“สวัสดีครับพี่เบญ”
จักรทิพย์หยุดเท้ากล่าวทักทาย ใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มบางๆ ให้เบญจาตามมารยาท เบญจาเองก็ยิ้มแย้มให้เจ้านายหนุ่มก่อนจะแจ้งตารางงานให้อีกฝ่ายได้รับทราบ
“พี่ขออนุญาตแจ้งตารางงานวันนี้นะคะ ช่วงเช้าคุณจักรเข้าตรวจไร่ตามปกติพร้อมปกิตค่ะ ส่วนช่วงบ่ายตัวแทนจากบริษัทบีจีจะเข้ามาคุยเรื่องขอซื้อข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสมไวโอเล็ตไวท์ จากนั้นก็ไม่มีอะไร”
เบญจากล่าวถึงข้าวโพดข้าวเหนียวสายพันธุ์หนึ่งที่มีฝักสีขาวปนสีม่วง จักรทิพย์พยักหน้ารับทราบข้อมูล
“เดี๋ยวพี่เบญช่วยตามพี่ปกิตให้ผมหน่อยนะครับผมจะรอในห้อง เดี๋ยวขอเข้าไปเคลียร์เอกสารสักหน่อย ถ้าพี่ปกิตมาถึงแล้วให้เข้าไปหาผมได้เลย”
“ได้ค่ะ”
เบญจารับคำแล้วจักรทิพย์จึงก้าวเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัว ส่วนเบญจาก็นั่งลงที่โต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าห้องทำงานของจักรทิพย์ รีบจัดการต่อสายหาปกิตตามคำสั่งของเจ้านายหนุ่ม
รถยูทีวีคันสีดำแดงลัดเลาะไปเส้นทางที่สองข้างทางเป็นไร่ข้าวโพดข้าวเหนียวพันธุ์ลูกผสมไวโอเล็ตไวท์ ปกิตเป็นคนขับส่วนจักรทิพย์นั่งที่เบาะนั่งข้างๆ คนงานต่างช่วยกันเก็บฝักข้าวโพดลงกระสอบอย่างขะมักเขม้น บางคนที่หันมาเห็นปกิตและจักรทิพย์ต่างพากันก้มศีรษะเป็นการทักทายเพราะส่วนใหญ่ต่างโพกผ้าสวมหมวกมิดชิด เปิดเผยเพียงแค่บริเวณดวงตาเท่านั้น ซึ่งทั้งปกิตและจักรทิพย์เองต่างก็พยักหน้ากลับเป็นการตอบรับการทักทายของคนงานและส่งยิ้มให้พวกเขา เพราะที่ไร่ไตรลักษณ์อยู่กันแบบพี่แบบน้อง แต่คนงานก็ให้ความเคารพจักรทิพย์ในฐานะเจ้านายด้วยเช่นกัน
“การเก็บเกี่ยวของเราตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับพี่ปกิต”
จักรทิพย์ถามขณะที่ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบๆ เพื่อตรวจดูความเรียบร้อย ปกิตที่ทำหน้าที่ขับรถยูทีวีอย่างตั้งอกตั้งใจขยับยิ้มบางๆ แล้วให้คำตอบ
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับคุณจักร ว่าแต่วันนี้คุณจักรดูหน้าเครียดๆ นะครับ”
ได้ยินแบบนั้นจักรทิพย์จึงหันมาหาปกิต ครู่หนึ่งที่ทั้งคู่สบตากันก่อนที่ปกิตจะหันไปมองทางเบื้องหน้าอีกครั้ง และจักรทิพย์ก็เลือกจะมองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นข้าวโพดแทน
“ก็คุณพ่อน่ะสิครับ บังคับให้ผมแต่งงาน”
ด้วยความที่ปกิตทำงานในไร่ไตรลักษณ์มานาน และตอนนี้เจ้าตัวก็เป็นหัวหน้าคนงาน ทำงานใกล้ชิดกับจักรทิพย์มาตลอด จึงเป็นคนที่จักรทิพย์ไว้วางใจมากที่สุด และสามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง และจักรทิพย์เองก็ให้ความเคารพนับถือปกิตเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง
“หืม คุณจักรล้อผมเล่นรึเปล่าครับ” จักรทิพย์ทำหน้าเคร่งเครียดตอนหันกลับมามองปกิตอีกครั้ง อีกฝ่ายถึงกับหัวเราะแห้งอย่างกลบเกลื่อน “อา แบบนี้คงไม่ได้ล้อเล่นแล้วแน่ๆ ว่าแต่ว่าเจ้าสาวของคุณจักรเป็นใครเหรอครับ”
“ฮึ” จักรทิพย์แค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ “จะใครซะอีกล่ะครับ ก็ลูกหลานของพวกหิวเงินนั่นแหละ”
“ใครกันครับ”
น้ำเสียงของปกิตเต็มไปด้วยความสงสัย เขาหันมามองจักรทิพย์ที่มีสีหน้าบึ้งตึงแว่บหนึ่งก่อนจะดึงสายตาไปที่ถนนหนทางเบื้องหน้าอีกครั้ง
“ก็จะใครซะอีกล่ะครับ หลานสาวของเมียใหม่คุณพ่อไงครับ”
น้ำเสียงของจักรทิพย์ไม่อาจซุกซ่อนความโกรธขึ้งเอาไว้ได้เลย ยิ่งนึกถึงแพรใจ ผู้หญิงที่เข้ามาแทนที่มารดาที่เสียชีวิตไปแล้วของเขาชายหนุ่มก็ยิ่งขุ่นเคือง เขาเกลียดที่บิดาของเขาเอาอกเอาใจผู้หญิงคนนั้นไปเสียทุกอย่าง และมันก็มากเสียจนจะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้อีกฝ่ายหากเขาไม่ยินยอมแต่งงานกับหลานสาวของเจ้าหล่อน และเงื่อนไขบ้าๆ นี่ก็ไม่พ้นแพรใจเป็นคนเสนอแน่
อยากเป็นคุณนายกันทั้งอาทั้งหลาน
น่ารังเกียจที่สุด
จักรทิพย์คิดอย่างเจ็บใจ แต่เขาจะไม่ปล่อยให้สองอาหลานนั่นอยู่อย่างสุขสบายหรอก ไม่มีทาง คอยดูฤทธิ์เดชของเขาก็แล้วกัน
“จริงๆ คุณจักรก็ปฏิเสธได้นี่ครับ”
“ผมก็อยากปฏิเสธอยู่เหมือนกันถ้าไม่ติดว่าคุณพ่อบอกว่าถ้าผมไม่แต่งจะยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แพรใจ ผมไม่ยอมให้ฝ่ายนั้นได้เสวยสุขสมบัติที่คุณพ่อกับคุณแม่สร้างมาด้วยกันหรอกครับ”
“อ่า อย่างนี้คุณจักรก็ปฏิเสธไม่ได้สินะครับ”
“ใช่ครับพี่ปกิต”
ดวงตาคมแข็งกร้าวตอนที่ตอบออกไป ปกิตลอบมองเจ้านายหนุ่มอย่างเห็นอกเห็นใจ แต่เรื่องนี้เขาไม่อาจช่วยอะไรอีกฝ่ายได้จริงๆ บทสนทนาของทั้งคู่สิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น ปกิตขับรถต่ออย่างตั้งใจ ส่วนจักรทิพย์นั้นก็ยกมือขึ้นกอดอกด้วยสีหน้าที่ยังเต็มไปด้วยความเดือดดาล
“อาขอบใจมนมากนะที่ยอมทำตามคำขอร้องของอา”
แพรใจจับมือของมนตระการเอาไว้ เจ้าของใบหน้าหวานส่งยิ้มให้คนเป็นอาแล้วกระชับมืออีกฝ่ายเอาไว้เช่นกัน พลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเต็มใจ
“มากกว่านี้มนก็ทำให้อาแพรได้ค่ะ เพราะถ้าไม่มีอาแพร ชีวิตมนก็ไม่รู้จะเป็นยังไง”
มนตระการตอบ ดวงหน้ารูปไข่ที่มีเส้นผมยาวสลวยสีดำสนิทล้อมกรอบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ ดวงตาคู่สวยสีดำขลับมองแพรใจเป็นการบอกอีกทางว่าเรื่องที่แพรใจขอร้องให้ช่วยนั้นไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงอะไร หรือต่อให้เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสมากกว่านี้ มนตระการก็ยินดีทำหากเป็นความต้องการของแพรใจ ผู้มีพระคุณเพียงคนเดียวที่เธอเหลืออยู่
“ขอบใจมากจริงๆ จ้ะ”
แพรใจยังคงกล่าวขอบคุณซ้ำๆ เพราะทราบดีว่าเรื่องที่ตนขอร้องอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากแต่นี่เป็นเพียงหนทางเดียวที่จะทำให้เธอหมดห่วง คนที่เธอรักทั้งสองคนจะได้อยู่ด้วยกัน
“เข้าบ้านกันเถอะค่ะ อากาศเริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวอาแพรจะไม่สบาย”
“จ้ะ”
แพรใจรับคำก่อนที่ทั้งคู่จะลุกจากม้านั่งตัวเดียวกันที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านหลังเล็กสีขาวหม่น มนตระการประคองแพรใจเดินเข้าไปในตัวบ้านระหว่างทางก็พูดคุยกัน
“คืนนี้อาแพรไม่ต้องกลับไปนอนกับลุงกริชใช่ไหมคะ”
“ใช่จ้ะ พรุ่งนี้สายๆ คุณกริชเขาถึงจะมารับ คืนนี้อาจะนอนกับมน ไม่ดีหรือไง” แพรใจถามด้วยรอยยิ้ม
“ดีสิคะ อาแพรไม่อยู่มนก็เง๊าเหงาค่ะ มีอาแพรมานอนเป็นเพื่อนมนดีใจจะตาย”
มนตระการว่าอย่างเอาใจ สองอาหลานยิ้มให้กันก่อนจะพากันสาวเท้าเข้าไปในตัวบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูงสีขาวหม่นที่ตรงบริเวณระเบียงหน้าบ้านมีชิงช้าหวายเทียมแขวนเอาไว้กำลังพลิ้วไหวไปตามสายลมที่กำลังพัดเอื่อย