ฟรินท์รีบเหยียบคันเร่ง ขับรถกลับคอนโดในตอนเช้าตรู่ หลังจากตื่นนอนอยู่ในห้องพักที่ผับของธันเดอร์ นานมากแล้วที่ไม่ได้เมาจนจำอะไรไม่ได้ขนาดนี้
จำได้ลาง ๆ ว่าก่อนที่จะหลับไปเขากำลังคุยโทรศัพท์กับเรนเดียร์อยู่ และเมื่อเอาโทรศัพท์มาเช็คดูก็เป็นจริงอย่างที่คิด
มือหนาข้างหนึ่งยกขึ้นนวดขมับแรง ๆ อีกข้างก็กำพวงมาลัยแน่น มีเรื่องเครียดรออยู่ข้างหน้าอีกแล้ว วันนี้หากเขาบริษัทสายอีกวัน มีหวังโดนพ่อตัดเงินเดือนแน่ เห็นกลัวแม่เขาหงอแบบนั้น แต่ท่านเป็นคนเจ้าระเบียบและเคร่งครัดเรื่องงานมาก
สุดท้ายแล้วก็กลัวพ่อด่าเลยตัดสินใจขับรถตรงมาที่บริษัทเลย เปลี่ยนเสื้อจากในรถที่เขาทิ้งเอาไว้หลายตัว
"คุณฟรินท์คะ"
มาถึงหน้าห้องทำงาน อรปรียาเลขาหน้าห้องก็เรียกเขาเอาไว้ พร้อมกับทำสีหน้าไม่ค่อยดี
"มีอะไร?"
"คือท่านประธานกับคุณปิ่นรออยู่ในห้องค่ะ"
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมา ยกข้อมือดูนาฬิกาเป็นเวลาเกือบเก้าโมงแล้ว อย่างน้อยวันนี้เขาก็ไม่ได้สาย มาก่อนเวลาตั้งห้านาที
แกร๊ก!!!
"ว่าไงจ๊ะเจ้าลูกชาย"
เสียงหวานของคนเป็นแม่ดังขึ้นก่อนตัว ส่วนคนเป็นพ่อกำลังนั่งอ่านเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะทำงานของเขาเหมือนทุกวัน
"มาแต่เช้าเลยนะครับ"
"นี่คือคำทักทายจากลูกชายที่ไม่กลับบ้านเกือบเดือนนะเหรอ"
"ผมงานยุ่ง แม่ก็รู้นี่ครับ ไม่เชื่อก็ถามพ่อดูเลย"
ถ้าคนเป็นแม่ไม่พูดขึ้นมา เขาก็ลืมไปเหมือนกันว่าตัวเองไม่ได้กลับบ้านเกือบเดือนแล้วจริง ๆ ล่าสุดน่าจะตอนเข้าไปเยี่ยมหลานตอนเพิ่งคลอดใหม่ ๆ
"จะยุ่งอะไรขนาดนั้น ทำตัวอย่างกับติดสาวที่ไหนอยู่"
ฟรินท์ชะงักมองหน้าพ่อกับแม่สลับกัน ตอนนี้ท่านทั้งสองจ้องหน้าเขาเหมือนกำลังจับผิดอะไรบางอย่าง"สาวที่ไหนกับครับ ไม่มีหรอก ผมก็นึกว่าแม่กำลังเห่อหลานอยู่เสียอีก"
เขายกเรื่องหลานขึ้นมาพูด ซึ่งก็ได้ผลเมื่อคนเป็นพ่อก้มหน้าอ่านเอกสารในแฟ้มเหมือนเดิม ส่วนคนเป็นแม่ก็ดึงมือให้เขานั่งลงข้างกับท่าน
"พูดเหมือนน้อยใจเลยนะ หรือลูกคิดแบบนั้นจริง ๆ"
ปิ่นมุกรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ได้ยินลูกชายคนโตพูดแบบนั้น อันที่จริงช่วงนี้เธอกับคนเป็นสามีก็กำลังเห่อหลานชายตัวน้อยอยู่จริง เลยกลัวว่าจะละเลยความรู้สึกลูกชายอีกคน
"ผมไม่ได้น้อยใจอะไรเลยครับ ดีใจเสียอีกที่แม่ไม่เหงา"
"เราก็หาแฟนแล้วก็แต่งงานสักทีสิ แม่จะได้มีหลานเพิ่ม"
"จะเอาเวลาที่ไหนไปหาครับ กลางวันอยู่นี่ ตอนเย็นไปสนามแข่ง"
"เมื่อวานพ่อบอกว่าเรามาทำงานสาย โทรหาตาธัน ก็บอกว่าลูกไม่ได้ไปนั่งที่ผับ แม่ก็หลงดีใจว่าเรากำลังกกสาวที่ไหนให้แม่ชื่นใจบ้าง"
ฟรินท์นึกขำในใจ ถ้าท่านรู้ว่าสาวที่เขากกคือลูกสาวของเพื่อนสนิทตัวเองจะเป็นยังไงนะ แม่คงไม่อะไรมากหรอก แต่คนเป็นพ่อต่างหากที่เขากลัว
“ให้แม่หลงลูกไอ้โซลไปก่อนครับ ของผมคงอีกนาน”
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะลูก ถ้าหาไม่ได้ให้แม่ช่วยดีไหม”ปิ่นมุกชั่งใจอยู่นานว่าจะพูดแบบนี้ออกไปดีไหม ทั้ง ๆ ที่มันคือจุดประสงค์หลักที่เธอให้คนเป็นสามีพามาในวันนี้ ตอนนี้บรรดาลูกชาย ลูกสาวของเพื่อนสนิทต่างทยอยมีแฟนกันไปหลายคนแล้ว แต่ทว่าลูกชายคนโตของเธอยังไร้วี่แววที่จะมีคู่ครอง
ทำให้คนเป็นแม่อย่างเธอเริ่มคิดหนัก ยิ่งโซลลูกชายอีกคนมีหลานคนแรกให้เธอ ทำให้ต้องรีบหันกลับมาใส่ใจลูกชายคนโตแล้วว่าฟรินท์มีข้อบกพร่องอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงยังหาแฟนไม่ได้เสียที หรือต้องให้เธอจัดการหาคนที่เหมาะสมให้เอง
“แม่คงไม่ได้หมายถึงหาผู้หญิงให้ผมมาหมั้นหรือแต่งงานอะไรทำนองนั้นใช่ไหมครับ”ฟรินท์ถามเพื่อความแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้เข้าใจประโยคนั้นของคนเป็นแม่ผิดเพี้ยนไป
“ก็ไม่เชิง แค่จะแนะนำให้รู้จัก เผื่อว่าลูกจะถูกใจ”
ปิ่นมุกพูดออกมาด้วยเสียงเบาหวิว เธอไม่ได้อยากทำแบบนี้นัก ก่อนจะมาคนเป็นสามีก็พูดเรื่องนี้อย่างจริงจังแล้วว่า เรื่องคู่ชีวิตของลูกต้องให้ลูกหาเอง แต่เธอก็กลัวว่าลูกจะอยู่เป็นโสดไปจนน้องสาวแต่งงาน เพราะตอนนี้มิลลิก็เรียนปีสุดท้ายแล้ว
ส่วนฟรินท์ที่ได้ยินประโยคนั้นของแม่ก็ต้องพ่นลมหายใจออกมา ไม่คิดว่าท่านจะถึงขั้นอยากคลุมถุงชนเขาจริง ๆ ปกติพ่อกับแม่ก็ให้อิสระในการใช้ชีวิตกับเขาทุกอย่าง แต่น่าจะเป็นเพราะน้องสาวของเขาเองก็มีแฟนแล้ว ท่านก็บ่นเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนน้องชายเขาแต่งงาน ตอนนี้คงกลัวว่ามิลลิจะแต่งงานแซงหน้าเขาไปอีกคน
“ผมจะหาเองครับ ถ้าไม่ได้จริง ๆ ผมจะบอกแม่นะครับ”
“จริงนะลูก หรือว่าจะลองไปทานข้าวกับน้องเขาสักมื้อดีไหม”
“…..”
“แค่ทำความรู้จักกันไว้นะ”
“อะ แฮ่ม!!!”
ถึงประโยคนี้ เพลิงที่นั่งฟังบทสนทนาของสองแม่ลูกตลอดก็ต้องส่งเสียงขัดจังหวะออกไป เขาไม่เห็นด้วยเรื่องที่ปิ่นมุกจะทำ ยังติติงไปว่าหากเป็นตัวเราเมื่อก่อนก็คงไม่ชอบเหมือนกันถ้าพ่อกับแม่ทำแบบนี้ ยังจำได้ตอนคิณเพื่อนรักของเขาถูกจับให้แต่งงานกับขวัญตา ตอนนั้นเพื่อนเองก็โวยวายและไม่ชอบใจ แต่ก็โชคดีไปที่อยู่กันไปก็รักกัน แต่ไม่ใช่ทุกคู่จะเป็นแบบนั้น เขายังมองว่าคู่ชีวิตของใคร คน ๆ นั้นก็ต้องเป็นคนเลือกเอง
“ลูกก็บอกแล้วไง ว่าจะหาเอง พี่ว่ากลับดีกว่านะ ลูกจะได้ทำงานด้วย”
ฟรินท์หันไปสบตาคนเป็นพ่อ ก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งประจำที่ของตัวเอง ทำเป็นก้มหน้าอ่านเอกสารที่เลขาเอามากองไว้ให้แต่เช้า
“งั้นแม่กลับแล้วนะ อย่าลืมกลับไปกินข้าวที่บ้านบ้างนะ”
“ครับแม่ สวัสดีครับ”
เมื่อพ่อกับแม่ออกจากห้องไป ฟรินท์ก็ถอนหายใจออกมา เมื่อก่อนก็ไม่เคยคิดว่าการที่เราจะอยู่เป็นโสดจะทำให้คนเป็นพ่อแม่เป็นห่วงได้ขนาดนี้ แต่ในขณะที่เขามีความรู้สึกให้ผู้หญิงคนหนึ่งไปแล้ว แต่ไม่ได้คบกันออกหน้าออกตา ก็ทำให้เขาเริ่มกลับมาคิดแล้วว่า ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันดีแล้วจริงหรือ ไม่ใช่ว่าเขาแค่กำลังหลอกตัวเองว่ามีความสุขจริง ๆ
17.30 น.
ฟรินท์เข้ามาเคลียร์เอกสารที่สนามแข่งเหมือนทุกวัน แต่ทว่าวันนี้เมื่อเขาเข้ามาที่ออฟฟิศกลับเจอคนที่ทำให้เขาคิดมากมาตลอดทั้งวันนั่งอยู่ด้วย
“มีเอกสารไหมว่ะ”เขาถามเพราะเห็นบนโต๊ะทำงานว่างเปล่า
“พี่เรนเคลียร์ให้ไปแล้วก่อนมึงมา เห็นว่ามีเรื่องจะคุยกับมึง”
เรนเดียร์จ้องหน้าเพื่อนน้องชายอย่างคาดโทษ นอกจากเรื่องเมื่อคืนแล้ว ยังมีเรื่องวันนี้ที่เธอติดต่อเขาไม่ได้เลยตั้งแต่เช้า เธอโทรไปเขาก็ไม่รับ ข้อความที่ส่งเขาก็ไม่เปิดอ่าน ไม่รู้ว่ายังไม่พอใจอะไรเธออีก วันนี้เธอตั้งใจแล้วว่าจะคุยกับเขาให้รู้เรื่อง
“มีอะไรครับ?”
“คุยกันไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูไปดูรถที่อู่ก่อน”ไทเกอร์ที่มีธุระกระทันหันเพราะที่อู่เพิ่งส่งข้อความให้เขาไปดูรถที่ไปส่งซ่อมไว้วันก่อน ก็รีบเดินออกจากห้องทันทีโดยไม่คิดอะไร แต่ทว่ากลับถูกใจคนเป็นพี่สาวยิ่งนักที่ทุกอย่างกำลังเป็นใจขนาดนี้
ร่างบอบบางสมส่วน เดินไปล็อคประตูทันทีเมื่อน้องชายเดินออกไปแล้ว ซึ่งฟรินท์เองก็ไม่ได้ห้ามที่เธอทำแบบนั้น เพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเธอมีเรื่องอะไรจะคุยกับเขาถึงขนาดแหกกฏตัวเอง แล้วลงทุนมาหาเขาถึงที่นี่
“ทำไมนายไม่รับโทรศัพท์ฉันทั้งวัน”
“ฉันงานยุ่ง”
“นี่พ่อนายใช้งานให้รองประธานทำเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”
เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งขรึมของชายหนุ่ม เธอก็แกล้งเย้าแหย่เขาเพื่อให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดขนาดนี้ แต่ดูเหมือนจะคิดผิดเมื่ออีกฝ่ายยังคงทำหน้าเฉยเมยใส่เธออยู่เหมือนเดิม