ภายหลัง เมื่อบุรุษทั้งสามได้รู้ว่าหลี่หลิงเฟิ่งหายดีแล้ว ทั้งนางยังได้รับพรจากสวรรค์ที่มีของดีติดตัวมา ทั้งสามก็เริ่มทำดีกับหลิงเฟิ่ง เพื่อที่ต้องการของจากนาง
หลิงเฟิ่งไม่คิดเลยว่า การที่นางเห็นใจความเป็นอยู่ที่ยากไร้ของคนตระกูลหลี่จะนำมาซึ่งคราวเคราะห์ครั้งใหญ่ของนาง
เมื่อนางทำให้ความเป็นอยู่ของตระกูลหลี่ดีขึ้น จนเรียกได้ว่าร่ำรวยอย่างรวดเร็ว ตระกูลหลี่จึงได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองตงเฉิง
นางถูกผู้เป็นบิดาจับหมั้นหมายกับบุตรชายของท่านเจ้าเมือง โดยที่เขาไม่ได้ถามความเห็นจากนางเลยสักนิด ได้แต่บอกว่าถึงเวลาที่นางต้องออกเรือน ทั้งยังช่วยให้หลี่เฉียงพี่ชายคนโตสามารถเข้าทำงานในที่ว่าการได้ด้วย
ถึงแม้นางไม่ยอมก็ทำอันใดไม่ได้ เมื่อหลี่กวนรับของหมั้นมาเรียบร้อยแล้ว เสิ่นฉงหาน บุตรชายเจ้าเมืองเสิ่นนับว่าเป็นคนดีไม่น้อย เขามิเคยเอ่ยถามนางเรื่องของวิเศษที่นางมีอยู่ เขามักจะแวะเวียนมาเที่ยวหาที่จวนตระกูลหลี่อยู่เป็นประจำ ทั้งยังเป็นสุภาพบุรุษจนหลิงเฟิ่งยอมเปิดใจ
แต่สิ่งที่เขาทำทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่รู้ว่าเสิ่นฉงหานไปทำข้อตกลงอะไรไว้กับหลี่กวน แต่เมื่อหลี่เฉียงพี่ชายคนโตรู้เข้า เขาถึงกับอาละวาดเสียใหญ่โต
“เฟิ่งเออร์ หากเจ้าแต่งไปแล้วก็จะเป็นคนตระกูลเสิ่น เมื่อนั้นเจ้าก็จะทอดทิ้งตระกูลหลี่” เขาคำรามออกมาเมื่อเห็นหลิงเฟิ่งเดินเข้ามาในห้องโถง
“ท่านพูดเรื่องอันใด ข้าไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น” หลิงเฟิ่งมองเขาอย่างสับสน
“หยุดได้แล้วอาเฉียง!!! เจ้าอย่าได้สร้างปัญหา” หลี่กวนตวาดกร้าวออกมา ก่อนจะเดินเข้ามาดึงรั้งหลี่เฉียงที่กำลังเดินเข้ามาหาหลิงเฟิ่ง
“ท่านพ่อ!!! มิใช่ว่าท่านไปรับปากตระกูลเสิ่นไว้แล้วรึ ท่านคิดว่าตำแหน่งเจ้าหน้าที่เล็กๆ ข้าต้องการหรือไร” เขาตะโกนออกมาอย่างไม่ยอม
“แต่ท่านเจ้าเมืองจะช่วยเรื่องสอบอาซวงด้วย อย่างไรเฟิ่งเออร์ นางก็ยังเป็นคนตระกูลหลี่ครึ่งหนึ่ง”
หลิงเฟิ่งมองไปที่บุรุษสามคนต้องหน้าอย่างไม่เข้าใจ นางไม่เคยคิดจะทอดทิ้งพวกเขา ต่อให้นางแต่งออกไปอยู่จวนตระกูลเสิ่นแล้วก็ตาม อย่างไรทั้งหมดก็ได้ชื่อว่าเป็นบิดาและพี่ชายของนางในภพนี้
“หึ ท่านคิดว่า...ตระกูลเสิ่นจะยอมรึ หากได้คนของเราไปแล้ว” เขายิ้มเยาะมองผู้เป็นบิดา
“ข้าเห็นด้วยกับพี่ใหญ่ ท่านพ่อ ท่านทำตามที่พี่ใหญ่ว่าเถิด”
“มีเรื่องอันใดกันแน่ พวกท่านคนใดบอกข้าก่อนได้หรือไม่” หลิงเฟิ่งเดินเข้าไปหาคนทั้งสาม
“เฟิ่งเออร์ เจ้าถอดกำไลของท่านแม่ออกมาให้ข้า ต่อไปเจ้าแต่งออกไปเป็นคนตระกูลเสิ่นแล้ว ของวิเศษที่ติดตัวเจ้ามาต้องอยู่ที่จวนตระกูลหลี่เท่านั้น” เขาเดินเข้ามาหานาง หมายจะถอดกำไรในมือออก
“ท่านบ้าไปแล้วรึ นี่เป็นของของข้า แล้วข้าบอกท่านเมื่อใดว่าจะทอดทิ้งพวกท่าน ของที่ข้าเคยนำออกมาให้ก็ยังนำออกมาได้เช่นเดิม” นางกุมกำไลไว้แน่นอย่างไม่ยินยอม
“เจ้าคิดรึ ว่าเจ้าฉงหานจะรักเจ้าจากใจจริง มันก็ต้องการเพียงของที่เจ้ามีเท่านั้น ในจวนตระกูลเสิ่นสาวใช้ห้องข้างของมันมีไม่น้อยกว่าห้าคน ทั้งยังมีบุตรให้มันแล้วด้วย ที่ทุกคนปิดบังเจ้าก็เพื่อให้เจ้ายอมแต่งให้มันแต่โดยดี แต่ข้าไม่ต้องการแล้ว ข้าได้ยินมา พวกมันจะยึดครองกำไลของเจ้าเช่นกัน” หลี่เฉียงตะโกนออกมาอย่างคนเสียสติ
หลิงเฟิ่ง ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย เมื่อได้รู้ความลับของคู่หมั้นตนเอง เขารับปากนางเรื่องที่จะไม่แต่งสตรีอื่นเข้าจวน จะยอมมีนางเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น แต่เรื่องสาวใช้ห้องข้าง และบุตรของเขา นางไม่เคยรู้มาก่อน
แม้แต่ตอนที่เดินทางไปที่จวนตระกูลเสิ่น นางก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ หรือเห็นเด็กน้อยเช่นที่หลี่เฉียงเอ่ยออกมาเลย อีกทั้งคนตระกูลเสิ่นก็ไม่เคยถามเรื่องมิติของนาง ถึงแม้จะมองกำไลที่นางสวมอยู่ก็เพียงแค่เอ่ยชื่นชมออกมาเท่านั้น
“ข้าไม่เชื่อ” หลิงเฟิ่งเอ่ยเสียงสั่นออกมา เวลานับเกือบปีที่เป็นคู่หมั้นเสิ่นฉงหาน เขาดูแลนางดีไม่น้อย นางบอกยังไม่อยากรีบออกเรือน เขาก็มิได้บังคับนาง รอจนกว่านางจะพยักหน้าให้ส่งฤกษ์มงคลมาที่เรือน
“หึ หายจากเสียสติแล้ว แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะโง่หลงเชื่อลมปากของบุรุษเช่นฉงหาน หลังจากที่มันออกจากจวนตระกูลหลี่ มันก็เดินเข้าออกหอโคมแดงเป็นว่าเล่น เรื่องนี้ผู้ใดในเมืองตงเฉิงล้วนแต่รู้ดี แต่เพราะมันปิดปากชาวเมืองไม่ให้บอกเจ้าอย่างไรเล่า หากมีคนใดที่คิดจะพูดออกมา ตระกูลเสิ่นก็สังหารทิ้งอย่างไร้ค่า เจ้ายังจะไม่เชื่ออีกหรือไม่”
“เช่นนั้น ท่านพ่อก็ยกเลิกสัญญาหมั้นหมายไปเสียก็สิ้นเรื่อง”
“เจ้าไม่แต่งกับตระกูลเสิ่นก็ต้องแต่งผู้อื่นอยู่ดี อาเฉียงเจ้ามองความรุ่งเรืองภายภาคหน้าเถิด อย่าได้คิดตื้นเขินเพียงนี้ เฟิ่งเออร์กำไลที่เจ้าสวมก็เป็นของมารดาเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ถอดออกมามอบให้พี่ใหญ่เจ้าเสียเถิด” หลี่กวน เมื่อพูดกับหลี่เฉียงไม่ได้ เขาก็หันมาสั่งให้หลิงเฟิ่งถอดกำไลออกแทน
“น้องเล็กเจ้าถอดให้พี่ใหญ่ไปเถิด สตรีที่แต่งออกไปแล้วก็มิใช่คนตระกูลหลี่ครึ่งหนึ่ง ของวิเศษควรจะอยู่ที่ตระกูลหลี่ไม่ควรตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น” หลี่ซวงเอ่ยขึ้นมาอีกคน
“พวกท่าน มิได้บอกว่าเห็นข้าเป็นบุตรหรือน้องสาวที่สำคัญที่สุดของตระกูลหลี่รึ หากข้าไม่มีของวิเศษพวกนี้ เป็นเพียงหลี่หลิงเฟิ่งเสียสติ พวกท่านยังจะดูแลข้าต่อไปหรือไม่” หลิงเฟิ่งมองพวกเขาอย่างเจ็บปวด
“ข้าจะบอกเจ้าอีกอย่างก็แล้วกัน หากเจ้าไม่ฟื้นขึ้นมาเป็นคนปกติหลังจากที่ถูกปล่อยให้อดอาหารจนตาย ท่านพ่อก็คงอุ้มเจ้าเข้าไปทิ้งในป่าแล้ว”
“อาเฉียง!!! เจ้าพูดอันใดหยุดเดี๋ยวนี้”
หลิงเฟิ่ง นางไม่มีความทรงจำก่อนหน้าของหลี่หลิงเฟิ่งเลย จึงเชื่อพวกเขามาตลอดว่าสาเหตุที่หลี่หลิงเฟิ่งล้มป่วยจนตายแล้ววิญญาณของนางได้เข้ามาแทนที่ ก็เป็นเพราะนางออกไปเล่นน้ำฝนด้านนอกจนล้มป่วย
ตระกูลหลี่มิอาจหาเงินพานางไปหาหมอในเมืองได้ จึงได้แต่มองดูนางที่กำลังจะหมดล้มหายใจ นางรู้เพียงเท่านี้ ไม่คิดว่าพวกเขาจะสร้างเรื่องหลอกลวงนางมาตั้งแต่ที่นางลืมตาขึ้นมาเลย
ยิ่งได้รู้ความจริง ว่าหลี่กวนที่เดินเข้ามาในห้อง มิได้จะเข้ามาดูนาง แต่จะเข้ามาอุ้มนางไปทิ้งในป่าแทน รอยยิ้มเสียงหัวเราะ ตลอดหนึ่งปีที่นางมาอยู่ในร่างของหลี่หลิงเฟิ่งมันเป็นเพียงภาพลวงเท่านั้น
นางคิดมาตลอดว่าการที่ตัวคนเดียว แล้วได้มีครอบครัวช่างเป็นเรื่องดีนัก มีพี่ชายสองคนที่คอยเป็นห่วง ดูแลนาง หลิงเฟิ่งได้แต่หัวเราะเยาะในความโง่เขลาของตนเองออกมา
“พวกท่านว่า...หากข้าทำลายกำไลวงนี้ทิ้ง จะเป็นเช่นใด” หลิงเฟิ่งแววตาของนางแข็งกร้าวมองไปที่กำไลเจ้าปัญหาในมือของนาง
นิยายแนวทะลุมิติ นางเอกมีมิติส่วนตัวติดมาด้วย แต่ละเรื่องที่เคยได้อ่าน ล้วนแต่พบเจอครอบครัวที่อบอุ่น นางเอกล้วนแต่เก่งกาจ ไม่คิดว่าพอเป็นตนเองจะโง่เขลาเช่นนี้
“เจ้า!!! อย่าได้ทำอันใดบ้าๆ นะ” หลี่กวนตะโกนห้ามออกมา เมื่อเห็นสายตาที่ว่างเปล่าของหลิงเฟิ่งมองมาทางเขา เขาอดที่จะตื่นตระหนกไม่ได้
นางไม่เคยมองเขาเช่นนี้มาก่อน ไม่ว่าพวกเขาพ่อลูกต้องการสิ่งใด นำข้าว ผักออกไปขายมากแค่ไหน นางล้วนแต่เต็มใจมอบให้ทุกครั้ง
“อย่าได้โทษข้าก็แล้วกันน้องเล็ก” หลี่เฉียงพยักหน้าให้หลี่ซวงที่ยืนอยู่ด้านข้างของหลิงเฟิ่ง