“พลอยเอาไงดีล่ะ ริณจะควรจะไลน์ไปบอกอารามดีไหมว่าตอนนี้กลับมาถึงโรงเรียนแล้ว” ริณเรณูกลัวว่ามันดึกเกินไปและจะเป็นการรบกวนคนที่เพิ่งเคยเจอกัน
“ก็ไลน์ไปสิเขาบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้ามาถึงแล้วก็ให้ริณไลน์ไปบอก”
“แต่ตอนนี้มันดึกมากแล้วนะ”
“เอาน่าไลน์ไปเถอะถ้าเขาหลับแล้วเขาก็คงไม่อ่านหรอก บอกเขาไปว่าเรามาถึงแล้วและกำลังจะกลับบ้าน” สุนิสาบอกเพื่อนขณะที่กำลังช่วยอ่านเอากระเป๋าเดินทางใส่นั่งหลังรถของบิดาซึ่งมารับกลับบ้าน
เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถแล้วริณเรณูก็ไลน์ไปบอกรามัญแต่ไม่รู้หรอกกว่าเขาจะอ่านไหม
“ตอนนี้หนูถึงโรงเรียนแล้วนะคะกำลังจะกลับบ้านค่ะ” เมื่อไลน์แล้วยังไม่ทันได้เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าชายหนุ่มก็เลยตอบกลับ
“แล้วกลับบ้านยังไงดึกขนาดนี้มีรถเหรอ”
“พ่อของพลอยมารับค่ะ คืนนี้หนูจะไปค้างที่บ้านพลอยค่ะ”
“ถ้างั้นก็รีบกลับไปพักเถอะ”
“ค่ะอาราม”
หญิงสาวเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะหันมากระซิบกับสุนิสาที่นั่งอยู่เบาะหลังคู่กับตนเอง
“พลอยว่าอารามเขาใจดีไหม”
“ใจดีสิ ใจดีมากๆ และยังหล่อมากๆ ด้วยนะ”
“แล้วพลอยคิดว่าเขาจะช่วยริณได้จริงหรือเปล่า เรื่องที่อยากจะให้พ่อมาเยี่ยมแม่น่ะ”
“พลอยก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เขารับปากแล้วนะ”
“ริณกลัวว่าพอเขาบอกพ่อไปแล้วพ่อจะไม่มา”
“ก็น่าคิดนะ ริณกับพ่อไม่เคยติดต่อกันมาก่อน”
“ริณไม่รู้ว่าพ่อเป็นคนนิสัยยังไง เท่าที่ได้คุยกับแม่ แม่ก็บอกว่าเขาเป็นคนจิตใจดีและรักแม่มากๆ แต่มันก็แปลกนะเขาบอกว่ารักแม่มากแต่กลับไปมีครอบครัวใหม่”
“ริณคิดว่าเขาจะมาเยี่ยมแม่ไหม”
“ริณก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ภาวนาขอให้เขาเห็นแก่เรื่องในอดีตบ้าง ส่วนเขาจะรับริณเป็นลูกหรือเปล่าริณไม่ได้เดือดร้อนอะไรเรื่องนั้นเลย แต่เราเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก่อนนะพลอยห้ามบอกใครเด็ดขาด”
“ถ้าเขาไม่มาเยี่ยมริณจะเสียใจไหม”
“ทั้งเสียใจทั้งเสียความรู้สึกเลยนะ ถ้าพ่อยังมีเมตตาอยู่บ้างเขาก็คงมาเยี่ยมแม่ในวาระสุดท้าย แต่เรื่องนี้ริณยังไม่ได้บอกแม่หรอกกลัวว่าแม่จะรอเก้อ ถ้าเขาไม่มาเยี่ยมแม่จะเป็นทุกข์ไปมากกว่านี้ แค่โรคที่เป็นอยู่แม่ก็ทรมานมาแล้ว”
ทั้งสองคนกระซิบกันอยู่ที่เบาะหลังจนกระทั่งถึงบ้านของสุนิสาก็พากันอาบน้ำและเข้านอน
แม้ว่าเมื่อคืนจะกลับมาถึงบ้านดึกมากแต่เช้านี้ริณเรณูก็รีบอาบน้ำแต่งตัวและให้บิดาของสุนิสาไปส่งเธอที่บ้านจากนั้นเธอก็ขี่จักรยานยนต์ไปหามารดาที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณห้ากิโลเมตร เด็กสาวสูดลมหายใจเต็มปอดยิ้มอย่างสดใสก่อนจะเข้าไปหามารดาที่นอนอ่อนแรงอยู่บนเตียง
“สวัสดีค่ะแม่หนุคิดถึงแม่จัง”
“แม่ก็คิดถึงหนูจ๊ะ เป็นยังไงบ้างได้ไปเที่ยวมาสนุกไหมลูก”
“สนุกค่ะแม่”
“เห็นไหมแม่บอกแล้วว่าการได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ น่ะมันสนุกมากๆ และประสบการณ์แบบนี้มันก็หาไม่ได้จากที่อื่นเลย แล้วเมื่อคืนหนูมาถึงกี่โมงจ๊ะ”
“ถึงโรงเรียนตีสองค่ะแม่ กว่าจะอาบน้ำเข้านอนก็เกือบจะตีสาม”
“ได้นอนไปนิดเดียวแล้วยังจะมาหาแม่แต่เช้าอีก ทำไมไม่นอนพักก่อนแล้วค่อยมาเยี่ยมแม่ตอนเย็น”
“ก็หนูคิดถึงแม่นี่คะ เป็นห่วงแม่ด้วย สองวันนี้อาการของแม่เป็นยังไงบ้าง”
“อาการก็ทรงๆ จ้ะแต่แม่กินข้าวได้เยอะขึ้นนะ”
“ดีแล้วล่ะค่ะ แม่อยากกินขนมอะไรเพิ่มไหมเดี๋ยวหนูจะไปซื้อให้ หนูไปเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้ซื้อขนมอะไรมาฝากแม่เลยค่ะ รถจอดไม่กี่ทีเองหนูขี้เกียจไปแย่งคนอื่นซื้อ”
“แม่ไม่ต้องการน่ะของฝากอะไรจากหนูหรอกจะลูกแค่เห็นหนูมีความสุขแม่ก็ดีใจแล้ว”
“แม่คะเดี๋ยวกินข้าวกลางวันแล้วหนูขอตัวกลับไปที่บ้านนะคะ หนูยังไม่ได้จัดการกับเสื้อผ้าที่ใส่ไปเที่ยวมาเลยค่ะ”
“ได้สิ เย็นนี้หนูไม่ต้องมาเยี่ยมแม่ก็ได้นะ”
“ทำไมล่ะคะ”
“ก็แม่อยากให้หนูนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่พรุ่งนี้วันอาทิตย์มาหาแม่ช่วงสายๆ ก็ได้”
“ทำไมแม่ถึงไม่อยากให้หนูมาเยี่ยมล่ะคะ”
“ก็แม่เป็นห่วงหนูน่ะลูก ถ้าหนูกลับไปบ้านแล้วเย็นนี้ยังจะต้องมาเยี่ยมอีกก็ไม่ต้องได้พักผ่อนกันพอดี แม่อยู่ที่นี่มีพยาบาลคอยดูแลอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงหนูไม่ต้องเป็นห่วงแม่หรอกนะ”
“แม่จะบอกให้หนูไม่เป็นห่วงแม่ได้ยังไงหนูมีแม่คนเดียวนะคะ”
“แม่รู้แต่แม่ก็อยากให้หนูได้พักผ่อน ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นบ้าง ตั้งแต่แม่ป่วยหนูก็ไม่เคยไปเที่ยวกับเพื่อนเลย แม่อยากให้หนูใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อย่าเอาชีวิตมาผูกติดกับแม่เพราะแม่เองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่กับหนูได้อีกนานแค่ไหน แม่อยากให้หนูแข็งแกร่งและอยู่ได้ด้วยตัวเองไม่ต้องพึ่งพาใคร”
“ค่ะแม่ หนูจะแข็งแกร่งและดูแลตัวเองอย่างดี”
“ริณจ๊ะจำไว้อย่างหนึ่งนะลูก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม่อยากให้หนูเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่หนูจะสามารถเรียนไหว เพราะความรู้จะทำให้หนูใช้ชีวิตได้โดยไม่ถูกใครเอาเปรียบ หนูจะได้มีอาชีพมีงานที่ดีทำ”
“แม่อย่าพูดแบบนี้สิคะ” ริณเรณูไม่ชอบเลยที่มารดาพูดแบบนี้เพราะมันเหมือนเป็นการสั่งเสีย ถึงแม้จะรู้ว่ามารดาอยู่ได้อีกไม่นานแต่เด็กสาวก็ไม่อยากพูดเรื่องเศร้าแบบนี้เลย
“แม่ต้องพูดเพราะแม่รู้ตัวเองดีคุณหมอก็บอกแล้วว่าไม่อาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน ตอนนี้แม่ก็แค่นับวันรอว่าเมื่อไหร่จะถึงวันนั้น”
“แม่ขาหนูรักแม่นะคะ หนูไม่อยากให้วันนั้นมาถึงเลย”
“แต่หนูก็รู้ว่ามันเลี่ยงไม่ได้ ริณจ๊ะถ้าแม่ไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วหนูลองบอกแม่มาซิว่าหนูวางแผนจะทำยังไงกับชีวิตของตนเองต่อ”
“แม่คะเราไม่พูดเรื่องนี้กันได้ไหม”
“ไม่ได้หรอกลูก หนูไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนเหลืออยู่ที่นี่เลยหนูต้องวางแผนอนาคตของตัวเอง แม่ขอโทษที่ไม่สามารถอยู่เห็นความสำเร็จของหนูได้” เรณูพูดแล้วร้องไห้ด้วยเสียงสั่นเครือ เธอรู้สึกเหนื่อยมากๆ แต่เมื่อเห็นลูกสาวมาเยี่ยมก็พยายามยิ้มแย้มแจ่มใสและทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด ทั้งที่ตัวเองรู้สึกเหมือนกำลังจะหมดลมหายใจในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูวางแผนเอาไว้แล้วล่ะค่ะว่าถ้าเรียนจบ ม.6 จากนั้นหนูจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยและเป็นครูให้ได้อย่างที่หนูเคยพูดกับแม่ไว้ค่ะ”
“แม่ขอให้หนูได้ทำอย่างตั้งใจนะลูก แม่จะรอดูความสำเร็จของหนู”
“ขอบคุณค่ะแม่”
“หนูเห็นกล่องเล็กๆ ที่แม่ซ่อนไว้ที่หัวเตียงไหม”
“กล่องไม้ที่มีกุญแจล็อกใช่ไหมคะ”
“ใช่จ้ะลูก กุญแจอยู่ด้านในสุดของลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งนะลูก ในกล่องนั้นในนั้นมีสมุดบัญชี กรมธรรม์ประกันชีวิต เครื่องประดับและของมีค่าอยู่ถ้าหนูจำเป็นต้องใช้เงินให้หนูเอาของมีค่าด้านในไปขายยกเว้นก็แต่แหวนเพชรวงเล็กๆ แหวนวงนั้นมันเป็นแหวนที่พ่อหนูซื้อให้ แม่อยากให้หนูเก็บมันไว้อย่างน้อยก็เป็นของแทนใจที่พ่อเหลือไว้ให้หนู เงินประกันชีวิตอาจจะช่วยให้หนูเรียนต่อจนจบได้อย่างสบาย แม่ขอร้องอีกอย่างหนึ่งนะลูก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหนูอย่าขายบ้านของเราเด็ดขาดเพราะถ้าหนูขายไปแล้วหนูจะกลายเป็นคนไร้ที่อยู่ทันที ส่วนที่นาที่เราให้คนอื่นเช่าหนูจะให้เขาเช่าต่อหรือจะขายก็ได้แม่ไม่ว่าแม่ขอแค่สองอย่างคืออย่าขายแหวนกับขายบ้านแค่นั้นหนูรับปากแม่ได้ไหม”
“ค่ะแม่หนูรับปากเพราะถ้าหนูขายบ้านมันก็เท่ากับหนูขายความทรงจำของเราสองคนไปด้วยหนูไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาดค่ะแม่” ริณเรณูรับปากมารดาแล้วกอดท่านไว้แน่น
หญิงสาวไม่รู้หรอกว่าจะมีจะมีโอกาสได้พูดคุยและกอดกับมารดาแบบนี้ได้ไปอีกนานเท่าไหร่
ริณเรณูสังเกตว่าพักหลังมานี่มารดามักจะได้ให้เธอกลับบ้านอยู่บ่อยๆ และเมื่อเธอถามพยาบาลที่ดูแลมารดาก็พอจะรู้ว่ามารดาของเธอรู้สึกเหนื่อยมากๆ แต่เมื่อเห็นเธอมาเยี่ยมท่านก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติและนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งพี่ริณเรณูตัดสินใจไปตามหาพ่อเพื่อให้ท่านได้มาดูใจมารดาของเธอเป็นครั้งสุดท้าย