เวลาสิบเอ็ดโมงเช้า
นภัสสรนอนเหงื่อซึมเปียกเสื้อ เธอลืมตาตื่นด้วยอาการปวดหัวและปวดเนื้อตัว โดยเฉพาะของหวงมันปวดตุบ ๆ หญิงสาวพลิกกายนอนหงาย หลับตาไม่รู้ในหัวคิดอะไรอยู่
ก่อนที่เธอหอบสังขารเข้าห้องน้ำจัดการอาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทั้งที่ร่างกายระบม ตาแดงบวมเบ่ง เธอเกาะราวบันไดลงช้า ๆ เดินมาหาอะไรบางอย่างบนหลังตู้เย็น
ร้านขายยา
“สวัสดีค่ะ ต้องการยาอะไรดีคะ” เภสัชกรถามคนที่เดินเข้ามาใหม่
“เอ่อ ๆ ขอยาคุมฉุกเฉินค่ะ” นภัสสรไม่กล้ามองหน้าเภสัชกร เธอได้แต่ยืนก้มหน้า
“ได้แล้วค่ะ” สิ่งที่ต้องการถูกหยิบใส่ถุงและเลื่อนมาวางตรงหน้าหญิงสาว
“เอ่อ” นภัสสรยืนอ้ำอึ้งเหมือนต้องการอะไรสักอย่าง
เมื่อเห็นท่าทีแปลก ๆ ของหญิงสาว เภสัชกรเข้าใจความหมายเธอยิ้มและอธิบายวิธีการทานโดยละเอียดแก่หญิงสาว ก่อนที่เธอจะยกมือไหว้ขอบคุณ พร้อมกับหอบร่างอันบอบช้ำนั่งรถวินมอเตอร์ไซค์กลับเข้าบ้าน ให้เดินกลับคงไม่ไหวแดดร้อนเปรี้ยง ๆ
แผงยาคุมฉุกเฉินถูกแกะหย่อนใส่ปากทันที หลังจากนั้นจึงนับเวลาที่ต้องกินอีกเม็ดที่เหลือตามคำแนะนำของเภสัชกร ริมฝีปากที่แห้งแตกเป็นขุย ร่างกายที่ร้อนดังไฟเผาและร้าวระบมจนต้องค่อย ๆ คลานขึ้นบันได เพื่อกลับขึ้นไปยังห้องนอนตัวเอง
จู่ ๆ อาการพะอืดพะอมตีขึ้นเหมือนจะอาเจียนทำให้อาการเวียนหัวมากขึ้นหลังจากที่นภัสสรกินยาคุม มันแปลกจนหญิงสาวคิดว่าหรือเธอจะแพ้ยาคุมฉุกเฉิน แต่เธอก็อดทนหวังให้มันหายไปเอง ช่วงล่างบวมเป่งปวดร้าวจนน้ำตาไหลไม่รู้ตัว อาการครั่นเนื้อครั่นตัวโจมตีจนแทบระเบิด
เมื่อถึงที่นอนจึงล้มตัวลงนอน ไม่นานร่างที่ไม่มีแรงก็หลับใหลพร้อมน้ำตา นภัสสรหลับยาวจนถึงเวลาห้าโมงเย็น เธอพลิกกายนอนหงายพลางสูดปากเบา ๆ ดวงตาค่อยปรือขึ้นช้า ๆ
หญิงสาวพยุงร่างลุกขึ้นนั่ง เธอลุกขึ้นอาบน้ำอีกรอบ ทุกการเคลื่อนไหวส่งผลให้เธอต้องครางเพราะมันร้าวระบมปวดทุกที่แตะต้อง ร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ยืนอยู่หน้าเตาไฟ หลังจากพาตัวเองออกจากห้องนอน
เธอทำกับข้าวง่าย ๆ ไว้รอแม่กลับจากที่ทำงาน และแบ่งตักใส่จานมานั่งกินก่อนเพื่อจะได้กินยาแก้ปวด จนกระทั่งเวลาหกโมงเย็นนิด
แม่กานแก้วก็เดินเข้ามาในบ้าน เห็นลูกสาวนอนตะแคงอยู่ที่โซฟา
“ภัส ลูก” มือแตะลงที่ต้นแขนลูก มีอันต้องชักมือกลับอย่างไว นภัสสรตัวร้อนดั่งไฟ จึงเขย่าตัวและเรียกลูกสาวอีกครั้ง
“อื้อ แม่” นภัสสรปรือตาขึ้นเห็นหน้าแม่กานแก้วชะโงกหน้าอยู่ใกล้ ๆ
“ตัวร้อนจี๋เลยลูก หนูกินยาหรือยัง” คนเป็นแม่ห่วงลูก มือลูกหน้าผากเบา ๆ
“หนูกินแล้วค่ะ แม่มานานหรือยังคะ” ก่อนพยุงร่างลุกขึ้นนั่งหลังพิงโซฟา
“แม่มาถึงสักพักแล้วจ้ะ หนูขึ้นไปพักผ่อนเถอะลูก” ก่อนจะเดินไปเทน้ำดื่มด้วยความหิว
“แม่กินข้าวหรือยังคะ” เธอมองแม่ด้วยความรู้สึกผิด
“ยังลูก นั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนแม่ค่อยกินจ้ะ” ขณะที่เดินมานั่งข้างลูกสาว
“นั่งใกล้หนูเดี๋ยวติดไข้กับหนูนะแม่” นภัสสรแซวแม่
“อื้อ ช่วงนี้งานหนักเหรอลูก” แม่กานแก้วเป็นห่วงนภัสสร เธอทั้งเรียนและทำงานไปด้วย พักผ่อนไม่ค่อยเต็มที่ อาจทำให้ร่างกายประท้วงเกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย
“ค่ะแม่” เธอพูดปด ไม่อยากให้แม่รู้สาเหตุที่เธอไม่สบายมันไม่ได้เกิดจากการทำงาน แต่มันเกิดจากสาเหตุอื่น ครั้นนึกถึงเหตุการณ์ก็พลอยจะทำให้น้ำตา แต่ต้องกลั้นมันเอาไว้ไม่ให้มันไหล
เรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้นเธอจะให้แม่กานแก้วรู้ไม่ได้ เธอรักแม่มากจนกลัวว่าแม่จะทำใจรับไม่ได้ และยิ่งโรคที่แม่เป็นยิ่งต้องระวังสิ่งที่จะมากระทบจิตใจ นภัสสรจึงเก็บงำเรื่องเลวร้ายไว้คนเดียว
คุณหมอปัณตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นหญิงสาว เห็นเพียงผ้าห่มกองที่พื้น เขาลุกจากเตียงมา กระชากผ้าห่มโยนขึ้นที่นอน บนพื้นมีเพียงเสื้อขาด ๆ ของหญิงสาว ส่วนเสื้อเขาหายไปคงเจ้าหล่อนสวมใส่ไป พลันสายตาก็หยุดนิ่งกับหยดสีแดงที่กระจายที่พื้นห้อง ริมฝีปากหนาถึงกับคลี่ยิ้ม
ร่างหนาหยิบผ้าเช็ดตัวพาดบ่าเดินเข้าห้องน้ำ วันนี้เขาตั้งใจจะกลับบ้านไปหาคุณย่า หลังจากถูกต่อว่าด้วยความน้อยใจหาว่าหลงลืมคนแก่ที่บ้าน ไม่มาให้เห็นหน้าบ้างไม่ยอมมีเหลนให้บ้าง ชายหนุ่มจึงจะไปให้เห็นหน้าเสียหน่อย
เวลาหนึ่งทุ่มที่บ้านศิริเวชชัยกุล คุณหมอปัณในชุดลำลองสบาย ๆ เดินผิวปาก แกว่งกุญแจรถไปมามือล้วงกระเป๋าเดินเข้ามาในบ้าน
“คุณท่านคะ” เสียงฟังดูที่ตื่นเต้นดังมาแต่ไกล รีบเดินไปหาประมุขของบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดีใจ
“มีอะไรหรือแม่นี” น้ำเสียงอันนุ่มอ่อนตามด้วยใบหน้าที่เงยขึ้นช้า ๆ
“คุณปัณมาค่ะ” คนสนิทบอกด้วยความตื่นเต้น
“ฮะ ตาปัณมาหรือวันนี้” ใบหน้าที่ยิ้มยิ่งกว่าถูกรางวัลใหญ่ ๆ
“ค่ะคุณท่าน” ยังไม่ได้พูดอะไรต่อ เสียงทุ้มเข้มก็ดังขึ้น ทำให้แม่บ้านมีอันต้องหยุดพูด
“ฝนคงตกหนักแน่เชียว วันนี้หลานชายฉันกลับบ้านได้แม่นีเอ๊ย” คุณย่าวิลาวรรณประชดหลานชาย
“สวัสดีครับคุณย่า” หมอปัณเดินมานั่งข้างคุณย่าวิลาวรรณ พร้อมยกมือไหว้
“ฮึ งานยุ่งมากเลยหรือถึงหายหน้าหายตาไปซะหลายวัน” น้ำเสียงที่คนฟังรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจ
“ขอโทษครับ” ชายหนุ่มหอมแก้มฟอดใหญ่
“ปัณ” ก่อนจะหยุดไว้แค่นั้น
เจ้าของชื่อมองหน้าคุณย่าวิลาวรรณด้วยความสงสัย
“ครับ” เขาขานรับ
“ย่าอยากมีเหลน” อยู่ ๆ ท่านก็บอกจุดประสงค์
“ไม่มีแฟนแล้วจะหาเหลนให้คุณย่าได้ยังไงล่ะครับ ผมยังไม่พร้อม” ปกติคุณย่าจะเร่งเร้าเรื่องการมีเหลนทุกครั้งที่เห็นหน้าเขา
“หาผู้หญิงมาอุ้มบุญเอาสิ” จู่ ๆ คุณย่าวิลาวรรณก็พูดขึ้น
“ใครจะยอมละครับคุณย่า มันไม่ใช่ง่าย ๆ นะครับ” หมอปัณล่ะเหนื่อยใจกับเรื่องเดิม ๆ