ตอนที่ 1
รถไฟฟ้าใต้ดินในเวลาเลิกงานคลาคล่ำไปด้วยผู้โดยสารที่ต่างเบียดเสียดเพื่อเดินทางกลับบ้าน หลังจากทำงานเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวัน ธิญาดาฝ่าฝูงชนออกจากขบวนเมื่อถึงสถานีปลายทาง หญิงสาวมองหาเพื่อนสนิทที่นัดเจอกันที่สถานีแห่งนี้ เพราะอีกฝ่ายเกิดอยากจะทำบุญสะเดาะเคราะห์ หลังเพิ่งทำใจได้จากการอกหักจากแฟนหนุ่มที่คบมาหลายปี
“เกรซ เกรซ ทางนี้” ยุพเรศโบกไม้โบกมือส่งสัญญาณเรียกเพื่อนสนิทที่เพิ่งเดินออกมาจากขบวนรถไฟ
“มาแล้วๆ” ธิญาดาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเพื่อน แล้วมองสำรวจตรวจตราตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดีใจ เมื่อเห็นว่าเพื่อนหน้าตาสดใสขึ้นจากเดิมที่สภาพไม่ต่างจากซอมบี้
“มองอะไรยะ ฉันยุพเรศคนสวยคนเดิมเพื่อนของเธอไงจ๊ะ ทำอย่างกับไม่เคยเห็นไปได้”
“ก็ก่อนหน้านี้เพื่อนฉันไม่ใช่สภาพนี้นี่ ฉันดีใจนะยุที่เธอกลับมาเป็นยุคนเดิมของฉัน”
“ยุพเรศซะอย่าง ไม่เสียใจนานหรอก ชีวิตเรายังอีกยาวไกล แค่ผู้ชายเฮงซวยคนเดียวอย่าไปเสียเวลาให้มากมาย แค่นี้ฉันก็เปลืองพลังชีวิตไปเยอะแล้ว ถือซะว่าฉันได้ภูมิคุ้มกันเพิ่ม ในที่สุดฉันก็ได้ลิ้มรสชาติการอกหักแบบที่เธอเคยเป็น แบบนี้ค่อยสมกับเป็นเพื่อนกันหน่อย” สองสาวยิ้มขำก่อนที่จะเดินออกจากสถานีไปยังจุดหมาย นั่นคือวัดหัวลำโพงสถานที่ที่ยุพเรศเลือกจะมาทำบุญเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
ระหว่างเดินไปธิญาดาก็นึกถึงเรื่องราวความรักทั้งของตัวเองและเพื่อน เธอกับอดีตคนรักที่เป็นรุ่นพี่เริ่มคบกันตอนเธออยู่ปีสองและเขาอยู่ปีสุดท้าย เมื่อเรียนจบที่บ้านส่งเขาไปเรียนต่อต่างประเทศ ก่อนไปเขาสัญญาเสียดิบดีว่าจะติดต่อเธอเสมอและจะไม่หายไปไหน ปีแรกที่ไปเขายังคงทำตามสัญญา ด้วยการติดต่อพูดคุยกับเธอทางเฟซบุ๊กอยู่เสมอ แต่พอขึ้นปีที่สองเขาก็เริ่มทิ้งระยะห่างในการสนทนา พร้อมๆ กับที่เธอเริ่มเห็นว่า เฟซบุ๊กของเขาถูกแท็กจากเพื่อนๆ ทั้งไทยและต่างชาติ ซึ่งในนั้นมักจะมีหญิงสาวคนหนึ่งร่วมเฟรมอยู่ด้วยเสมอ
เธอมาทราบภายหลังว่าผู้หญิงคนนั้นคือลูกสาวของเพื่อนสนิทมารดาเขา ที่เดินทางไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยเดียวกัน เธอรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ยังเข้าข้างตัวเองว่า เขากับผู้หญิงคนนั้นอาจเป็นแค่เพื่อนกัน แต่เมื่อบวกกับการพูดคุยที่เริ่มทิ้งระยะห่างมากขึ้นทุกที มันก็ยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่เธอคิดและแอบกลัวอยู่ลึกๆ มีเค้าลางที่จะเป็นจริง
จนกระทั่งวันที่เปรียบเสมือนฟ้าถล่มลงมาตรงหน้า คือวันที่เฟซบุ๊กของเขาถูกแท็กจากเพื่อนๆ และผู้หญิงคนนั้นซึ่งเป็นรูปที่ทั้งคู่นั่งเคียงข้างกัน ท่ามกลางผู้ใหญ่ของทั้งสองครอบครัว และฝ่ายหญิงชูมือข้างที่มีแหวนเพชรประดับอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายโดยมีเพื่อนๆ เข้ามาคอมเมนต์แสดงความยินดีกับการหมั้นหมาย เธอจำได้ว่าตัวเองช็อกอยู่หน้าจอพักใหญ่พร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลลงมาทีละหยด จนกระทั่งพร่างพรูลงมาอาบแก้ม ภาพที่เห็นมันชัดเจนจนเธอไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไป และเพราะไม่อยากค้างคา เธอจึงแคปรูปภาพนั้นส่งไปถามเขาว่ามันคืออะไร เธอแค่อยากได้คำตอบจากปากของเขา ปากของคนที่นั่งยิ้มหน้าชื่นตาบานเคียงข้างผู้หญิงคนอื่น ทั้งๆ ที่ยังมีเธออยู่ทั้งคนเพราะเขาไม่เคยบอกเลิกเธอ
เธอทั้งสับสนและงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อนๆ ก็ถามอย่างสงสัยเช่นกัน เมื่อเธอไม่สามารถตอบคำถามใดๆ ได้เพราะเธอเองก็รู้พร้อมกับทุกคน เขาเหล่านั้นมองมาด้วยสายตาเห็นใจ ซึ่งมันทำให้เธอยิ่งเจ็บปวดและอับอาย เพราะเหมือนเธอเป็นคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลย เพียงไม่นานหลังจากที่เธอตัดสินใจแชทไปถามเขาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เขาตอบกลับมามันก็ช่วยตอกย้ำว่าเธอช่างเป็นผู้หญิงที่โง่เง่า จงรักภักดีกับผู้ชายที่ไม่เคยเห็นค่าของความรักที่เธอมีให้
‘นี่มันอะไรกันคะ พี่ที’
‘พี่ขอโทษด้วยนะเกรซ แต่พี่หมั้นแล้ว ต่อไปเกรซไม่ต้องติดต่อพี่มาอีกนะ พี่ไม่อยากมีปัญหากับคู่หมั้น’ คำตอบนั้นทำให้เธอนั่งอึ้งอยู่หน้าจอ และอ่านมันวนไปวนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับอยากจะตอกย้ำให้จำลงไปถึงขั้วหัวใจว่านี่คือคำตอบ คือผลตอบแทนของความซื่อสัตย์และเฝ้ารอเขาเพียงคนเดียว โดยไม่เคยคิดจะมีใครทั้งๆ ที่มีคนมาจีบมากมาย กว่าจะรู้ตัวอีกทีเธอก็พบว่าตัวเองได้ถูกลบออกจากความเป็นเพื่อน แถมยังถูกเขาบล็อกอีกต่างหาก เธอยังจำได้ดีถึงความเจ็บปวดคลั่งแค้นในวันนั้น เธอใช้เวลาอยู่หลายเดือนกว่าจะกลับมายิ้มได้อีกครั้ง และบอกตัวเองให้เดินหน้าต่อไป แต่จากวันนั้นผ่านมาเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งอายุเข้าเลขสามเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เธอก็ยังไม่เคยเจอใครที่ทำให้รู้สึกอยากจะมอบหัวใจให้อีกเลย ส่วนเขาคนนั้นเธอได้ข่าวล่าสุดว่าเขาและคู่หมั้นได้แต่งงานและปักหลักใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ และป่านนี้ก็คงจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
“คิดอะไรอยู่ เงียบเชียว” ยุพเรศหันมาถามเมื่อเห็นเพื่อนเงียบไป
“คิดถึงอดีตเรื่องความรักของเธอกับฉัน”
“นี่อย่าบอกนะว่าเธอคิดถึงไอ้พี่ทีสารเลวนั่น” ยุพเรศออกอาการเดือดดาลทันที เพราะตอนที่ธิญาดาอกหักเธอคือคนที่คอยปลอบใจอยู่เคียงข้าง จึงรู้ว่าเพื่อนเสียใจมากแค่ไหน แถมการกระทำของไอ้หมอนั่นก็เลวเกินบรรยาย มีอย่างที่ไหนไปหมั้นกับผู้หญิงอื่นได้หน้าตาเฉย ทั้งที่คบกับเพื่อนเธออยู่แท้ๆ
“เปล่า ไม่ใช่คิดถึงแบบนั้น ทำกับฉันไว้ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันจะคิดถึงอีตานั่นได้ลงคอเหรอ”
“งั้นก็แล้วไป คิดว่าเธอคิดถึงมัน ผู้ชายสารเลวแบบนั้น อย่าให้เจอะให้เจออีกเลย คนอะไรเลวบริสุทธิ์” ธิญาดาถึงกับขำกับคำด่าของเพื่อน
“อะไรของเธอเลวบริสุทธิ์”
“ก็เลวแบบไม่มีความดีเจือปน เลวแบบแหวกดูตรงไหน สมองหัวใจก็เจอแต่ความคิดเลวๆ ไง” ธิญาดาทึ่งกับการสรรหาคำด่าของยุพเรศ
“เธอนี่เข้าใจหาคำด่านะ”
“แน่นอน เรื่องด่าขอให้บอก”
“ถามจริง เธอเคยเผลอด่าคนไข้บ้างไหม” ธิญาดาถามเพื่อนอย่างสงสัย เพราะยุพเรศทำงานเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลเอกชนระดับไฮเอนด์แห่งหนึ่ง ที่ต้องรับมือกับคนไข้หลากหลายเชื้อชาติ เพราะโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นที่นิยมของชาวต่างชาติมาก
“โอ๊ย ถ้าด่าก็ตกงานสิยะ เธอก็รู้คนไข้โรงพยาบาลฉันมีแต่ระดับซุปเปอร์วีไอพีทั้งนั้น คนที่น่ารักก็น่ารักเหมือนจุติลงมาจากสรวงสวรรค์ คนที่ร้ายก็ราวกับผุดมาจากนรก แต่ต่อให้ร้ายแค่ไหน ทั้งคนไข้ทั้งญาติคนไข้ ฉันก็ต้องฉีกยิ้มอย่างเดียว นึกถึงเงินเดือนที่จะได้รับในแต่ละเดือนเข้าไว้ เธอเองก็ทำงานบริการน่าจะรู้ดีนี่” แน่นอนว่าเธอเข้าใจดีเพราะครอบครัวของเธอทำธุรกิจร้านอาหารขนาดใหญ่ ซึ่งต้องเจอกับลูกค้าสารพัดรูปแบบในแต่ละวัน ที่ให้ทั้งความรู้สึกเหนื่อยและสนุกไปพร้อมๆ กัน
“จะว่าไปพวกเราก็เหมือนโดนสาปเนอะ เกิดมาทำงานบริการต้องรองรับอารมณ์ผู้คนเหมือนกัน แถมยังโดนแฟนนอกใจจนต้องเป็นโสดเหมือนกันอีก ดีแล้วที่วันนี้เรามาทำบุญด้วยกัน จะได้ถือโอกาสขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านช่วยปัดเป่าความซวยและผู้ชายเฮงซวยออกไปไกลๆ อย่าได้มีหน้าไหนเข้ามาใกล้อีกเลย เสียดายก็แต่ยัยนาที่ติดงานมากับเราไม่ได้” ยุพเรศกล่าวถึงเพื่อนร่วมแก๊งอีกคนคือชนาภา ที่ทำงานเป็นกราวด์สตาฟของสายการบินแห่งหนึ่ง ซึ่งประจำอยู่ที่สนามบินแห่งชาติ วันนี้เจ้าหล่อนเข้ากะบ่ายเลยไม่สามารถมาร่วมทริปทำบุญในวันนี้
ชนาภาเป็นคนเดียวในกลุ่มที่รักไม่ยุ่งมุ่งแต่ทำงาน แต่ก็ชอบเหล่ผู้โดยสารหล่อๆ ให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ เมื่อก่อนเธอเคยค่อนขอดเพื่อนว่าจะเหี่ยวแห้งอยู่บนคนทำไมเสียดายแย่ เพราะชนาภาหน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ตอนนี้เธอคิดว่าเพื่อนอาจจะคิดถูกแล้ว เพราะไม่ต้องมาเสียใจและเจ็บปวดกับความรักเหมือนเธอและธิญาดา
ทั้งสองใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงวัดหัวลำโพง ที่อยู่ห่างจากสถานีรถไฟใต้ดินเพียงร้อยเมตรเท่านั้น ยุพเรศจูงมือธิญาดาตรงดิ่งไปยังพระประธานในโบสถ์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยพระนามว่าพระพุทธมงคล ที่มีความเชื่อกันว่าจะช่วยปกป้องในเรื่องของภัยจากศัตรู ช่วยเรื่องการงานและการเงินต่างๆ
“สาธุ ลูกขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ท่านช่วยปัดเป่าคนชั่วๆ ผู้ชายเลวๆ ออกไปให้ไกลๆ จากลูกด้วยนะเจ้าคะ ถ้าดวงลูกจะไม่มีโชคด้านความรักจริงๆ ก็ขอให้ท่านช่วยเสกให้ลูกเจอแต่คนไข้น่ารักๆ จิตใจดีเหมือนนางฟ้าแปลงกายมาด้วยเถอะโอมเพี้ยง” ธิญาดาขำคำขอของเพื่อน ส่วนตัวเธอนั้นขอแค่ให้สุขภาพแข็งแรง การทำงานราบรื่นก็พอแล้ว ส่วนเรื่องความรักเธอแล้วแต่โชคชะตา ไม่ได้คิดจะไหว้ขอเนื้อคู่ใดๆ อย่างที่สาวๆ หลายคนนิยมทำกันตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
เสร็จจากไหว้พระทั้งคู่ก็มาทำบุญไถ่ชีวิตโคกระบือและบริจาคค่าอาหารน้องวัว ปิดท้ายด้วยการทำบุญโลงศพกับมูลนิธิที่อยู่ภายในวัด หลังจากนั้นก็พากันไปหาร้านเด็ดเพื่อรับประทานอาหารเย็น
“งานนี้แหละ ยุพเรศจะกินให้พุงกางหลังจากน้ำหนักลดไปหลายกิโล เสียดายชะมัดพลาดกินของอร่อยไปตั้งนานเพราะผู้ชายเฮงซวยคนเดียว” ขณะที่ปากบ่นมือก็จดเมนูที่ต้องการลงในกระดาษรัวๆ
“เบาๆ นะยุ มาแค่สองคนจะกินหมดเหรอ”
“เถอะน่า ไม่หมดก็ห่อกลับไปกินที่บ้าน มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง แทนคำขอบคุณที่เธอยอมมาทำบุญเป็นเพื่อนฉัน”
“ว้าว ใจป้ำซะด้วย”
“แน่นอนอยู่แล้ว บ้านเธอทำร้านอาหารกินแต่ร้านตัวเองคงเบื่อแย่ เปลี่ยนบรรยากาศมากินร้านอื่นบ้างแบบนี้เจริญอาหารดีจะตาย”
“โอเค ไม่เถียงจัดมาเลยจ้ะ คุณเจ้ามือ” สุดท้ายสองสาวก็ช่วยกันสั่งอาหารมาจนเต็มโต๊ะ กินไปคุยกันไปทั้งเรื่องอดีตและปัจจุบัน สุดท้ายก็จัดการอาหารบนโต๊ะจนเรียบโดยไม่รู้ตัว
“ไม่อยากจะเชื่อ พวกเรากินเข้าไปหมดได้ยังไง ขืนฉันมากับเธอบ่อยๆ น้ำหนักต้องขึ้นแน่” ธิญาดาลูบท้องตัวเองด้วยความอิ่ม
“โอ๊ย เอาอะไรมาน้ำหนักขึ้นยะ หุ่นทรมานใจชายแบบเธอนี่ กินได้อีกเยอะ พูดแล้วอิจฉาชะมัดคนอะไรทรวดทรงองค์เอวโค้งเว้าเซ็กซี่สุดๆ ฉันสิจะกินอะไรต้องระวังเดี๋ยวชุดยูนิฟอร์มปริ” ยุพเรศบ่นแล้วจึงเรียกคิดเงิน
“นี่ สุดสัปดาห์นี้เราไปปล่อยแก่กันไหม ชวนยัยนาไปด้วย นานแล้วที่เราไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกัน ถือโอกาสฉลองความโสดฉันไปด้วยเลย” ธิญาดานิ่งคิดก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง
“เอาสิ”
“งั้นเดี๋ยวฉันชวนยัยนาก่อน ให้นางแลกกะกับเพื่อนล่วงหน้า” ยุพเรศคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความเข้ากรุ๊ปที่มีตัวเองธิญาดาและชนาภาอยู่ในนั้น
หลังทานอาหารเสร็จสองสาวก็เดินไปตามฟุตบาธเพื่อไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน แต่ระหว่างที่เดินผ่านห้องแถวห้องหนึ่งก็พบคุณยายแก่ๆ กับโต๊ะพับเก่าๆ พร้อมป้ายตั้งไว้ว่า ‘รับดูดวง 199 บาท’ ยุพเรศหยุดกึกและหันไปมองอย่างสนใจ
“ดูดวงกันเกรซ” ธิญาดาลังเลแต่ยุพเรศไม่รอช้าจูงมือเพื่อนตรงเข้าไปทันที ยุพเรศนั่งลงที่เก้าอี้โดยธิญาดายืนสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ คุณยายผมขาวสลับเทาพองฟูเงยหน้าขึ้นมอง
“สนใจดูดวงเรอะนังหนู” น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยถาม
“ค่ะ” ธิญาดามองหญิงชราหยิบไพ่ขึ้นมาจากกล่องที่มีสนิมเขรอะ ส่วนสภาพไพ่นั้นก็เก่าจนสีเริ่มจาง
“หยิบไพ่มาสามใบ ข้าจะดูครั้งเดียวแค่สามใบ ทำสมาธิแล้วอธิษฐาน ถ้าพร้อมแล้วก็หยิบไพ่ได้เลย” ยุพเรศหลับตาตั้งสมาธิแล้วหยิบไพ่มาสามใบตามที่หญิงชราบอก เมื่อได้รับไพ่ไปหญิงชราเพ่งมองอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“เพิ่งจะผ่านเรื่องร้ายๆ มานี่ คนไม่ดีออกจากชีวิตไปแล้ว หลังจากนี้ไม่นานจะมีโชคก้อนใหญ่ ชีวิตจะมีเรื่องดีๆ เข้ามา หลังจากนี้ไม่มีอะไรต้องห่วง”
“แล้วเรื่องเนื้อคู่ล่ะคะ”
“เพิ่งจะเลิกกับแฟนหยกๆ เอ็งถามถึงเนื้อคู่แล้วเรอะ ไม่เข็ดหรือยังไง” คำถามของแม่หมอทำเอายุพเรศและธิญาดามองหน้ากันอย่างรู้สึกทึ่ง
“แม่หมอรู้ได้ยังไงคะ”
“ไพ่มันบอก อย่าได้ไปเสียใจอาลัยอาวรณ์ คนใหม่ที่จะเข้ามาดีกว่าเยอะ อยู่ไกลคนละฟากฟ้าแต่บุพเพวาสนาจะนำพามาพบกัน เอ็งมีดวงจะต้องโยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างบ้านตางเมืองนะนังหนู”
“เหรอคะ นี่หนูจะได้ผัวฝรั่งเหรอคะแม่หมอ”
“หึหึ เรื่องนั้นเอ็งต้องคอยดูเอาเอง เมื่อถึงเวลาก็จะได้รู้ แต่สิ่งที่ได้แน่ๆ คือลาภก้อนใหญ่ไม่เกินเดือนนี้ เอ็งได้แน่ จบแล้วคนต่อไปเข้ามาได้” พูดเสร็จหญิงชราก็เก็บไพ่เข้ากองกวักมือเรียกธิญาดาทันที โดยไม่เปิดโอกาสให้ถามอะไรอีก ยุพเรศลุกขึ้นแล้วดึงธิญาดาให้นั่งลงที่เก้าอี้แทน
“หยิบไพ่สินังหนู ทำเหมือนเพื่อนของเอ็ง” ธิญาดาลังเลแต่สุดท้ายก็หลับตาอธิษฐานและหยิบไพ่ให้หญิงชราสามใบ
“อืม…กำลังจะได้เจอแล้วนะ”
“เจอใครคะ”
“เนื้อคู่ของเอ็ง ไม่ธรรมดาเลย อายุน้อยกว่าแต่มีรูปเป็นทรัพย์ แถมยังมีทรัพย์มาก เป็นที่หมายปองของหญิงสาวมากมาย”
“จริงเหรอคะ” ยุพเรศระล่ำระลักถามอย่างตื่นเต้นกว่าเจ้าตัวเสียอีก
“จริงแท้แน่นอน คอยดูได้เลย เอ็งได้เจอแน่ แต่ว่า…”
“แต่อะไรคะ”
“สรุปว่าใครดูกันแน่วะ” หญิงชราตอบยุพเรศที่ออกอาการตื่นเต้นและถามแทนธิญาดาเสียทุกอย่าง
“ก็หนูตื่นเต้นนี่คะแม่หมอ บอกตรงๆ ว่าตื่นเต้นกว่าเรื่องตัวเองอีก ก็เพื่อนหนูโสดมาตั้งนานแถมไม่สนใจใครเลย พอได้รู้ว่าเพื่อนกำลังจะได้เจอเนื้อคู่เร็วๆ นี้ หนูก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดา”
“เออ เอ็งรอได้เลยไม่นานนี้ได้เจอแน่”
“แล้วแต่ที่แม่หมอว่านี่ แต่อะไรเหรอคะ” คราวนี้ธิญาดาเป็นฝ่ายถามบ้าง
“แต่ก็จะมีเรื่องยุ่งยากใจตามมาจากคนเก่าๆ ที่ห่างหายไปนาน แต่ไม่ต้องห่วงเนื้อคู่เอ็งคนนี้ไม่ธรรมดาเลยนังหนู ใครก็ทำอะไรเอ็งไม่ได้ ปีนี้อายุขึ้นเลขสามแล้ว ถึงเวลาที่ฟ้าดินกำหนดที่จะได้เจอคู่แท้ของเอ็ง ส่วนเรื่องการงานดีอยู่แล้วไม่มีอะไรต้องกังวล เอ้าจบแล้ว” หญิงชราเก็บไพ่ลงในกล่องพร้อมแบมือมาตรงหน้า ยุพเรศควักแบงค์ห้าร้อยให้ไปเพราะถูกใจกับคำทำนายของแม่หมอ
“เอาไปเลยค่ะ ไม่ต้องทอน ขอให้คำทำนายของแม่หมอเป็นจริงด้วยเถอะ สาธุ” หลังจากได้เงินหญิงชราก็จัดการเก็บของพับโต๊ะพับเก่าๆ โยนเข้าไปในห้องแถว แล้วเดินไปคว้าย่ามหยิบขวดบางอย่างขึ้นมากระดก ก่อนจะหัวเราะร่าพร้อมกับร้องรำทำเพลงด้วยจังหวะผิดๆ ถูกๆ ธิญาดาและยุพเรศที่เห็นภาพนั้นต่างอึ้งกิมกี่
“อ้าว มาทำอะไรกันตรงนี้ล่ะนังหนู” คุณป้าคนหนึ่งเดินผ่านมา ซึ่งดูจากข้าวของที่หอบหิ้วมาน่าจะมีอาชีพขายพวงมาลัย เมื่อเห็นทั้งสองยืนมองหญิงชราที่กำลังร่ายรำพร้อมจิบเหล้าขาวไปอย่างมีความสุข ก็ถามออกมาอย่างแปลกใจ
“คือว่า…” ยุพเรศอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบยังไง
“นี่อย่าบอกนะว่าโดนยายนางหลอกดูดวงเข้าอีกคน”
“คะ” ดูจากท่าท่างอึ้งกิมกี่ของสองสาว คุณป้าขายพวงมาลัยก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“โถ่เอ๊ย นังหนูไม่น่าเลย นี่โดนไปเท่าไหร่ล่ะ”
“หนูให้ไปห้าร้อยค่ะ”
“เออ ถือว่าทำบุญทำทานแล้วกันนะ ยายนางเนี่ยแกสติไม่ค่อยดี วันดีคืนดีก็หาโต๊ะมานั่งรับดูดวงกับคนผ่านไปผ่านมา บางคนหลงเชื่อก็จ่ายเงิน พอได้เงินมาก็เอามาลงขวดอย่างที่เห็นนั่นแหละ แกไม่มีพิษไม่มีภัยแค่อาศัยดูดวงมั่วๆ ให้กับคนผ่านไปมา”
“แต่ว่าป้าแกมีอุปกรณ์พวกนั้น”
“ไอ้อุปกรณ์นั้นน่ะ เจ้าของห้องแถวเขาเคยเป็นหมอดูไพ่ยิปซี แต่เขาตายไปนานแล้ว ญาติๆ ที่มาเก็บของก็เลยเอามาทิ้ง ยายนางเห็นเข้าก็เลยเก็บเอามา แล้วก็สมมุติตัวเองเป็นหมอดูซะเลย”
“เวรกรรม นี่เราโดนหลอกเหรอเนี่ย”
“ทำใจเถอะนังหนู ป้าไปก่อนนะ”
ธิญาดาและยุพเรศยืนอึ้งอยู่อีกครู่ใหญ่ ก่อนจะหันมามองหน้ากันและหัวเราะออกมา และเมื่อนำเรื่องนี้มาเล่าให้ชนาภาฟังตอนเฟซไทม์ด้วยกัน ฝ่ายนั้นก็หัวเราะงอหงาย
“โอ๊ย ฉันขำมาก เพื่อนรักของฉันสองคนไปดูดวงกับคนบ้า ว่าไงนะ คุณยุพเรศจะได้ผัวฝรั่งเหรอคะ ฮ่าๆๆ” ชนาภาหัวเราะจนตัวงออยู่บนเตียง ในขณะที่ยุพเรศหน้างอหงิก ส่วนธิญาดานั้นก็ขำไม่ต่างกัน
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะยะ เห็นตั้งโต๊ะอุปกรณ์พร้อมดูขลังดี”
“ขลังหรือขึ้นสนิมเอาดีๆ ยัยยุ”
“นี่นา อย่ามาซ้ำเติมกันได้มะ หมดกันผัวฝรั่งของฉันหายวับไปกับตา”
“นี่นังชะนีน้อยๆ หน่อยย่ะ เพิ่งเลิกกับผัวไทยมาหยกๆ มาร่ำร้องหาผัวฝรั่ง พักซะบ้างเถอะ”
“จะว่าไปฉันเสียดายผัวเด็กของยัยเกรซมากกว่า อุตส่าห์ตื่นเต้นว่าเพื่อนจะลงจากคาน ได้ผัวเด็กงานดีมีรูปเป็นทรัพย์ แถมมีทรัพย์มหาศาล โอ๊ย…หมดกัน อดได้เพื่อนเขยเป็นมหาเศรษฐีเลย”
“เสียดาย ฉันไม่ได้ไปด้วย เลยอดรู้เลยว่าผัวฉันเป็นใคร”
“ต๊าย หล่อนสนใจเรื่องผัวด้วยเหรอยะ”
“อ้าว ผัวทิพย์ตามคำทำนายจากคนบ้าฟังไว้ขำๆ ไง นี่ถ้าฉันไปด้วยสงสัยฉันจะได้ผัวเป็นเจ้าของสายการบินฮ่าๆๆ”
“พอๆ เลิกคุยเรื่องนี้ได้แล้ว เรื่องนัดของเราคอนเฟิร์มนะ ศุกร์นี้ไปปล่อยผีกัน”
“ตามนั้น ขอแบบแซ่บๆ เลยนะทุกคน งานนี้ชนาภาจัดเต็ม”
“ยุพเรศก็จะปังค่ะ”
“ธิญาดาก็จะยกพริกไปทั้งสวนค่ะ” ธิญาดาเองที่นั่งฟังมานานก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน