ชุยหยุนเอง เมื่อเห็นว่าหลิงเฟิ่งนางไม่ได้เขย่าประตูห้องแล้ว เขาก็หลับตาลงเพื่อพักผ่อน
“อย่าหลับ” หลิงเฟิ่งตะโกนออกมา นางลืมไปว่านางไม่ควรพูดสิ่งใดทั้งนั้น แต่นางกลัวว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว
“หื้ม...ไม่หลับ ข้าเพียงแค่หลับตาเท่านั้น” เขามองมาที่นางอย่างแปลกใจ เมื่อครู่นางดูเหมือนไม่ใช่คนเสียสติสักนิด
หลิงเฟิ่งได้แต่หันหน้าหนีไปทางอื่น ด้วยกลัวว่าเขาจะจับพิรุธของนางได้ แต่หูของนางก็ยังฟังอยู่ว่าเขาพูดเช่นใด
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด หลิงเฟิ่งหันหน้าไปมองชุยหยุนอีกครั้ง ก็เห็นเขานอนนิ่งอยู่บนเตียง นางรีบคลานเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“อาหยุน อาหยุน” หลิงเฟิ่งเขย่าเรียกเขาเบาๆ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ
“สวรรค์ ทำเช่นใดดี” นางเริ่มจะสติแตกแล้ว จะร้องเรียกคนข้างนอกก็ไม่ได้
หากว่าเขาหยุดหายใจไปแล้วจริงๆ มิใช่ว่านางจะต้องตายตามไปด้วยเลยรึ
“น้ำ น้ำ ชะ ใช่ ใช่แล้ว น้ำ” หลิงเฟิ่งเรียกน้ำออกมาใส่แก้วชาที่อยู่ข้างเตียง
ก่อนจะค่อยๆ ประคองชุยหยุน แล้วเทน้ำลงในปากของเขาช้าๆ
“กลืน กลืนเร็วเข้า” หลิงเฟิ่งร้อนใจไม่น้อย เมื่อน้ำที่นางเทใส่ปากของเขา มันไหลออกมาเสียเป็นส่วนมาก
“อืม...เจ้าทำ...แค่ก แค่ก” ชุยหยุนลืมตาขึ้นมามองหลิงเฟิ่งอย่างสงสัย แต่ถูกน้ำที่นางกรอกใส่ปากของเขาทำให้สำลักเสียก่อน
หลิงเฟิ่งทิ้งตัวชุยหยุนให้นอนไปตามเดิม ก่อนนางจะทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง
ชุยหยุน รู้สึกว่าร่างกายของตนมิได้ราวกับจะสิ้นอายุขัยเช่นก่อนหน้านี้แล้ว แม้แต่ความทรมานที่ต้องเจ็บภายในก็ดูราวกับจะหายไปจนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ลมหายใจที่ติดขัดก่อนหน้า เหมือนว่าจะหยุดหายใจได้ตลอดเวลากลับมาหายใจได้คล่องอีกครั้ง
“เจ้าเอาสิ่งใดให้ข้ากิน” เขาสามารถลุกขึ้นมานั่งบนเตียงได้โดยไม่ต้องมีคนช่วยประคองขึ้นมา
“...” หลิงเฟิ่งแสร้งกลับไปเป็นเช่นเดิมอีกครั้ง
“เลิกทำเป็นเสียสติได้แล้ว สิ่งที่เจ้าพูดทั้งหมดข้าได้ยินทุกคำ เมื่อครู่ข้ามิได้ตาย เพียงแค่หลับเท่านั้น” ช่วงหลังๆ มานี่ ชุยหยุนมักจะตื่นยาก เขาได้ยินทุกสิ่งแต่ไม่อาจบังคับตาให้ลืมขึ้นมาได้
หลิงเฟิ่งเหลือบตามองไปทางเขา ก็เห็นว่าชุยหยุนลุกขึ้นเดินมานั่งอยู่ข้างนางแล้ว
“หลับบ้าอะไร เรียกตั้งนานไม่ตื่น” หลิงเฟิ่งยังนั่งนิ่งอยู่กับที่
“ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้ากินสิ่งใด ข้าล้วนแต่ขอบใจเจ้า หากเจ้าอยากกลับตระกูลหลี่ ข้าจะไปส่ง” เขาดึงมือของนางให้ลุกขึ้น
“ไม่ต้อง!!!” นางร้องออกมาเสียงดัง
“เจ้าไม่อยากกลับไปตระกูลหลี่รึ” เขาเลิกคิ้วมองนาง
“...” หลิงเฟิ่งพยักหน้ารับ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เช่นนั้น เจ้าก็อยู่ที่เรือนของข้า อย่างไรท่านแม่ก็รับเจ้าเข้ามาแล้ว”
“...” หลิงเฟิ่งยังเม้มปากแน่น นางคิดอยู่ว่าหากพูดตามความต้องการออกไป เขาจะช่วยนางหรือไม่ หรือตระกูลซ่งเองก็จะเป็นคนโลภเช่นคนตระกูลหลี่
“เจ้ากินอันใดหรือยัง” เมื่อเห็นว่านางไม่ยอมพูด ชุยหยุนจึงได้เปลี่ยนเรื่องทันที
“ท่านช่วยข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่” นางหันไปมองเขาอย่างจริงจัง
“เจ้ามิได้เสียสติเช่นที่ผู้อื่นว่ารึ หรือว่า...เจ้าหายดีแล้ว” เขาเองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน เมื่อได้เห็นท่าทางของนางเต็มสองตา
“ข้าเพิ่งจะหายดี อย่างอื่นท่านไม่ต้องรู้ ท่านช่วยข้าเอาใบทะเบียนแยกเรือนจากคนตระกูลหลี่มาได้หรือไม่” ตอนที่หลิงเฟิ่งออกมาจากจวนตระกูลหลี่ นางก็ไม่เห็นว่าหลี่กวนจะมอบใบแสดงตัวตนของนางให้กับคนที่มารับนาง
“อย่างไรบิดาของเจ้าก็ต้องมอบให้ตระกูลซ่งอยู่แล้ว”
“แต่ข้า ต้องการให้เขาตัดขาดข้าอย่างแท้จริง หากท่านอยากขอบคุณที่ข้าช่วยยื้อชีวิตของท่านเอาไว้ได้ ท่านช่วยปิดเรื่องที่ข้าหายบ้า ไม่ให้ผู้อื่นรู้เข้าใจหรือไม่”
“เหตุใดถึงไม่ต้องการบอกครอบครัวของเจ้าเล่า พวกเขาจะต้องดีใจที่เจ้าหายดีแล้วอย่างแน่นอน” เขามองนางด้วยสายตาประหลาด มีที่ไหน ที่หายดีแล้ว ไม่ต้องการให้คนในครอบครัวรู้
“หากครอบครัวของข้าดีต่อข้าจริง พวกเขาจะขายข้าเพียงเงินแค่สองตำลึงเงินรึ อีกอย่างท่านมองสภาพข้าตอนนี้สิ ข้าดูเหมือนคนที่ควรจะมีชีวิตรอดออกมาจากตระกูลหลี่หรือไม่”
ชุยหยุนมองสำรวจร่างกายของนางอย่างละเอียด เสื้อผ้าที่นางสวมใส่ก็ตัวใหญ่กว่าที่จะเป็นของนาง อีกครั้งใบหน้าก็ซูบผอมจนน่าเวทนา
“หากเจ้าได้มาแล้วจะทำเช่นใด”
“ท่านเอาข้าไปปล่อยทิ้งไว้ที่ใดก็ได้ ต่อไปข้าจะไปตามทางของข้าเอง”
“ได้อย่างไรกัน!!! เจ้าเป็นสตรี อีกอย่างตอนนี้เจ้าก็เป็นคนของตระกูลซ่งแล้วด้วย”
มารดาเขายอมใช้เงินทั้งหมดที่มีอยู่ในเรือน เพื่อซื้อตัวนางให้มาเป็นเจ้าสาวลงหลุมไปพร้อมเขา หากเขาพานางไปทิ้งตามที่นางพูด โดยผู้อื่นไม่รู้ว่านางหายเสียสติแล้ว เช่นนี้เขาจะไม่ถูกตราหน้าว่าชั่วช้าหรอกรึ
“ข้าจะหาเงินมาใช้คืนให้ อีกอย่างท่านก็ไม่ได้ตาย ข้าคงไม่ต้องลงหลุมไปพร้อมกับท่าน อย่างไรก็ไม่ได้กราบไหว้ฟ้าดิน จะเรียกว่าเป็นคนของตระกูลซ่งเต็มตัวก็คงไม่ถูก สัญญาซื้อขายตัว มารดาท่านได้ทำหรือไม่ หากไม่ได้ทำ หากข้าใช้เงินสองตำลึงเรียบร้อยแล้ว ก็เท่ากับว่าข้าควรจะได้อิสระใช่หรือไม่”
ชุยหยุนอ้าปากค้างมองหลิงเฟิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ หากก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่านางเคยเสียสติมาก่อน เขาต้องคิดว่านางเป็นคุณหนูตกยากที่ถูกเลี้ยงดู สั่งสอนมาอย่างดีเป็นแน่
“เรื่องนี้ข้ามิอาจตัดสินใจเองได้ อย่างไรเจ้าก็อยู่ที่เรือนของข้าไปก่อน ส่วนเรื่องใบรับรองตัวตนกับหนังสือตัดขาด ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”
“...” หลิงเฟิ่งมองประเมินชุยหยุน ว่าคำพูดของเขานางสามารถเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด
ตอนนี้คงต้องอยู่ภายในเรือนตระกูลซ่งไปก่อน เมื่อใดที่ชุยหยุนไปนำใบรับรองตัวตนและหนังสือตัดขาดมาให้นางได้แล้ว นางจะได้หนีไปเริ่มชีวิตใหม่ของตนเองเสียที
“ได้ แต่ท่านจะหายดีเร็วเกินไปก็คงไม่ใช่ จะกลายเป็นทำให้ผู้อื่นสงสัยเอาได้ ท่านกลับไปนอนที่เตียงเถิด ประเดี๋ยวมารดาของท่านเข้ามา ท่านจะตอบนางเช่นใด”
“แล้วเจ้าเล่า” เขาดึงรั้งแขนของหลิงเฟิ่งเอาไว้ เมื่อนางหมุนตัวจะกลับไปนั่งที่มุมห้องตามเดิม
“ข้าจะนั่งอยู่ตรงนี้แทน”
“ไปนอนพักที่เตียงก่อนดีหรือไม่” เขามองร่างกายที่บอบบางของนางก็อดที่จะเห็นใจไม่ได้
“เตียงท่านใหญ่มากนัก นอนสองคนคงได้นอนทับกันตาย” หลิงเฟิ่งปรายตามองไปที่เตียงของชุยหยุน ที่เพียงแค่เขานอนผู้เดียวก็เหลือที่ว่างให้นางเพียงนิดเดียวเท่านั้น
“เอ่อ...ไว้ข้าจะเปลี่ยนเตียงใหม่ ตอนนี้เจ้าไปนอนพักก่อน ข้าจะไปนั่งที่พื้นเอง” เขาก้มหน้าลงอย่างเขินอาย เมื่อหลิงเฟิ่งนางพูดว่านอนทับกัน
“ไม่ต้อง หากมารดาท่านเข้ามา นางได้ทุบตีข้าแน่ ที่ปล่อยให้ท่านนั่งอยู่บนพื้นทั้งคืน” หลิงเฟิ่งโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินไปนั่งที่พื้นห้องเช่นเดิม
แม้ชุยหยุนจะยอมนอนลงบนเตียง แต่สายตาของเขาก็คอยเหลือบมองมาที่หลิงเฟิ่งอยู่ตลอด ด้วยเห็นใจที่นางต้องนั่งอยู่บนพื้นเย็นๆ ตลอดทั้งคืน
เมื่อเห็นร่างเล็ก ค่อยๆ ล้มกายลงนอนไปกับพื้นห้อง เขาก็ลุกขึ้นมาเขย่าเรียกตัวนางให้ไปนอนที่บนเตียง
“เฟิ่งเออร์ เจ้าไปนอนดีๆ เถิด ถึงจะเบียดกัน แต่ยังดีกว่าที่เจ้าต้องนอนทรมานบนพื้นเช่นนี้”
“หื้ม...ข้านอนได้” นางโบกมือให้เขา