หลังจากคุยกับคุณนครินทร์แล้วรามัญก็ขับรถมาทานอาหารก่อนจะกลับมาอยู่คอนโดมิเนียมอีกครั้ง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและไลน์หาริณเรณูเพราะคิดว่าเด็กสาวน่าจะกำลังรอความคืบหน้าจากตนเองอยู่
“วันนี้อาไปเจอพ่อของริณแล้วนะ” รามัญพิมพ์ข้อความแรกส่งไปแล้วยังไม่ทันได้พิมพ์ข้อความที่สองอีกฝ่ายก็พิมพ์กลับมาก่อน
“หนูขอโทรหาได้ไหมคะ” ริณเรณูใจร้อนจนรอให้เขาพิมพ์ตอบกลับไม่ไหวและเธอก็คิดว่าการโทรศัพท์คุยน่าจะรู้เรื่องมากกว่า
ชายหนุ่มไม่ได้พิมพ์ตอบกลับข้อความแต่เขาเป็นคนกดโทรศัพท์ไปหาเด็กสาวก่อนที่ฝ่ายนั้นจะโทรมาเพราะเขากลัวว่าเธอจะเปลืองเงินค่าโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะอาราม พ่อหนูว่ายังไงบ้างเขาจะมาเยี่ยมแม่ไหมแล้วเขาจะมาเมื่อไหร่คะ” เด็กสาวถามรัวเร็วด้วยความตื่นเต้น
“ใจเย็นสิ หนูถามแต่ว่าพ่อจะไปเยี่ยมแม่ไหม แล้วหนูไม่อยากรู้เหรอว่าพ่อเขาเชื่อว่าหนูเป็นลูกหรือเปล่า”
“หนูไม่สนใจเรื่องนั้นหรอกค่ะอาราม หนูสนใจแค่ว่าพ่อเขาจะมาเยี่ยมแม่ของหนูหรือเปล่า” รามัญฟังจากน้ำเสียงที่ถามมาก็พอจะเดาได้ว่าเด็กสาวไม่ได้รู้สึกผูกพันหรืออยากจะมีพ่อสิ่งที่เธอต้องการก็คือให้พ่อกับแม่ได้เจอกันแค่นั้น
“คุณใหญ่บอกว่าจะไปเยี่ยม”
“คุณใหญ่นี่พ่อของหนูใช่ไหมคะ”
“จากนี้อาจจะเรียกเขาว่าคุณใหญ่ก็แล้วกันนะ”
“แล้วเขาจะมาเมื่อไหร่คะ”
“เรื่องเวลาอายังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่เขาก็รับปากอาแล้ว”
“หนูไม่อยากรู้เหรอว่า ตอนที่เขารู้ว่าหนูเป็นลูกและไปตามหาเขาที่บริษัทเขารู้สึกยังไง”
“เขาเชื่อหรือเปล่าคะว่าหนูเป็นลูกของเขา”
“เชื่อสิพออาบอกชื่อของหนู เขาก็รู้เลยว่าหนูคือลูกของเขาแต่เขาก็บอกนะว่าไม่เคยรู้มาก่อนว่าแม่ของหนูท้อง”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะ เขาจะรู้หรือไม่รู้หนูก็ไม่ได้สนใจและไม่ได้อยากให้เขามารับผิดชอบอะไรหนูขอแค่พ่อมาเยี่ยมแม่แค่นั้นเอง”
“ตอนนี้แม่ของหนูอาการเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“อาการของแม่ก็เรื่อยๆ ค่ะ แต่หนูรู้สึกว่าแม่จะเหนื่อยมากๆ หนูแอบถามพยาบาลที่วอร์ดพยาบาลบอกว่าตอนที่หนูไปเยี่ยมแม่จะทำตัวแข็งแรงเหมือนปกติแต่เวลาหนูกลับมาแล้วแม่จะเหนื่อยและแม่จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนพักค่ะ อารามหนูไม่รู้แม่จะอยู่รอพ่อได้อีกนานแค่ไหน”
“อาก็ไม่รู้จะช่วยหนูเรื่องนี้ยังไงหรือเราจะพาแม่หนูมารักษาในกรุงเทพ ที่นี่มีหมอเก่งๆ เยอะเลยเรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องเป็นห่วงหรอกพ่อของหนูฝากอาจัดการทุกอย่างให้แล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะอาราม หมอบอกว่าอาการแม่ได้แค่ประคับประคองเท่านั้นรักษายังไงก็ไม่หายค่ะ”
“แล้วตอนนี้หนูอยู่กับแม่หรือเปล่า”
“ไม่ค่ะหนูกลับมาที่บ้านค่ะ จะไปหาแม่อีกครั้งพรุ่งนี้”
“แล้วใครเป็นคนดูแลแม่ล่ะ”
“ที่โรงพยาบาลมีพยาบาลคอยดูแลค่ะ แม่พักอยู่ห้องรวมก็เลยไม่ต้องมีคนเฝ้า”
“หนูอยากให้แม่ย้ายมาพักห้องพิเศษไหมอาจะจัดการให้”
“ไม่ค่ะ หนูเคยพูดกับแม่เรื่องนี้แล้วแม่บอกว่าพักห้องพิเศษมันเป็นการเพิ่มภาระให้กับหนูเพราะทางโรงพยาบาลมีกฎว่าต้องมีคนเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงค่ะ อีกอย่างการอยู่ห้องรวมแม่ก็มีเพื่อนข้างเตียงคอยพูดคุยมันทำให้แม่ไม่เหงา” ริณเรณูเคยคุยกับมารดาเรื่องนี้แล้วเราอยากให้มารดาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แต่มารดาก็บอกว่าถ้าต้องอยู่ในห้องแคบๆ เธอจะเหงาก็เลยต้องนอนรักษาอยู่ในห้องพักรวม
“ถ้าหนูขาดเหลือหรืออยากให้อาช่วยเหลืออะไรบอกมาได้นะหนูส่งเลขบัญชีของหนูให้เอาได้ไหม อาจะโอนค่าใช้จ่ายไปให้จากนี้ไปพ่อของหนูเขาจะขอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง ทั้งเรื่องแม่เรื่องเรียนรวมถึงค่าใช้จ่ายทุกอย่าง”
“หนูฝากขอบคุณพ่อด้วยนะคะอาราม แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะหนูกับแม่ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินและที่หนูไปบอกพ่อก็ไม่ได้ต้องการให้ท่านช่วยเหลือเรื่องเงินเลย หนูก็บอกอาไปแล้วนี่คะ หนูขอแค่อย่างเดียวค่ะ ขอให้พ่อมาหาแม่” เสียงพูดที่เต็มไปด้วยความคาดหวังทำให้รามัญรู้สึกเห็นใจเด็กสาวเป็นอย่างมาก เขาไม่กล้าบอกริณเรณูว่ากว่าบิดาของเธอจะปลีกตัวไปเยี่ยมมารดาของเธอได้ก็เดือนหน้า เพราะกลัวว่าถ้าบอกไปเด็กสาวจะเสียใจ
“ที่พ่อเขาจะเชื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายหนูไม่ใช่เพราะเขาดูถูกว่าหนูขัดสนเรื่องเงิน แต่เขาอยากช่วยและอยากรับผิดชอบเพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้ทำหน้าที่พ่อเลย”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะอาราม แม่ของหนูทำหน้าที่นั้นแล้วค่ะ หนูไม่จำเป็นต้องมีพ่อก็ได้”
รามัญอยากจะถามเธอกลับไปเหลือเกินว่าถ้าหากมารดาของเธอไม่อยู่บนโลกนี้แล้วใครจะทำหน้าที่นั้นให้เธอ แต่เขาก็เก็บคำถามไว้ในใจเพราะคิดว่ามันคงกระทบกระเทือนจิตใจเด็กสาวเป็นอย่างมากถ้าหากถามออกไปแบบนั้น
“วันนี้อาเอาเบอร์โทรศัพท์ของหนูให้พ่อไปแล้วนะ ถ้ามีเบอร์แปลกๆ โทรมาหนูก็กดรับด้วย ถึงแม้พ่อของหนูอาจจะยังไม่ไปเยี่ยมของหนูในเร็วๆ นี้แต่เขาก็คงจะโทรไปสอบถามอาการ”
“จริงเหรอคะอาราม พ่อบอกว่าจะโทรหาหนูจริงๆ เหรอคะ” ริณเรณูถามด้วยความดีใจ
“จริงสิ”
“แต่ตอนนี้หนูไม่ได้อยู่กับแม่ ถ้าพ่อโทรมาจะทำยังไงล่ะ”
“หนูก็อัดเสียงที่หนูคุยกับพ่อสิ พอถึงเวลาที่หนูไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลหนูก็เอาเสียงนั้นให้แม่ฟัง มันอาจจะเป็นกำลังใจอย่างดีสำหรับแม่หนูก็ได้นะ”
“นั่นสิคะทำไมหนูลืมคิดเรื่องนี้ไปเลยขอบคุณมากๆ นะคะ”
“ไม่เป็นไรอาเองก็อยากจะช่วยหนู”
“ถ้าไม่ได้อาช่วยหนูก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อพ่อได้ยังไง”
“ระหว่างนี้หนูมีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือให้หนูรีบติดต่ออามาทันทีเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก แล้วก็อย่าลืมที่อาบอกส่งเลขบัญชีให้เอาด้วย”
“อาคะแต่หนูไม่อยากได้เงินเลย”
“ริณอาจจะยังไม่จำเป็นต้องใช้เงินในตอนนี้ แต่เก็บไว้ก็ได้นะ เวลาผู้ใหญ่ให้ของเราก็ควรรับไว้และผู้ใหญ่ที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเขาเป็นพ่อของหนูซึ่งเขาควรต้องทำหน้าที่นี้ตั้งแต่สิบหกปีที่แล้ว มันอาจจะดูสายเกินไปที่มารับผิดชอบหนูตอนที่หนูโตแล้ว แต่พ่อของหนูเขาก็บอกว่าเขาไม่เคยรู้เลยว่าแม่ของหนูท้อง เรื่องนี้ถ้าพ่อเขาโทรไปหา หนูก็ลองถามเขาอีกทีหนึ่งนะว่าเพราะอะไร”
รามัญไม่กล้าเล่าเรื่องไม่มีคนส่งภาพถ่ายของคุณเรณูแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นให้ริณเรณูฟังเพราะคิดว่าเรื่องนี้เธอควรฟังจากปากบิดาของเธอน่าจะดีกว่า
ถ้าว่ากันตามจริงแล้วเขาก็คือคนนอกแต่ที่ช่วยแบบนี้เพราะกลัวว่าถ้าตนเองไม่ช่วยเหลือคุณนครินทร์แล้วคุณนครินทร์จะไปให้คนอื่นช่วยซึ่งเขาคิดว่ามันจะเสี่ยงเกินไป เพราะรู้ดีว่าคุณศิตาภรรยาของคุณนครินทร์นั้นเป็นคนหูตากว้างขวางมากและถ้าเธอรู้เรื่องนี้คนที่เดือดร้อนแต่ไม่ใช่แค่คุณนครินทร์แต่จะเป็นริณเรณูกับมารดาของเธอ รามัญมองว่าเด็กสาวคงรับมือกับความขี้หึงของคุณศิตาไม่ได้แน่
“ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูจะส่งให้ หนูขอบคุณอารามมากๆ นะคะ”
“หนูมีอะไรจะถามอาอีกไหม”
“ไม่มีค่ะ”
“ถ้าหนูมีปัญหาหรืออยากให้อาช่วยอะไรหนูโทรหาอาได้ตลอดนะ อาขอวางสายก่อนหนูจะได้ไปทำธุระส่วนตัวของหนูบ้าง”
“ได้ค่ะขอบคุณนะคะอารามเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่สุดเลยค่ะ” เด็กสาวกล่าวขอบคุณก่อนจะกดวางสายแล้วยิ้มเพียงแค่รู้ว่าบิดายอมรับว่าเธอเป็นลูกและจะมาหามารดาริณเรณูก็ดีใจมากๆ แล้ว