เธอเดินเข้าไปอย่างใจกล้า เพื่ออยากจะปลอบประโลมนางที่ร้องไห้ราวกับจะขาดใจ แต่ชายทั้งสองก็ยังไม่คิดจะสนใจนาง
เจียอีนั่งลงข้างนาง ก่อนจะยกแขนขึ้นเพื่อลูบหลังให้นาง “เลิกร้องได้แล้ว เธอไม่ได้ทำผิด ก็อย่าได้เสียน้ำตา หากพวกเขาไม่เชื่อก็ช่างเขาสิ”เธออยากจะปลอบให้หญิงสาวหยุดร้องไห้เสียที
แต่เมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองเจียอี เธอก็เกือบจะกรีดร้องออกมา ทั้งยังล้มไปนั่งกองอยู่กับพื้นด้วยความตกตะลึง
“ฝะ ฝัน ฝันเหรอเนี่ย” เจียอีสะดุ้งตื่นขึ้น เธอจบหน้าอกที่เต้นเร็วจนแทบจะหลุดออกมาจากอกของเธอ
ภาพของหญิงสาวเมื่อครู่มีใบหน้าที่เหมือนกับเธอราวกับเป็นคนเดียวกัน จะไม่ให้เธอตกใจได้ยังไง
“เก็บไปฝันหรือเนี่ย” เธอลูบหน้าที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนมองเพดานอย่างเหม่อลอย
ภาพฝันที่เห็นเจียอีไม่อาจจะสลัดทิ้งไปได้ เธอจดจำได้ทุกคำพูดของหญิงสาวในฝันได้ดี ทั้งแววตาของนางที่เงยขึ้นมามองเจียอี แววตาคู่นั้นเจ็บปวดไม่น้อย
คำพูดของนาง แม้เจียอีจะไม่เข้าใจ แต่รับรู้ได้ว่านางผิดหวังกับสองพ่อลูกคู่ที่ยืนมองอยู่ไม่น้อยเลย
เจียอีกลุกขึ้นดูนาฬิกาก็พบว่าเธอเพิ่งจะหลับไปได้เพียงแค่สองชั่วโมงเท่านั้น จึงพยายามข่มตาหลับตา
ป้าตงเคาะประตูหน้าห้องเรียกปลุกเจียอีให้ตื่น “คุณหนู จะสายแล้วนะคะ”
“อืม...เช้าแล้วเหรอ” เธอขยี้ตาอย่างงัวเงีย
หลังจากเมื่อคืนที่ฝันแปลกๆ จนต้องตื่นขึ้นมากลางดึก หลังจากหลับต่อเธอก็ไม่ได้ฝันอะไรอีกเลย
“ป้าตง หนูตื่นแล้วค่ะ” เธอตะโกนบอกตอบไป เพื่อให้ป้าตงหยุดเคาะห้องเธอเสียที
“คุณหนู คุณท่านกับคุณนายเดินทางไปต่างประเทศแล้วนะคะ เมื่อคืนเห็นคุณหนูเข้านอนแล้ว พวกคุณท่านเลยไม่ได้มาบอก”
“ขอบคุณค่ะป้า”
เธอคิดจะปรึกษาคุณพ่อคุณแม่เรื่องปิ่นที่ได้มาเสียหน่อย แต่ทั้งสองดันเดินทางไปตรวจดูงานเสียก่อนที่เธอจะได้เอ่ยพูด
“อาหรัน วันนี้เธอว่างไหม” เจียอีโทรหาเพื่อนสาวของเธอทันทีเมื่ออาบน้ำเสร็จ
“ว่าง เธอจะให้ฉันพาไปหาหมอเหรอ”
“ไม่ใช่ ไปวัด”
“ห๊า!!! ไปวัด ไปทำไม”
“ฉันว่าปิ่นที่ได้มาเมื่อวาน ต้องมีวิญญาณติดมาด้วยแน่” เจียอีจึงเล่าเรื่องความฝันของเธอให้อาหรันฟัง
“งั้นไปเลย”
“ได้ ถ้างั้นฉันไปรับเธอที่บ้านเลยแล้วกัน เตรียมตัวไว้เลย” เจียอีกดวางโทรศัพท์ แล้วเธอก็เดินลงไปกินมื้อเช้าที่ด้านล่าง พร้อมทั้งบอกกล่าวป้าตงไว้เรื่องที่เธอจะออกไปด้านนอกกับอาหรัน
“คุณหนูให้ลุงฟางขับรถพาไปไม่ดีกว่าเหรอคะ” ป้าตงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้หนูอยากขับเอง” เธอยิ้มหวานให้ป้าตง ก่อนจะเร่งความเร็วในหารกินอาหาร แล้วรีบร้อนออกไป
โดยไม่ลืมที่จะหยิบกล่องไม้ที่มีปิ่นอยู่ด้านในใส่ลงในกระเป๋าไปด้วย
วัดที่เจียอีเธอไปอยู่นอกตัวเมืองไปไม่ไกลมากนัก ที่บ้านของเธอมักพามาที่นี่อยู่เป็นประจำ เมื่อมาถึงสามเณรเห็นเธอก็เดินเข้ามารับ แล้วพาไปพบเจ้าอาวาสทันที
“สีกามู่ วันนี้มาด้วยเรื่องอะไร” ท่านเจ้าอาวาสยิ้มมองเจียอีอย่างเมตตา
พอเห็นว่าเธอหยิบกล่องไม้ออกมาจากกระเป๋า สีหน้าของเจ้าอาวาสก็เคร่งเครียดขึ้นทันที พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก
“นี่ค่ะ คือหนูคิดว่าปิ่นที่เพิ่งจะได้มามีวิญญาณติดมาด้วย” เจียอีเลื่อนกล่องไม้ไปตรงหน้าของเจ้าอาวาส
พอเจ้าอาวาสเปิดออกดู สองสาวก็ยืดคอขึ้นเพื่อจะดูว่าจะมีแสงสีขาวของวิญญาณพุ่งตามออกมาด้วยหรือเปล่า
“ปิ่นหยกมรกตนี่ ไม่มีวิญญาณอย่างที่สีกามู่คิด เพียงแต่เรื่องความฝันอีกไม่นานก็จะได้พบความจริง”
สองสาวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่ทั้งสองอยากรู้ก็คงมีเพียงแค่ว่ามีวิญญาณหรือไม่มีเท่านั้น เรื่องความฝันเจียอีเธอไม่ค่อยจะสนใจมากนัก ถึงยังไงก็เป็นแค่ความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริง
“ขอบพระคุณมากค่ะ ค่อยยังชั่วหน่อย” เธอยิ้มออกมา ก่อนจะพากันกลับออกจากวัดไป
เจียอีกับอาหรันยังเที่ยวเล่นที่นอกเมืองจนเกือบเย็นถึงได้พากันกลับ พอส่งอาหรันเสร็จแล้วเธอก็มุ่งหน้ากลับบ้านทันที
กล่องไม้ยังคงอยู่ในกระเป๋าไม่ได้เอาออก พอรู้ว่าไม่มีวิญญาณแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นจะต้องกลัวอีกต่อไป จึงยังไม่ได้เอาไปเก็บที่ห้องเก็บเครื่องประดับเหมือนชิ้นอื่น เจียอีหยิบออกมาชื่นชมแล้ววางทิ้งไว้ที่ข้างหมอน ก่อนที่เธอจะหลับไป
เจียอีกลับเข้าสู่ความฝันอีกครั้งเพียงแต่ครั้งนี้ ตัวเธอไม่ได้ยืนมองดูหญิงสาวผู้นั้นแล้ว แต่เธอเป็นหญิงสาวผู้นั้นเสียอีก เรื่องราวฉายภาพตั้งแต่เธออายุยังน้อย ที่ถูกบิดามารดาเลี้ยงดูมาพร้อมกับพี่สาวฝาแฝดอย่างรักใคร่
“หย่าเออร์ อีเออร์ เจ้ามีกันเพียงแค่สองคนพี่น้องต้องรักกันให้มากเล่า” มารดาเอ่ยสั่งสอนออกมา
เจียอี แม้อยากจะเอ่ยถามว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ และมาอยู่ในร่างของสตรีนางนั้น ทั้งชื่อแช่ของเธอและหญิงสาวที่เธอเห็นในความฝันยังเป็นชื่อเดียวกันอีก แต่เธอก็ไม่อาจจะถามออกมาได้ ได้แต่ปล่อยให้ปากน้อยๆ หัวเราะพูดคุยไปตามเรื่องราวที่ความฝันพาไป
มู่เฟยหย่ากับมู่เจียอี เป็นฝาแฝดที่มีใบหน้าเหมือนกันยิ่งนัก จะต่างก็ที่ดวงตาของทั้งสอง หากผู้ใดได้พบเห็นซึ่งๆ หน้า ย่อมต้องแยกออกได้ในทันที
มู่เฟยหย่ามีดวงตาหงส์ที่เพียงแค่ชายตามองบุรุษก็แทบจะยอมสยบที่แทบเท้าของนาง ต่างกับมู่เจียอีที่ดวงตาของนางเปล่งประกายเจิดจ้า ราวกับมีดวงดาวนับพัน ดูน่าทะนุถนอมยิ่งนัก
ทั้งนิสัยก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแม้จะถูกเลี้ยงดูมาเช่นเดียวกันก็ตาม มู่เจียอีมักยอมให้พี่สาวเช่นมู่เฟยหย่าเกือบจะทุกเรื่อง เสื้อผ้า เครื่องประดับนางมักจะให้พี่สาวเป็นคนที่เลือกก่อนและมู่เฟยหย่านางก็ต้องการเช่นนั้น
ของที่เหลือทั้งหมดจะตกเป็นของนาง บางครั้งบิดามารดาก็เห็นใจบุตรสาวคนเล็ก จึงมักจะแอบเลือกบางชิ้นเก็บไว้ให้นางในภายหลัง แต่พอมู่เฟยหย่ารู้เรื่องเข้าก็อาละวาดเสียยกใหญ่จนตอนหลังบิดามารดาไม่คิดจะทำเช่นนี้อีก
นางมักจะพูดว่าบิดามารดารักน้องมากกว่านาง เช่นนี้แล้วพ่อแม่คนใดจะทนฟังได้ จึงได้แต่เห็นใจมู่เจียอีและปลอบใจนางแทน ถึงแม้จะถูกพี่สาวเอาเปรียบแต่ความรักที่นางมีให้พี่สาวก็ไม่น้อยลงเลย