“อีอี” หญิงสาวในชุดเดรสรัดรูปหันไปมองตามเสียงเรียก
“อาหรัน” นางโบกมือให้หญิงสาวที่กำลังวิ่งมาทางเธออย่างยินดี
“ฉันคิดว่าจะไม่ทันแล้ว” อาหรันยืนเกาะบ่าเจียอีไว้แล้วหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า
“ทันสิ ฉันต้องรอเธอมาก่อนอยู่แล้ว ไปกันเถอะ” อีอีเปิดประตูรถหรูคันงามขึ้นไปนั่งเคียงข้างกับเพื่อนสาวของเธอ
ทั้งสองกำลังมุ่งหน้าไปที่ลานประมูลเครื่องเพชรที่บ้านของเจียอีเป็นเจ้าของบริษัทชั้นนำของประเทศ
การประมูลครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่เครื่องเพชรจากบริษัทของเธอ แต่มีเครื่องเพชรและเครื่องประดับโบราณที่เข้าร่วมประมูลด้วย
เจียอีก็ยังไม่ได้เห็นเครื่องประดับโบราณที่จะนำเข้ามาประมูลในครั้งนี้ ตลอดทางสองสาวจึงพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นว่าจะมีเครื่องประดับแบบใดบ้าง
ภายในงานประมูลมีคนเข้าร่วมจำนวนไม่น้อย เจียอีมองหาคุณพ่อคุณแม่ของเธอ ก่อนจะเดินพาอาหรันเข้าไปแนะนำตัว
“อีอี หากลูกอยากได้เครื่องประดับชิ้นไหนก็ประมูลเก็บเอาไว้ได้เลย” มู่เจียงคุณพ่อของเธอพูดบอกกับลูกสาวไว้ เพราะรู้ดีว่าตั้งแต่เล็กเจียอี เธอชื่นชอบเครื่องประดับโบราณมากกว่าแบบสมัยใหม่ที่เด็กสาวนิยมชอบกัน
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ” เธอยิ้มหวานออกมา
เพราะความที่เธอชื่นชอบเครื่องประดับในยุคโบราณมากกว่าสิ่งใด ที่บ้านจึงมีห้องสำหรับเก็บเครื่องประดับของเธอโดยเฉพาะ ภายในห้องไม่ต่างจากการจัดสินค้าโชว์เพื่อวางขายให้ลูกค้าเข้ามาชม
แต่มีเพียงเจียอีและคนในครอบครัวของเธอเท่านั้นที่มักจะเข้าไปชื่นชอบเครื่องประดับที่อยู่ภายใน น้อยครั้งที่เธอจะหยิบชิ้นใดมาสวมใส่ออกงาน
งานประมูลเริ่มจากสินค้าของบริษัทตระกูลมู่ สองสาวต่างตื่นตาตื่นใจกับเครื่องเพชรนับสิบกว่าชิ้นที่ถูกนำออกมาประมูล แต่ก็ยังไม่มีชิ้นใดที่เจียอีเธออยากได้
“เครื่องประดับชิ้นนี้มาจากยุคโบราณเมื่อนับพันปีที่แล้ว ทุกท่านพร้อมประมูลยังคะ บอกไว้ก่อนเลยว่า ปิ่นปักผมมรกตชิ้นนี้สมบูรณ์แบบที่สุดที่เคยมีมาเลยค่ะ” พิธีการบนเวทีบรรยายสินค้าจนคนที่เข้าร่วมต่างยืดหลังตรง เพื่อจะได้มองเห็นปิ่นที่ว่าได้ถนัด
พอผ้าคลุมถูกเปิดออก ปิ่นดอกโบตั๋นสีเขียวมรกตที่เรียกได้มาเป็นปิ่นโบราณที่สมบูรณ์แบบที่สุดก็ปรากฏสู่สายตา
พิธีกรยังเล่าประวัติความเป็นมาของปิ่นปักผมให้ผู้เข้าร่วมประมูลได้ฟัง
ปิ่นมรกตแกะสลักลายโบตั๋น เป็นของราชวงศ์เยี่ยน ถูกนักล่าสมบัติขุดพบที่สุสานของอ๋องเมื่อสามปีที่แล้ว แต่เพิ่งจะถูกนำออกมาประมูลโดยเจ้าของคนปัจจุบัน
“ฮึก...” เจียอีที่เห็นปิ่นเธอก็เจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง จนต้องกุมหน้าอกไว้แน่น
“อีอี!!! เธอเป็นอะไร ให้ฉันเรียกรถพยาบาลไหม” อาหรันเขย่าเรียกเธอด้วยใบหน้าที่ซีดขาว เพื่อนสาวของเธอไม่มีโรคประจำตัว ทั้งยังไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน
“ไม่ ไม่ต้อง ประมูลปิ่นอันนั้นมาให้ฉันหน่อย” เจียอีส่งป้ายประมูลของเธอให้อาหรัน แย่งประมูลปิ่นมรกตมาให้เธอให้ได้
ปิ่นมรกตราคาพุ่งขึ้นไปสูงถึงสองแสนหยวน ในที่สุดเจียอีเธอก็ได้มาครอบครอง แต่พอเอื้อมมือไปรับกล่องปิ่นมาถือไว้ ความทรงจำที่ไม่รู้ว่าของใครก็ปรากฏขึ้นในหัวของเธออย่างเลือนราง
“เธอถือขึ้นรถให้ฉันแล้วกันอาหรัน”
“เธอยังไม่หายอีกเหรอ” อาหรันมองเจียอีอย่างเป็นห่วง
“ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นอะไร กลับบ้านไปพักสักหน่อยก็คงจะดีขึ้น” เธอพูดเพื่อไม่ให้เพื่อนสาวเป็นกังวล แต่ภาพที่หญิงสาวสองคนกำลังโต้เถียงกันยังปรากฏชัดอยู่ในหัวของเธอ เพียงแต่ไม่เห็นใบหน้าของทั้งคู่
“ถ้างั้นฉันกลับเองดีกว่า เธอจะได้รีบไปพัก ถึงบ้านแล้วโทรบอกฉันด้วย” อาหรันส่งเจียอีขึ้นรถ ก็โบกมือลาเธอก่อนจะเดินไปขึ้นรถที่เธอกดเรียกให้มารับ
ตลอดทางที่กลับบ้านเจียอีไม่ได้แตะต้องกล่องปิ่นมรกตอีกเลย เธอได้แต่นั่งมองมันที่อยู่ข้างเธออย่างไม่เข้าใจ
“หรือจะเอาไปคืนดี” เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าปิ่นโบราณที่ได้มาจะมีวิญญาณติดมาด้วยหรือเปล่า
“คุณหนูถึงบ้านแล้วครับ” เจียอีสะดุ้งตกใจ เมื่อได้ยินเสียงของคนขับรถร้องเรียกเธอ
“เอ่อ ค่ะ ลุงฟาง ช่วยเอากล่องนี้ไปให้ป้าตงด้วยนะคะ” เธอยังไม่คิดจะแตะต้องมันในตอนนี้ แม้แต่จะถือเข้าบ้านก็ยังไม่กล้า
“ได้ครับ” ลุงฟางมองเจียอีอย่างแปลกใจ ปกติหากได้ของโบราณกลับมาที่บ้าน เธอจะไม่ยอมให้ใครช่วยเธอถือเลย และจะเป็นคนนำไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บเครื่องประดับด้วยตัวเอง
เจียอีเดินกลับขึ้นห้องเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้เธอคงไม่ลงมากินข้าวเย็นแล้ว ภาพที่เห็นในงานประมูลทำให้เจียอีรู้สึกไม่ค่อยจะดีนัก เธออยากรีบพักผ่อนให้เร็วที่สุด
“เอ๊ะ” เธอเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ก็ออกมาเห็นกล่องไม้ที่ใส่ปิ่นโบตั๋นวางอยู่ข้างหัวเตียงของเธอ
“ป้าตงคงเอามาวางแน่” เจียอีส่ายหัว เธอเช็ดผมจนแห้ง แล้วล้มตัวลงนอนที่เตียงทันที
สายตาที่ยังไม่ได้หลับเหลือบไปเห็นกล่องไม้ข้างเตียง ยิ่งทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก จนต้องคว้ากล่องมาเปิดออกดูให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
“เป็นไงเป็นกัน” เธอคิดว่าคงไม่ถึงตายหรอก หากมีวิญญาณสิงอยู่ในปิ่นจริง พรุ่งนี้เธอจะให้คุณแม่นำไปทำพิธีที่วัด
“สวยจริง แทบไม่มีรอยตำหนิเลย” เจียอียกปิ่นขึ้นส่องกับไฟ เธอลูบกลีบดอกโบตั๋นอย่างหลงใหล สวยจนอยากจะลองปักลงบนผมดู
“โอ๊ยย บ้าจริง” เจียอีถูกความคมของหยดบาดเข้าที่นิ้วมือ เธอว่างปิ่นลงในกล่องแล้วรีบหาผ้ามาเช็ดเลือดที่นิ้วมือ
เจียอีหัวเสียไม่น้อย เธอเลิกสนใจปิ่นปักผมแล้วล้มตัวลงนอนทันที
“ข้าไม่ได้ทำ เหตุใดพวกท่านไม่เชื่อข้า” นางส่ายหน้าจนผมเผ้าหลุดลุ่ย
เจียอีมองภาพหญิงสาวในชุดโบราณตรงหน้าไม่ชัดนัก นางกำลังอ้อนวอนชายหนุ่มและเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของนาง
“ท่านแม่ ข้ากับท่านพ่อเห็นด้วยตาตนเองว่าท่านกำลังหลับนอนอยู่บนเตียงกับพ่อบ้าน เรื่องนี้ท่านจะโต้แย้งเช่นใด” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเย้ยหยันออกมา
“ท่านพี่ ข้าอยู่กับท่านมาสิบกว่าปี ท่านจะไม่รู้นิสัยของข้าเลยรึ ข้ายินยอมแต่งเข้ามาเพื่อดูแลอาชุนตั้งแต่เขาเป็นเพียงทารก ถึงแม่ท่านจะไม่สนใจข้า ข้าก็มิเคยเรียกร้องสิ่งใด ความซื่อสัตย์ที่ข้ามีมาตลอดยังไม่พอให้ท่านเชื่อใจข้ารึ” เจียอีมองหญิงสาวตรงหน้าของเธอร้องไห้อย่างน่าสงสาร