บทที่ 3 อิสรภาพครั้งแรก

1655 คำ
ยามเหม่าท้องฟ้าที่มืดมิดเริ่มมีความสว่างเล็กน้อย สองเด็กน้อยกับม้าอีก 5ตัววิ่งฝ่าความมืดออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือที่เป็นป่ารกทึบ เพื่อทะลุป่าออกไปยังหมู่บ้านหลัวไห่ในอำเภอเหอหลัว เพราะหากวิ่งผ่านไปยังกำแพงเมืองที่ทางออกใกล้กว่า นอกจากมีแม่น้ำและยังต้องข้ามสะพานแล้ว ยังต้องผ่านประตูเมือง และต้องใช้ป้ายประจำตัวของตระกูลเพื่อเข้าออกเมืองหลวงอีกด้วย จงเช่อเชี่ยวชาญมานาน เพราะหลายครั้งเขาเป็นผู้นำพาท่านแม่ทัพหลบหลีกความพลุกพล่าน เพื่อเข้าป่าไปทำภารกิจสำคัญ ดังนั้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ทหารใช้ในงานสำคัญชาวบ้านทั่วไปไม่ใช้ และนอกจากไม่ใช้แล้ว ยังเสี่ยงต่อการถูกสัตว์ป่าทำร้ายเอาด้วย ไม่สู้เดินทางตามถนนที่ปลอดภัยกว่า สองร่างเด็กน้อยบนหลังม้าฟุบหลับไปแล้ว เขาน่าจะเพลียจงเช่อและสหายม้าอีกสี่ตัวจึงชะลอความเร็ว เพราะจะถึงชายป่าตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว และตรงนี้มีแหล่งน้ำเขาและสหายจะได้กินน้ำและกินหญ้าเพื่อเพิ่มกำลัง “นายน้อย...นายน้อย...ฮรี่!!!” เสียงจงเช่อปลุกนายน้อยของตนเอง เพราะน่าจะเพลียจึงหลับไปพร้อมกับนายหญิงน้อยทั้งกอดแพงม้าเขาไว้แน่น ใบหน้างัวเงียของผิงหยางค่อย ๆ รู้สึกตัวจากที่ได้ยินเสียงเรียกของจงเช่อสหายม้าของเขา จึงขยับขึ้นเห็นน้องสาวคอพับไปแล้วจึงค่อย ๆ อุ้มลงจากหลังม้าที่จงเช่อย่อขาหน้าให้เขาลงได้อย่างง่ายดาย เขาวางน้องสาวที่ยังหลับสนิทบนพื้นหญ้าแห้งก่อนจะล้วงเอาในกระเป๋าที่มีเสื่อสนามกับถุงนอนอยู่ด้วย เขากางเสื่อออกแล้วรูดเอาถุงนอนให้มันกลายเป็นผ้าห่ม มองหาท่อนไม้ที่ไม่สูงมากนักทำเป็นหมอนให้น้องสาวนอนหนุนไปก่อน “ถึงไหนแล้วจงเช่อ” เสียงเด็กน้อยถามสหายม้าของตัวเอง “พ้นป่าด้านนี้สิบลี้ก็จะไปเจอหมู่บ้านหลัวไห่ อำเภอเหอหลัวขอรับ” จงเช่อเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้มามาก เขาจดจำเส้นทางได้หมด แม้ว่าที่ไม่รู้ก็พาไปได้ เพียงถามเหล่าสัตว์ก็ไปได้แล้ว “เห้อ...ข้าไม่รู้จักแคว้นนี้เลย...น่าเสียดายหากมีแผนที่” เด็กน้อยพูดเปรย ๆ ขณะเดินไปใช้มือวักน้ำในลำธารขึ้นล้างหน้า มองดูเหล่าสหายม้าของเขาและอีกสี่ตัวเล็มหญ้า แต่ทว่ามีแค่จงเช่อผู้เดียวที่เดินไปคาบกิ่งไม้มา เหมือนต้องการจะทำอะไรบางอย่าง ผิงหยางเดินตามสหายม้าไปที่เนินดินที่เป็นฝุ่น เห็นจงเช่อค่อย ๆ ใช้ไม้ที่คาบในปากวาด ๆ ลายเส้นขยุกขยิก ทำให้ผิงหยางคาดเดาได้ทันทีว่าจงเช่อคงจะวาดแผนที่ให้เขา ดูกระมัง “จงเช่อ...วาดแผนที่ใช่หรือไม่” เขาถามอย่างตื่นเต้น เพราะโลกคู่ขนานี้ไม่มีกูเกิลแมพ อย่างไรก็ต้องพึ่งพิงแผนที่ เหมือนเขารับรู้มาว่าสมัยโบราณแผนที่ถือเป็นของต้องห้าม นอกจากกองทัพกับฝ่าบาทแล้ว ผู้ใดครอบครองถือว่าเป็นกบฏ เพราะแผนนั้นสำคัญด้านการทหารและเสี่ยงต่อนำไปให้ไส้ศึก จะสูญเสียยุทธศาสตร์การรบ “ขอรับนายน้อย” จงเช่อวาดอำเภอตามที่คิดว่านายน้อยน่าจะไปคือ อ.ชุนเรียกได้ว่าเป็นอำเภอชายแดนของตงเป่ยติดกับนอกด่าน เป็นบ้านเดิมของนายหญิง “นายน้อย...ผ่านอำเภอเหอหนาน แล้วก็จะไปที่อำเภอซีเป่ย แล้วก็เข้าหมู่บ้านโม๋หลัว ที่อำเภอชุน เป็นบ้านเดิมนายหญิง ที่นั่นมีบ้านท่านยายของนายน้อย แต่น่าจะทรุดโทรมมากแล้ว อย่างไรเราไปตั้งหลักที่นั่นก่อน ตอนนี้นายท่านน่าจะไปค้าขายที่แคว้นตงหนาน เป็นเมืองติดชายทะเลน่าจะอีกสองสามเดือนถึงจะกลับ เพราะคาราวานพ่อค้าจะเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ นำสินค้าไปขายตามหัวเมืองต่าง ๆ นานแรมปีกว่าจะกลับ ถึงเวลานั้นส่งข่าวไปบอกนายท่านกับนายหญิงให้มาอยู่ตั้งหลักเสียที่นี่ก่อนขอรับ” จงเช่อแนะนำเด็กน้อย เพราะเพียงอายุ 10 ขวบคงทำอะไรมากไม่ได้ “แล้วคนเหล่านั้นจะให้ข้าอาศัยร่วมบ้านหรือ” เขา 10 ขวบ แต่ความทรงจำบ้านเดิมมารดาไม่หลงเหลืออยู่ในสมองเลย นั่นก็เดาได้แล้วว่ามารดาไม่เคยกลับไปเยี่ยมบ้านนั่นเอง หากเขากลับไปจะมีใครเชื่อเขาหรือไม่ “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง บ้านท่านยายท่านเก่าแล้ว ตอนนี้ไม่มีคนอยู่ อ้างชื่อท่านพ่อและท่านแม่แล้วก็ไปคุยกับท่านผู้ใหญ่บ้านให้ทำเรื่อง เล่าความเป็นมาให้ฟังที่เหลือคนจะสงสารท่านทั้งสองเอง” เรื่องราวชีวิตของเด็กน้อยทั้งสอง ต่อไปคงเป็นที่กล่าวขานอีกนาน ดังนั้นเขาย่อมต้องช่วยเหลือเด็กสองคนนี้ให้ปลอดภัย “เอาตามเจ้าว่า ถึงเวลานั้นจะขอให้ท่านผู้ใหญ่บ้านส่งจดหมายไปหาท่านแม่ก็ไม่สาย หรือเจ้ามีสหายนกหรือไม่ไหว้วานพวกเขาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่” แม้เขาจะเป็นเด็ก 10 ขวบในความทรงจำ ผิงหยางมักแอบดูเถ้าแก่สอนลูกชาย 6 ขวบหัดอ่านเขียนยามพักกลางวัน จึงพอจะรู้หนังสืออยู่บ้าง ก็พอจะเขียนจดหมายได้ “ข้ามีเพื่อนอินทรีอยู่ หากพบระหว่างทางจะขอร้องให้ช่วย” จงเช่อบอกกล่าวกับนายน้อยของตน เขาสงสารนายท่านกับนายหญิงทำงานเหนื่อยแทบตาย ไม่มีเวลาเลี้ยงดูบุตรชายและบุตรสาว ทั้งทำงานเลี้ยงดูคนชั่วตระกูลผิงอย่างสุขสบาย แต่บุตรชายบุตรสาวแสนลำบาก เมื่อใดที่กลับมา ก็จะได้รับการข่มขู่จากท่านปู่กับท่านย่าไม่ให้พูดเรื่องที่พวกเขาอดมื้อกินมื้อ แล้วก็ต้องทำงานหนัก เมื่อนั้นจะได้กินอาหารดี ๆ ได้นอนอุ่น ๆ ได้ใส่เสื้อผ้าสะอาดสักหน่อย แต่แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ผิงหยางลงไปอาบน้ำ เขามีสบู่ก้อนอยู่ในกระเป๋าจึงหยิบออกมาด้วย กำลังคิดว่าจะให้น้องสาวอาบน้ำเช่นไรดี แล้วเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมอีก เขาจะต้องซักผ้าให้น้องสาวและตนเองด้วย เมื่อนึกขึ้นได้ เขาก็เดินเข้าไปหาฟืนในป่าแล้วมัดมันไว้บนหลังม้าของจงเช่อ แล้วยังไปตัดไม้ไผ่ที่ขึ้นที่ริมน้ำ นำมาปักสามเสานำเถาวัลย์มามัดให้แน่น นำใบไม้มาปิด ๆ ทำเหมือนห้องอาบน้ำกันไม่ให้โป๊ เขาทำให้อยู่ใกล้กองไฟด้วยอีกอัน เพราะน้องสาวเป็นสตรีจะให้มายืนแก้ผ้าท้าลมก็กระไรนัก ครั้นจะทิ้งไว้แล้วเข้าไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ก็กลัวว่าสองผู้เฒ่านั้นจะมาพบเข้า เมื่อมาแล้วก็แล้วไป เอาไว้ถึงอำเภอเหอหลัวค่อยไปซื้อก็แล้วกัน ตำลึงที่เอาคืนมาน่าจะอยู่ได้สักระยะ แต่เขาจะต้องหาวิธีสร้างความร่ำรวยให้ตอนเองแน่นอน “นายน้อยแค่นี้พอหรือไม่” “อื้อ...พอแล้ว” นอกจากจงเช่อแล้ว สหายม้าที่ยังไม่แยกจากกันก็มาช่วยด้วยหลังจากเล็มหญ้ากับดื่มน้ำจนเต็มท้อง เสียงกุกกักปลุกให้ผิงเหยาที่นอนหลับอยู่ตื่นขึ้น นางมองหาพี่ชายที่กำลังทำอะไรสักอย่างอยู่จึงเดินเข้าไปหา “ท่านพี่ ท่านทำอันใดอยู่” เสียงแหบเล็กส่งเสียงดั่งคนเพิ่งตื่นนอน จนทำให้พี่ชายที่ห่วงว่าน้องจะไม่สบายรีบเอามืออังหน้าผาก “ไม่สบายหรือไม่ ปวดหัวด้วยหรือไม่” ผิงเหยารู้สึกมีความสุขมาก เวลาที่พี่ชายเป็นห่วงเช่นนี้ “ไม่เจ้าค่ะ ผิงเหยาแค่หิวน้ำเท่านั้น” นางคอแห้งผากอยากดื่มน้ำสักอึก จึงเดินไปที่ลำธารหมายจะก้มลงไปดื่มน้ำ แต่พี่ชายของนางเห็นเสียก่อน “เสี่ยวเหยาอย่าดื่มน้ำมันสกปรก ไปกินในกระบอกที่พี่ให้กินเมื่อคืนเถิด” ผิงหยางรีบห้ามน้องสาวเอาไว้ ไม่รู้ว่าน้ำนี้ไหลมาจากไหน แม้ว่าโบราณมันยังไม่มีเชื้อโรคเท่าโลกของเขาก็ตาม แต่ว่ายามนี้ไม่เสี่ยงที่จะให้น้องสาวล้มป่วย ยังต้องเดินทางไกลอีกหลายวัน “เจ้าค่ะ เสี่ยวเหยาเชื่อท่านพี่” เด็กหญิงตัวน้อยเดินไปที่สิ่งที่ท่านพี่เรียกกระเป๋าเป้แล้วหยิบกระบอกน้ำขึ้นมาหมุน ๆ แล้วดื่ม “ดื่มน้ำเสร็จแล้วก็มาอาบน้ำนะ เดี๋ยวพี่จะซักเสื้อผ้าของเสี่ยวเหยาให้สะอาด” เด็กชายสิบหนาวตะโกนบอกน้องสาวที่กินน้ำอยู่หลายอึก แม้ว่าในกระเป๋าจะมีของที่หยิบออกมาใช้ได้ แต่ยังไม่แน่ใจหยิบอย่างอื่นนอกเหนือจากที่เคยมีอยู่ได้หรือไม่ ร่างกายของเขาและน้องสาวไม่แข็งแรงต้องกินโปรตีนให้มากเขาจึงคิดจับปลาในลำธารขึ้นมาย่างกินสักตัว “เจ้าค่ะท่านพี่...เสี่ยวเหยามาแล้ว” เสี่ยวเหยาวิ่งเท้าเปล่าไร้รองเท้ามีเพียงถุงเท้าขาด ๆ สวมใส่มาทำให้เขานึกช้ำใจ เขาเป็นพี่ชายจึงได้มีรองเท้าเพื่อออกไปทำงาน แต่น้องสาวรองเท้าจะใส่ยังไม่มี ดังนั้นคนเป็นพี่อย่างเขาจึงไปหาเถาวัลย์มาถักให้น้องสาวใส่กันหินหรือกรวดบาดเท้าเสียก่อน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม