หลิงเฟิ่งยังมิทันได้หันไปมองเลยว่า สองพี่น้องคิดจะทำอันใดกับนาง ความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกของนาง ก็ทำให้นางต้องก้มลงไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น
เลือดค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากอกของนางอย่างช้าๆ ดวงตาของหลิงเฟิ่งพร่ามัว มองใบหน้าของทั้งสามไม่ชัด
“เป็นเช่นนี้ก็ดี นับจากนี้ข้าให้พวกท่านมีความสุขกับสิ่งที่เลือก แต่คงไม่อาจจะสมหวังได้” เสียงที่หลุดออกมาจากปากของหลิงเฟิ่งแผ่วเบาก็ทั้งสามก็ได้ยินอย่างชัดเจน
คนพวกนี้คิดว่ามิติมันจะเปลี่ยนผู้ครอบครองได้ง่ายๆ เลยรึ ต่อให้นางมอบกำไลให้พวกเขา ก็มิใช่ว่าจะเป็นผู้เปิดมิติได้ ในเมื่อมีเพียงแค่นางเท่านั้นที่เข้าออกได้เพียงผู้เดียว
หลี่กวนตกใจไม่น้อย ที่บุตรชายทั้งสองสังหารหลิงเฟิ่ง แต่เขามิได้เข้ามาดูนางที่กำลังค่อยๆ หมดลมหายใจอย่างช้าๆ แต่เข้ามาถอดกำไลในมือไปแทน
“เอามาให้ข้า” หลี่เฉียงแย่งกำไลมาจากมือของหลี่กวน ก่อนจะสวมใส่เอาไว้
“เหตุใดเข้าไม่ได้” เขากำหนดจิตเช่นที่เคยเห็นหลิงเฟิ่งนางทำ แต่ก็มิอาจเข้าไปภายในมิติได้
“ให้ข้าลองดู” หลี่ซวงแย่งมาจากมือพี่ชาย ก่อนจะทำตามเช่นเดียวกัน
“ไม่ได้!!!” สองพี่น้องเริ่มจะเกิดความกังวล
หลิงเฟิ่งที่มองทั้งสามเปลี่ยนกันสวมใส่กำไล ก็ได้แต่ยิ้มเย้ยหยันออกมา
“เฟิ่งเออร์!!!” เสียงของฉงหานดังขึ้น เมื่อเห็นร่างของหลิงเฟิ่งตอนเลือดไหลออกมาเต็มพื้น
“กำไลเล่า กำไลอยู่ที่ใด” นี่คือคำพูดสุดท้ายที่หลิงเฟิ่งนางได้ยินจากปากของฉงหาน ก่อนสติของนางจะค่อยๆ เลือนหายไป พร้อมกับลมหายใจที่หมดลง
“หึ ครั้งนี้ข้าจะบ้าให้สมใจพวกท่านเลย” หลิงเฟิ่งยิ้มเย็นออกมา เมื่อได้รู้ว่านางย้อนกลับมาอีกครั้งแล้ว
เหตุใด เมื่อครั้งที่แล้วนางถึงไม่ได้สำรวจสภาพร่างกายของหลี่หลิงเฟิ่งเลย หากลองใคร่ครวญดูดีๆ จะพบว่าร่างกายนี้ขาดสารอาหารมาเป็นเวลานาน
ไม่ใช่ว่าเพียงจะผอมแห้งหลังจากที่นอนป่วยอย่างที่พวกเขาเคยพูด หลิงเฟิ่งลองสำรวจว่านางยังมีมิติอีกหรือไม่ ก็พบว่านางยังมีอยู่เช่นเดิม
หลิงเฟิ่ง ได้ยินเสียงพูดของบุรุษตระกูลหลี่ทั้งสามอยู่หน้าห้องแล้ว แต่ยังมิได้เดินเข้ามา เป็นจริงเช่นที่หลี่เฉียงเคยบอกนางไว้ หลี่กวนผู้เป็นบิดามีความคิดที่ต้องการนำนางไปทิ้งบนภูเขาจริงๆ หากนางยังมิฟื้นขึ้นมา
“เข้าไปดูก่อน หากใกล้ตายจะได้รีบเอาไปทิ้ง หากชาวบ้านถามก็บอกว่านางสิ้นใจไปแล้ว” หลี่กวนเปิดประตูเข้ามาก็ต้องตกใจ เมื่อหลิงเฟิ่งนางลืมตามองเพดานห้องอย่างเลื่อนลอย
“ฟะ ฟื้นแล้ว ฟื้นได้อย่างไรกัน” เสียงร้องอันดังของหลี่กวน ทำให้บุรุษอีกสองคนวิ่งเข้ามาภายในห้อง
“นางยังไม่ตาย ดูท่าคงอีกไม่นาน ดูตาของนางสิท่านพ่อ ไร้ชีวิตเช่นดี” หลี่ซวงชะโงกหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ
หากเมื่อครั้งนี้แล้ว นางนอนนิ่งๆ ไม่ลุกขึ้นมาให้พวกเขาเห็นความเปลี่ยนแปลง คงจะได้ยินคำพูดเลวร้ายออกมาจากปากของพวกเขาตั้งแต่แรกแล้ว
“ไม่ดีรึ ตระกูลซ่ง อยากแต่งนางให้บุตรชายที่ใกล้ตายของพวกเขา ในเมื่อฟื้นขึ้นมาแล้ว ท่านก็ไปพูดคุยกับตระกูลซ่งเสียเถิดท่านพ่อ”
แววตาของหลิงเฟิ่ง แข็งกร้าวขึ้นมาวูบก่อนจะกลับมาเลื่อนลอยเช่นเดิม นางรู้จักคนตระกูลซ่งดี เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านหู่เซิงเช่นกัน ครอบครัวของพวกเขาก็ยากจนไม่ต่างจากตระกูลหลี่ของนาง
นางจำได้ว่า ซ่งชุยหยุนผู้เป็นบุตรชาย หลังจากที่นางมาถึงที่นี่ได้ไม่ถึงเดือน ก็สิ้นใจจากโรคที่เป็นมาตั้งแต่เกิด หากนางแต่งให้เขามิใช่ว่า จะดีกว่าต้องทนอยู่ในตระกูลหลี่รึ แม้ต่อไปจะต้องเป็นหม้ายก็ไม่เห็นจะต้องสนใจ แต่คำพูดต่อมาของหลี่กวนก็ทำให้หลิงเฟิ่งที่กำลังใคร่ครวญอยู่ตกตะลึงไม่น้อย
“อย่างไรก็ต้องตาย เอานางไปแลกเงินสองตำลึงยังดีเสียกว่า หากอาหยุนตายลง นางก็จะต้องถูกฝังลงไปในหลุมเดียวกับเขาด้วย”
หลิงเฟิ่งเกือบจะกระโดดลุกขึ้นมาด่าทอพวกเขาจากเตียงนอนแล้ว ยังดีที่นางควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ คนพวกนี้เลวได้ใจจริงๆ คิดจะขายนางเพียงสองตำลึงเท่านั้น ทั้งยังส่งให้นางไปลงหลุมเดียวกับเจ้าคนร่างกายอ่อนแออีก
“ข้าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว หรือจะหนีไปเลยดี” หลิงเฟิ่งได้แต่คิดหาหนทาง
เมื่อภพที่แล้ว นางเคยคิดที่จะแยกตัวออกไปใช้ชีวิตหลังจากที่ตระกูลหลี่ร่ำรวยแล้ว แต่พวกเขากลับไม่ยอมปล่อยนางไป นางเองก็เพิ่งจะได้รู้ว่าชาวเมืองแคว้นต้าเยี่ย
หากจะตั้งตัวใหม่หรือแยกตัวออกจากตระกูลจะต้องมีหนังสือยินยอม หรือไม่ก็ทะเบียนราษฎร์ ที่ทางที่ว่าการออกให้ หากหลี่กวนไม่มอบให้นาง นางจะมีได้ไง และก็ไม่รู้ว่าเขาเก็บไว้ที่ไหน
“เช่นนั้น พวกเจ้าดูนางให้ดี อย่าเพิ่งให้ตายไปก่อน ไปเอาน้ำกับข้าวต้มมาป้อนนางไว้ ข้าจะไปคุยกับตระกูลซ่งเดี๋ยวนี้” หลี่กวนสั่งความเสร็จเรียบร้อยก็รีบเดินออกไปทันที
“เจ้าทำแล้วกัน” หลี่เฉียงหันไปสั่งผู้เป็นน้องชาย ก่อนจะมองร่างที่ไร้สติของหลิงเฟิ่งอีกครั้ง แล้วเดินออกไปอย่างไม่ไยดี
เงินสองตำลึงมีค่ามากนักสำหรับครอบครัวที่ไม่มีอะไรจะกินเช่นตระกูลหลี่ ที่หลี่ซวงยอมทำตามคำพูดของพี่ชาย ก็เพื่อปากท้องของตนเอง เขาไม่อยากขึ้นเขาไปหาของป่าให้เหนื่อยแล้ว สู้นำเงินสองตำลึงไปซื้อข้าวสาร เนื้อ กินดีกว่า
หลิงเฟิ่งนอนนิ่งๆ ปล่อยให้หลี่ซวงป้อนน้ำและข้าวต้มให้นาง อย่าเรียกว่าข้าวต้มเลย ในเมื่อมันแทบจะไม่มีเมล็ดข้าวอยู่ในชาม มีเพียงน้ำข้าวใสๆ เท่านั้น
หลิงเฟิ่งนางมิยอมกลืนลงคอดีๆ ปล่อยให้ไหลเปื้อนเนื้อตัวของนาง จนหลี่ซวงโมโหทุบตีนางไปสองสามที แม้จะเจ็บจนอยากจะเอาคืน แต่หลิงเฟิ่งจำต้องกัดฟันทนไม่ร้องออกมา และไม่มองเขาอย่างอาฆาตด้วย
“หากเจ้ายังไม่ยอมกลืนอีก ข้าจะบีบคอเจ้าเสีย” เขาไม่เพียงแค่พูดขู่ ยังวางมือลงที่คอของนางด้วย
หลิงเฟิ่งจึงยอมกลืนลงไปดีๆ นางอดนึกถึงหลี่หลิงเฟิ่งไม่ได้ ที่ผ่านมานางคงได้ถูกกระทำเช่นนี้ จนอายุสิบห้าหนาวถึงได้สิ้นลมหายใจ หากเป็นนางที่ไม่สมประกอบก็คงอยากจะตายเช่นกัน ถ้าต้องถูกเลี้ยงดูอย่างทารุณเช่นที่ตนเองโดนกระทำอยู่
หลังจากที่หลี่ซวงป้อนน้ำข้าวจนหมดชาม เขาก็ออกไปด้านนอกโดนไม่สนใจสภาพหลิงเฟิ่งที่เปื้อนไปด้วยน้ำข้าวทั้งตัว
นางเองก็อยากลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใจแทบขาด แต่จำต้องแข็งใจนอนต่อไป หลิงเฟิ่งเรียกน้ำวิเศษในมิติออกมาดื่มหนึ่งแก้ว เพื่อให้ร่างกายของนางมีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้น
เสียงด้านนอกทำให้รู้ว่าหลี่กวนกลับมาแล้ว หลิงเฟิ่งจำต้องล้มตัวลงนอนนิ่งๆ อีกครั้ง
“ได้เรื่องหรือไม่ท่านพ่อ” หลี่เฉียงรีบเอ่ยถามทันที
“เอาเงินมาแล้ว เจ้าไปตามป้าเหลียนมาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เฟิ่งเออร์ก่อน ดูท่าอาหยุนจะไม่ไหวแล้วเช่นกัน คนตระกูลซ่งกำลังจะมารับนาง”
หลิงเฟิ่งได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่มีเวลาให้นางได้เตรียมตัวเตรียมใจก่อนเลยรึ แล้วเมื่อครู่หากนางได้ยินไม่ผิด อาหยุนกำลังจะตายแล้วใช่หรือไม่ หากให้นางไปตอนนี้ไม่เท่ากับว่าเอานางไปฝังรวมกับเขาเลยรึ
“ได้ ข้าไปเอง” หลี่ซวงรีบวิ่งออกไปจากเรือนทันที