราสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว” เผยอิงซวงแทบทรุด ข้าวที่เก็บไว้ในยุ้งฉางที่ติดกับห้องครัวล้วนถูกไฟไหม้แล้วเช่นเดียวกัน ตอนนี้แม้แต่ข้าวสารก็ไม่เหลือสักกำมือ “ไอ้หยา...เป็นไปได้ยังไง...เรามีม้า...เอาม้าไปขาย” ม้าที่ซื้อมาหากขายรวมกับม้าตัวเก่า ลดราคาอย่างไรก็ได้ถึงสองร้อยตำลึงอยู่แล้ว ตอนนี้สำคัญบ้านต้องไม่ไร้ตำลึง ไม่เช่นนั้นจะหาตำลึงที่ไหนมาปรับปรุงจวน “ท่านพ่อขอรับ ท่านแม่ขอรับ” ขณะที่สองผู้เฒ่ากำลังนั่งกอดเข่าอย่างสิ้นหวัง ความหวังเดียวคือม้า ผิงเหลียงเกอ บุตรชายคนโตก็วิ่งหน้าตาตื่นมา “ท่านพ่อขอรับ ท่านแม่ขอรับ โรงม้าไฟไหม้เช่นเดียวกันขอรับ คงเป็นเพราะหญ้าแห้งโดนสะเก็ดไฟที่ปลิวไป ทำให้คอกม้ามอดไหม้ ม้าสักตัวก็ไม่เหลือน่าจะวิ่งเตลิดออกไปทางด้านหลังขอรับ” เผยอิงซวงสิ้นเนื้อประดาตัวของจริงแล้วคราวนี้ เจ้ารองเพิ่งส่งตำลึงมาให้ คงยังส่งมาไม่ได้อีกสักระยะ แล้วตำลึงที่ไอ้เด็กสกปรกนั่นมันทำงานมาก็เหลือไม่มาก “ตาเฒ่า...เราจะทำอย่างไรกันดี...ฮื้อ...ฮื้อ...” คนที่เคยสุขสบายมาตลอดอย่างเผยอิงซวงไม่ยอมไปเป็นขอทานแน่ สู้อุตส่าห์แต่งงานกับสามีที่มีทรัพย์สินเลี้ยงดูตนเองได้ ทั้งยังมีเรือนใหญ่ และเป็นนางให้ตัดขาดญาติมิตรทั้งหมด ไม่ให้คบค้าสมาคม เพื่อไม่ให้ตำลึงในหีบร่อยหรอ ด้วยความตระหนี่ เห็นทีคราวนี้นางคงไร้ที่พึ่ง “ขายบ่าว” หม่าคงเป็นหัวหน้าครอบครัวตอนนี้ เห็นมีทางเดียวที่จะพอทำให้ครอบครัวยังมีตำลึงจุนเจือ เอาไว้ค่อยขายที่นาที่ได้รับส่วนแบ่งไว้เอาตำลึงมาซ่อมแซมบ้าน จนกว่าเจ้ารองจะส่งตำลึงมาให้อีกก็แล้วกัน ขณะที่จวนผิงสับสนวุ่นวาย แต่สองเด็กน้อยกลับเริงร่าที่ได้เห็นโลกกว้างขึ้น ธรรมชาติที่โอบล้อมรอบกายทำให้เสียงหัวเราะดังมาตลอดทาง ยิ่งผ่านจุดที่เป็นหนองน้ำ และมีฝูงผีเสื้อบินนับพัน จงเช่อก็ไม่รั้งรอวิ่งฝ่าดงผีเสื้อ เพื่อสร้างความสนุกให้กับสองพี่น้อง “นายน้อยหิวหรือยังขอรับ” “ยังจงเช่อ...ไปอีกหน่อยก็แล้วกัน” ผิงหยางไม่อยากให้การเดินทางล่าช้า การค้างแรมในป่ามีอันตรายต่อสัตว์ป่าที่ออกหากินกลางคืน นี่คือป่าดังนั้นผ่านป่าไปก่อนย่อมดีกว่า “เช่นนั้นไปเก็บผลไม้ป่ากัน” จงเช่อทะยานพุ่งตรงไปยังลานเฉ่าเหมยกับหลันเหมย แล้วหยุดให้เด็กน้อยลงเพื่อเก็บกัน “อู้ว...หูววว ผลไม้ป่า...ลูกโต ๆ ทั้งนั้น” นี่มันสตอเบอรี่ป่ากับเบอร์รี่ป่า โลกที่จากมาของภูผาต้องซื้อราคาแพงมาก แต่ว่านี่จะเก็บเท่าไหร่ก็ได้ “ทางโน้นมีต้นท้อ บ๊วย และสาลี่ด้วย” ม้าหนุ่มบอกกับนายน้อยของตนเอง นั่นจึงทำให้ผิงหยางคิดอะไรออก เขาเอาใบบัวใส่กระเป๋ามาสองใบเอาไว้รองใส่ข้าวกินตอนเย็น เผื่อที่พักแรมไม่มีหนองน้ำและใบบัวจะได้ไม่ต้องหาภาชนะในใส่ข้าวกิน เขาคิดจะหาไม้ไผ่เหลาทำตะเกียบด้วยจะได้ง่ายต่อการคีบอาหาร จึงบอกน้องสาวให้เก็บผลไม้ที่พื้นใส่ใบบัวไว้ ส่วนตนเองจะปีนขึ้นไปเก็บท้อและสาลีรวมทั้งบ๊วยป่าเอาใส่กระเป๋าไป เขารับรู้ความวิเศษของกระเป๋าอีกอย่างหนึ่งก็คือ ใส่ของเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม และแบกไม่หนัก ดังนั้นเขาจะเอามันใส่ไปเผื่อถึงหมู่บ้านโม๋หลัวจะได้เอาไปขายเผื่อมีคนรับซื้อ ผลไม้พวกนี้มีรสชาติดี และหายากต้องเข้ามาในป่าดังนั้นเขาคิดว่าต้องมีราคาแพง เพิ่มตำลึงในกระเป๋าให้เขาระหว่างทางสักเล็กน้อยก็ยังดี “เหยาเหยา ลงไปเก็บให้ได้เยอะ ๆ เลย พี่จะเอาไปขายด้วย หากท่านแม่กลับมาเราจะได้มีตำลึงให้ท่านแม่เยอะ ๆ” ผิงหยางอยากทำให้ท่านแม่กับท่านพ่อสบายใจ เขาจะเลี้ยงดูทุกคนเอง “นายน้อย เจ้าอินทรีสหายข้าอยู่แถวนี้ ท่านจะเขียนจดหมายหรือไม่” จงเช่อได้กลิ่นอินทรี หากเขาวิ่งออกไปเรียกตรงลานโล่งตรงโน้นก็จะลงมา “รอข้าสักครู่” ผิงหยางเอาปากกาที่เขียนแล้วลบไม่ได้แม้จะโดนน้ำติดกระเป๋าไว้ด้วย เพราะมันจำเป็นในโลกของเขาที่ต้องมีปากกาไว้ทำสัญลักษณ์ทิ้งไว้ เขาฉีกเอาชายเสื้อด้านในของตัวเอง แล้ววางผ้ากับท้องม้าใช้ปากกาเขียนลงไป ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่อยู่พวกเราสองพี่น้องลำบากนัก ท่านย่ากับท่านปู่ใจร้าย ให้เรานอนในห้องเก็บฟืน แล้วยังบังคับข้าไปใช้แรงงาน เอาอีแปะไปกินใช้สุขสบาย แล้วโกหกว่าท่านไม่ส่งตำลึงมาให้ ทุบตีและให้ข้าตากฝน ข้าได้ยินว่าท่านย่าจะขายน้องสาวเข้าหอนางโลม และขายข้าเข้าโรงทาส คิดว่าท่านคงกลับมาช่วยไม่ทัน เพียงฟ้าสว่างพวกเขาก็จะพาข้าที่กำลังป่วย และน้องสาวที่หิวจนแสบท้องไป ดังนั้นข้ากับม้าของท่านจงเช่อ หนีออกมากลางดึก ข้าจุดไฟเผาห้องเก็บฟืนให้ท่านย่าคิดว่าข้ากับน้องตายในกองเพลิงแล้ว ส่วนท่านไม่ต้องห่วงพวกเรา เอาไว้พบกันที่บ้านเดิมท่านแม่ ม้าของท่านแสนรู้นักมาพาข้ากับน้องสาวหนี ข้าให้ท่านแสร้งทำทีเป็นไม่รู้เรื่องของข้า และส่งจดหมายไปขอตำลึงเป็นทุนเนื่องจากค้าขายขาดทุน หมายให้ท่านย่าส่งหนังสือตัดขาดพวกเรา เราทั้งหมดอยากไปใช้ชีวิตใหม่ ผิงหยาง’ เขาเขียนจดหมายยาวสักเล็กน้อย เพื่ออธิบายให้ท่านพ่อและท่านแม่เข้าใจ แล้วขี่หลังจงเช่อออกไปที่ลานกว้าง ฮรี่...Zzzzzz เสียงจงเช่อร้องไม่นานก็มีนกอินทรีตัวใหญ่บินโฉบลงมา แล้วเกาะที่ตอไม้ใกล้ ๆ เจ้าจงเช่อสื่อสารกับสหายไม่นายก็ให้ผิงหยางนำจดหมายไปผูกติดกับขาเจ้าอินทรี “เจ้าถามให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าเมื่อไหร่จะถึงตงหนาน” ผิงหยางให้จงเช่อถามเจ้าอินทรี “ประมาณ 5 วันขอรับนายน้อย เราไปถึงบ้านเดิมของนายหญิงพอดี ท่านไม่ต้องห่วงเจ้าอินทรีเรื่องส่งข่าวไว้ใจได้” จงเช่อรับรองการทำงานของสหายตน ไม่มีผิดพลาดแน่นอน “เช่นนั้นเราไปเก็บผลไม้กันเถิด” ผิงหยางปล่อยให้ผิงเหยาเก็บผลไม้กับเจ้าม้าทั้งสี่ที่ห้อมล้อมนางไว้ ส่วนตัวเองก็ปีนป่ายเก็บผลไม้ต้นโน้นทีต้นนี้ทีจนกองใหญ่ เมื่อมั่นใจว่าจะสามารถทำตำลึงได้มากเพียงพอแล้ว ก็เริ่มพอ และมาเก็บเฉ่าเหมยและหลันเหมยให้เยอะอีกหน่อย เขาจะไม่หวนกลับดังนั้นเก็บเยอะเท่าไหร่ย่อมดี แล้วทั้งหมดก็ออกจากป่าสู่บ้านโม๋หลัวโดยที่ตะวันยังไม่ตกดิน เขาถามกับท่านป้าที่ผ่านทางมาพบว่ามีโรงพักม้าที่มีห้องพักอยู่คืนละ 30 อีแปะนับว่าไม่แพงจึงพากันไปพัก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม