ตอนที่ 3
รามัญมองไปด้านหน้าเพื่อประเมินสถานการณ์ด้านนอก เขารู้สึกหนักใจ แต่ก็ไม่อาจยอมให้ลูกสาวต้องเผชิญความเสี่ยงเพียงลำพัง
“อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วนะลูก”
“แต่หนูว่าพ่อส่งหนูแค่นี้เถอะ พ่อต้องไปอีกไกลนะคะ”
“งั้นหนูเอาร่มลงไป ตากฝนเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” รามัญเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“แต่มันมีคันเดียว แล้วพ่อล่ะคะ” นัตตี้ถามอย่างห่วงใยเช่นกัน รามัญส่งร่มคันเดียวในรถให้บุตรสาวด้วยรอยยิ้มที่พยายามทำให้เธอดูสบายใจที่สุด
“ไม่ต้องห่วงพ่อหรอก กว่าพ่อจะถึงฝนก็คงหยุดแล้วล่ะ” เสียงทุ้มบอกบุตรสาว พลางมองไปเม็ดฝนด้านนอกด้วยความเป็นห่วงบุตรสาว
“หนูว่าพ่อย้อนกลับไปทางเดิมดีกว่าค่ะ ข้างหน้าคงไปต่อไม่ได้แล้ว” นัตตี้บอกด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันมาเปิดประตูรถ
“นัตตี้!!!...เดี๋ยวลูก!!!” เขารีบเรียกบุตรสาวเอาไว้
“อะไรคะพ่อ!!”
รามัญลดกระจกลงเล็กน้อยปล่อยให้ละอองฝนและความเย็นชื้นแทรกเข้ามาในรถอย่างน้อย ๆ ฝ่าที่เกาะอยู่ตามกระจกจะได้ลดลงบ้าง เสียงปัดน้ำฝนยังคงทำงานอย่างหนักแข่งกับเสียงฟ้าคะนอง เขาหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับพีรยา (นัตตี้) อย่างเต็มที่ สายตาของท่านประธานผู้เกรียงไกรในโลกธุรกิจอ่อนโยนลงจนแทบละลายหายไปสิ้น
“เย็นนี้ หนูนั่งแท็กซี่กลับบ้านเองได้มั้ย”
คำถามนี้ไม่ใช่การสอบถามทางเลือก แต่มันคือคำขอร้องที่ปิดบังด้วยความเป็นห่วง มันคือการทดสอบครั้งสำคัญที่รามัญไม่เคยกล้าทำมาก่อน และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะยอมปล่อยมือจากลูกสาว ให้เธอได้ทดลองเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเอง โดยไม่มีเขาคอยดูแล
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความกลัวที่จะสูญเสียลูกสาวไปสู่การดูแลของมารดา ทำให้รามัญไม่เคยอนุญาตให้พีรยาออกนอกสายตา เขาไม่ต้องการให้ลูกสาวต้องเข้าไปอยู่ใต้ร่มเงาของคฤหาสน์ใหญ่ ที่เต็มไปด้วยการตัดสินและสายตาพิพากษาของน้องสาวที่ไม่เคยรักเธอเพราะลูกสาวของเขาหน้าคล้ายกับภรรยา
รามัญรู้ดีว่าเขาไม่สามารถอยู่เคียงข้างดูแลบุตรสาวได้ตลอดไป และวันนี้มันก็เป็นบททดสอบ ระหว่างตัวเขาเองและบุตรสาว... เมื่อเขาต้องจากไปทำภารกิจสำคัญ
เขารู้ว่าถึงเวลาแล้วที่บุตรสาวจะต้องแข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดด้วยขาของตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากครอบครัวที่พร้อมจะทำร้ายเธอได้ทุกเมื่อ
นัตตี้อ่านความกังวลและความห่วงใยในแววตาของผู้เป็นบิดาได้อย่างชัดเจน เธอเข้าใจดีว่านี่คือโอกาสที่พ่อจะให้เธอได้พิสูจน์ตัวเอง เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องถูกบังคับให้กลับไปอยู่ภายใต้การปกครองของผู้เป็นย่า
“ได้สิคะพ่อ หนูดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว พ่อไม่ต้องห่วงหรอก”
คำตอบนั้น... เป็นมากกว่าการให้คำมั่น มันคือการประกาศอิสรภาพเล็ก ๆ ที่ทำให้หัวใจของรามัญผู้เป็นพ่อพองโตด้วยความภาคภูมิใจ
เขาย่อมไม่ปรารถนาจะรบกวนคนขับรถของครอบครัวที่คฤหาสน์หลังใหญ่ เพราะนั่นจะนำมาซึ่งความวุ่นวายและการสอดแนม รามัญรู้ดีว่ามารดาของเขาและน้องสาวไม่เคยมองพีรยาด้วยความรักใคร่ เพราะใบหน้าของเธอช่างละม้ายคล้ายวิมลวรรณผู้เป็นภรรยา ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยถูกกล่าวหาว่าจับลูกชายของตระกูลดังด้วยการปล่อยให้ตัวเองตั้งท้อง
พีรยายิ้มให้กับความเป็นห่วงที่ไม่เคยลดลงของผู้เป็นบิดา รอยยิ้มนั้นบริสุทธิ์และสดใส จนช่วยปัดเป่าความเครียดจากสถานการณ์รอบตัวไปได้ชั่วขณะ เธอเข้าใจความลับที่อยู่เบื้องหลังคำถามนี้ดี
“หนูสัญญาว่าจะกลับบ้านอย่างปลอดภัยค่ะ พ่อไม่ต้องห่วงนะคะ พ่อรีบไปเถอะค่ะกว่าจะถึงอีกตั้งไกล”
น้ำเสียงที่หนักแน่นของลูกสาว เป็นดั่งหยาดฝนแรกที่ทำให้ดินชุ่มฉ่ำ มันมอบความมั่นใจที่รามัญต้องการ เขาสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างโล่งใจ
“แล้วเย็นนี้พ่อจะโทรหานะ” เขาเอ่ยทิ้งท้าย เป็นการประกาศอย่างนุ่มนวลว่าต่อให้กายห่าง... หัวใจของผู้เป็นพ่อก็ยังคงอยู่เคียงข้างเธอเสมอ
“ค่ะ...พ่อรีบไปเถอะค่ะ เผื่อจะทันรถของคุณณัชชา” นัตตี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า เพื่อคลายความกังวลของผู้เป็นบิดา
“งั้นเย็นนี้ถ้าหนูถึงบ้านแล้วโทรบอกพ่อด้วยนะ” รามัญรีบย้ำ
“ค้าาา!!....แล้วพ่อล่ะ จะกลับวันไหน”
“เร็วสุดก็น่าจะวันมะรืนเย็น ๆ”
“ค่ะ งั้นหนูไปก่อนนะคะ ขับรถดี ๆ นะคะพ่อ” เธอยื่นหน้าไปหอมแก้มสากของผู้เป็นบิดอย่างแผ่วเบา ก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วก้าวลงจากรถ
“ตั้งใจนะเรียนนะลูก” เสียงผู้เป็นบิดาตะโกนตามหลังด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่บุตรสาวจะหันมายิ้มแล้วเดินจากไป
รามัญมองตามร่างของบุตรสาวที่กางร่มเดินฝ่าสายฝนออกไปยังบริเวณทางเท้า ชุดนักศึกษาที่ดูเซ็กซี่ของเธอทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก ก่อนที่ภาพของบุตรสาวจะค่อย ๆ เลือนหายไปจากสายตา ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของรามัญในตอนนี้คือขอให้เวลาสองสามวันนี้ผ่านพ้นไปโดยเร็วที่สุด เพื่อที่เขาจะได้กลับมาดูแลบุตรสาวตามเดิม
สายฝนและความแออัดของการจราจรยังคงทำให้เขาสามารถเคลื่อนรถออกไปได้เพียงไม่กี่เมตร ทันใดนั้น! โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เป็นสายเรียกเข้าจากบุตรสาว รามัญชะงักเล็กน้อยเพราะเพิ่งลูกสาวเพิ่งจากไปได้ไม่นาน ก่อนจะกดปุ่มรับโทรศัพท์บนพวงมาลัย
“พ่อคะ หนูถึงห้องเรียนเรียบร้อยแล้วนะคะ” เสียงใส ๆ ของลูกสาวดังมาตามลำโพงภายในรถ ทำให้ผู้เป็นบิดาคลายกังวลไปได้เล็กน้อย
“หนูว่าพ่อย้อนกลับทางเดิมเถอะค่ะ ทางข้างหน้ามีน้ำท่วมถนน มันระบายไม่ทัน” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยที่สะท้อนกลับมา รามัญยิ้มอย่างอบอุ่น เขาชื่นใจที่ลูกสาวห่วงใยเขา
“ตอนนี้รถพ่ออยู่เลนขวาสุดแล้ว...กำลังจะกลับรถ หนูไม่ต้องเป็นห่วงพ่อนะ พ่อจะรีบไปทำงานให้เสร็จแล้วรีบกลับมาหาหนู” เขาวางสายด้วยความรู้สึกตื้นตัน แม้ถนนข้างหน้าจะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่วินาทีที่ลูกสาวแสดงความห่วงใย ก็ทำให้รามัญรู้สึกว่าหัวใจของเขาแข็งแกร่งพอที่จะฝ่าฟันทุกอย่างไปได้ เพื่อที่จะได้กลับมาอยู่ข้าง ๆ เธออีกครั้ง