ไม่นานนัก หลิงอวิ๋นก็มาถึงสถานที่จัดงานประมูล โรงแรมข่ายซินเหาเย่ว โรงแรมหรูระดับแพลตตินั่ม 5 ดาวเพียงแห่งเดียวในเมืองนี้
บรรดาแขกผู้มีเกียรติต่างทยอยกันมาถึงแล้ว เวลานี้สถานที่จัดงานประหนึ่งมหกรรมแสดงรถหรู เรียกได้ว่ารถหรูหลากหลายแบรนด์ได้มารวมตัวกันที่นี่ทั้งหมดแล้ว
หลิงอวิ๋นจอดรถเรียบร้อยดีแล้ว จึงเดินตรงไปยังห้องอวิ๋นจิ่นซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน คนจำนวนมากรวมตัวจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บริเวณทางเข้า กลุ่มละสามคนบ้าง ห้าคนบ้าง ซึ่งล้วนแล้วเป็นบรรดาเศรษฐีผู้มีชื่อเสียงในเมืองแห่งนี้
สายตาอันเฉียบคมของหลิงอวิ๋นมองเห็นซ่งอวี่ถงในทันที ชุดราตรีคอวีสีไวน์แดงที่เธอสวมในวันนี้ เผยให้เห็นเสน่ห์เย้ายวนใจ หากลึกลงไปอีกสักหน่อยก็คงจะเกินงาม
ต้นคองามระหงขับไหปลาร้าให้ดูเด่นชัด ผมสีดำลอนสยายปล่อยตามธรรมชาติ คิ้วเรียวงาม สันจมูกย่นเล็กน้อย ริมฝีปากบางสีแดงกำลังพูดคุยกับผู้คนอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางฝูงชนเธอดูโดดเด่นพร่างพราว จนใครต่อใครต้องเหลียวมอง
แต่สิ่งที่ทำให้หลิงอวิ๋นประหลาดใจก็คือคนที่ยืนอยู่ข้างกายของซ่งอวี่ถง หน้าตานั้นไม่คุ้นเคย อายุอานามพอ ๆ กับซ่งอวี่ถง นัยน์ตาสีฟ้า สวมสูทสีดำ น่าจะเป็นคู่ของเธอในวันนี้
คนทั้งคู่ดูท่าทางจะสนิทสนมกันมาก และดูเหมือนจะเป็นเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานานแล้ว ซ่งอวี่ถงหัวเราะได้ร่าเริงขนาดนั้น แต่รอยยิ้มแบบนั้น เธอไม่เคยมีให้กับตนเองมาก่อนเลย
นายคนนี้เป็นใครกัน?
เขาลองคิดอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง หลิงอวิ๋นนึกไม่ออกเลยสักนิด ไอ้หมอนี่ ตนเองยังคงได้ชื่อว่าเป็นสามีของซ่งอวี่ถงนะ เธอก็ช่างกล้าพาไอ้ผู้ชายเฮงซวยคนนี้มาออกงานที่เป็นทางการขนาดนี้
อีกทั้งเธอไม่ได้กลับบ้านทั้งคืน ให้ตายสิ หรือจะโดนสวมเขาเข้าแล้ว?
หลิงอวิ๋นเดินเข้าไปหาโดยเสแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซ่งอวี่ถงประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นการปรากฏตัวของหลิงอวิ๋นที่นี่ แต่เธอก็ปรับอารมณ์ให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว
“นายมาได้ยังไงกัน? ” ซ่งอวี่ถงถามหลิงอวิ๋นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ทำไม ผมมาไม่ได้เหรอ ใช่แล้ว คุณยังไม่ได้แนะนำเลย คุณคนนี้คือ? ”
หลิงอวิ๋นเพ่งสายตาไปที่ชายคนนั้น สายตาดุดันทิ่มแทงจนทำให้ชายผู้นั้นรู้สึกอึดอัด
“อ้อ คนนี้คือหลิวจื่อหราน เพื่อนสมัยเรียนของฉันเอง เป็นผู้สืบทอดของต้าเยว่อินเตอร์กรุ๊ป ครั้งนี้เขากลับประเทศมาเพื่อทำธุรกิจ ฉันเป็นคนเชิญเขามาร่วมงานประมูลครั้งนี้เอง”
ซ่งอวี่ถงแนะนำเพื่อนคนนี้ให้แก่หลิงอวิ๋นอย่างจริงจัง ดู ๆ แล้วเธอคงจะให้ความสำคัญกับคนผู้นี้เป็นอย่างมาก
หลิวจื่อหรานก็สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ เขาฝืนยิ้มและยื่นมือออกไปทักทายหลิงอวิ๋น
แน่นอนว่าหลิงอวิ๋นไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ให้พลาดไป เขาจึงยื่นมือออกไป เมื่อทั้งสองได้จับมือกัน หลิงอวิ๋นออกแรงบีบทันที ชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามรู้สึกเจ็บ แต่ในที่สาธารณชนขนาดนี้ก็ไม่กล้ายอมลดละ ทำได้เพียงอดทนยอมเจ็บ เหงื่อเม็ดเป้งก็ผุดขึ้นบนศีรษะของหลิวจื่อหราน
“ใช่แล้ว ผมขอแนะนำตัวเองบ้าง ผมชื่อหลิงอวิ๋น เป็นสามีของซ่งอวี่ถง ได้โปรดชี้แนะด้วย”
ซ่งอวี่ถงเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดี จึงรีบเข้าไปแยกทั้งคู่ออกจากกัน เธอกลัวว่าพวกเขาทั้งสองจะทะเลาะกันขึ้นมา
หลิงอวิ๋นคลายมือออก ก็แค่อยากจะสั่งสอนไอ้หมอนี่สักเล็กน้อย ให้รู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร
หลิวจื่อหรานเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก้มหน้าลงมองมือที่แดง มุมปากเบะเป็นเส้นตรง ดวงตาโกรธขึ้ง แต่เขาไม่รู้ว่าจะระบายออกไปอย่างไร จึงทำได้เพียงยืนเซ่ออยู่ตรงนั้น
ซ่งอวี่ถงลากหลิงอวิ๋นไปอีกทาง แล้วจึงกระซิบถามเขาว่าทำไมจึงทำแบบนั้นกับเพื่อนของเธอ
ทำไมหรือ? หึหึ!
หลิงอวิ๋นยิ้มอย่างขมขื่น ถามกลับซ่งอวี่ถง “คุณไม่ได้กลับบ้านทั้งคืน มันสมเหตุสมผลแล้วหรือ ก็เพราะไอ้คนคนนั้น นี่มันอะไรกัน! "
“หลิงอวิ๋น นายควรให้เกียรติฉันบ้างนะ อย่าได้ทำให้ฉันต้องขายหน้าเลย หลิวจื่อหรานเป็นเพื่อนของฉัน อนาคตจะเป็นพาร์ทเนอร์ของจาวฮุยกรุ๊ปด้วย นอกจากนี้ ฉันจะไปทำอะไรที่ไหนจะต้องรายงานให้นายรับทราบด้วยหรือ?”
ซ่งอวี่ถงเชิดหน้าโต้กลับ จนหลิงอวิ๋นหมดคำพูด คำพูดของเธอทำให้หลิงอวิ๋นพูดไม่ออก
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิงอวิ๋นรู้สึกท้อใจ จึงเดินผละออกจากซ่งอวี่ถงเข้าไปในสถานที่จัดงานเพียงลำพัง
ซ่งอวี่ถงมองการจากไปของหลิงอวิ๋น ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นจับมือกับหลิวจื่อหรานเตรียมตัวที่จะเข้าสู่งานประมูลด้วยกัน โดยไม่สนใจหลิงอวิ๋นอีก
เมื่อถึงเวลาเข้าสู่สถานที่จัดงานแล้ว ทุกคนต่างหยิบบัตรเชิญเพื่อเตรียมตัวเข้างาน
มาถึงคราวของหลิงอวิ๋น เจ้าหน้าที่ถามหาบัตรเชิญจากเขา
หลิงอวิ๋นส่ายศีรษะ แจ้งว่าไม่มี
“เช่นนั้นต้องขออภัยด้วยครับ คุณผู้ชาย กิจกรรมครั้งนี้ของพวกเราจำกัดเฉพาะผู้ที่ได้รับเชิญ หากคุณไม่มีบัตรเชิญก็ไม่สามารถเข้าร่วมงานได้”
หลิงอวิ๋นรับทราบกฎเกณฑ์ของการประมูลครั้งนี้จึงไม่ได้โต้แย้ง
เขาหยิบการ์ดใบหนึ่งส่งให้เจ้าหน้าที่พร้อมอธิบายว่า “ผมรับทราบถึงกฎเกณฑ์ของพวกคุณ แต่งานประมูลเพื่อการกุศล ใครก็ตามที่มีความสามารถเพียงพอควรมีส่วนร่วมในกิจกรรมการกุศลครั้งนี้ ผมคิดว่าผู้จัดงานของคุณก็น่าจะคิดเห็นแบบเดียวกันนี้ด้วย”
เจ้าหน้าที่รับบัตรไป พบว่าเป็นบัตรแม่เหล็กสีดำที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ด้านบนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดซึ่งเขาไม่เข้าใจ แต่เพชรที่อยู่ตรงกลางนั้นแพรวพราวเป็นพิเศษ
“นี่เป็นบัตรซูเปอร์แบล็กการ์ดของธนาคารเครดิตสวิส คุณไปรายงานให้ผู้ที่รับผิดชอบของพวกคุณดู เขาน่าจะอนุญาตให้ผมเข้าร่วมงานได้”
พนักงานค่อนข้างลำบากใจ เขารู้ว่าคนตรงหน้าผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะล่วงเกินได้ เขาจึงรีบเข้าไปในห้องจัดงาน และบอกเล่าถึงสถานการณ์ให้ผู้รับผิดชอบได้รับฟัง
ผู้รับผิดชอบกิจกรรมหยิบบัตรซูเปอร์แบล็กการ์ดขึ้นมาดู แน่นอนว่าไม่ใช่ของปลอม แต่เขาก็ยังคงไม่กล้ามั่นใจเช่นกัน
บัตรเครดิตใบนี้ของธนาคารเครดิตสวิส อย่าว่าแต่ของที่นำมาประมูลในนี้เลย หากซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 767 สักลำก็ยังมีเหลือทอน นี่เป็นบัตรเครดิตส่วนบุคคลหลายสกุลเงินระดับบนสุดเพียงหนึ่งเดียวของธนาคารเครดิตสวิส และมีเพียงไม่กี่ใบในโลกใบนี้
ทำไมการ์ดใบนี้ถึงไปอยู่ในมือคนผู้นี้ได้ ผ้าขี้ริ้วห่อทองจริง ๆ
ผู้รับผิดชอบนำการ์ดใบนี้ส่งคืนให้กับหลิงอวิ๋นที่บริเวณหน้างาน พร้อมทั้งอธิบายกฎของงานประมูล
เขาอธิบายแก่หลิงอวิ๋นว่า ถึงแม้หลิงอวิ๋นจะมีบัตรซูเปอร์แบล็กการ์ดที่สามารถพิสูจน์สถานะทางการเงินของเขาได้ แต่ก็ยังคงไม่สามารถเข้าไปในงานได้ เพราะกฎนั้นเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าผู้ไม่มีบัตรเชิญไม่สามารถเข้าร่วมได้ เขาเป็นเพียงผู้รับผิดชอบกิจกรรมตัวเล็ก ๆ ซึ่งไม่สามารถแบกความรับผิดชอบนี้ได้
ในเวลานี้ หลิงอวิ๋นตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากคิดอยากจะเข้าไปก็จำเป็นต้องออกแรง แต่หากเข้าไปไม่ได้ ก็คงจะไม่สามารถบรรลุหน้าที่ที่ปีเตอร์ จาง มอบหมายให้เขาได้
ในขณะที่หลิงอวิ๋นกำลังสับสนอยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้าง ๆ เขา
“ให้เขาเข้าไปเถอะ เขาคือเขยรองของตระกูลซ่ง เป็นน้องเขยของผมเอง ทำไมสายตาของพวกคุณย่ำแย่ขนาดนี้?
หลิงอวิ๋นมองไปทางต้นเสียง เป็นคังเล่อเหว่ยและซ่งอวี่โหมวที่กำลังมาถึงสถานที่จัดงาน
เมื่อเห็นคังเล่อเหว่ย ผู้รับผิดชอบคนนั้นจึงรีบเข้าไปทักทายเขาด้วยความเคารพ "ได้ครับ นายน้อย"
หลิงอวิ๋นจึงได้รับบัตรเข้างาน คังเล่อเหว่ยปราดเข้ามาหาและพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่นึกเลยว่าน้องเขยก็มีอารมณ์สุนทรีย์กับเขาด้วย อยากจะเข้ามาร่วมสนุกด้วยกันล่ะสิ?
“ขอบคุณ! ”
หลิงอวิ๋นไม่อยากจะใส่ใจคังเล่อเหว่ย เอ่ยขอบคุณไปคำก็เตรียมตัวเข้าไปข้างใน
ซ่งอวี่โหมวกลอกตาขึ้นบน สบถขึ้นมาหนึ่งคำ——สันดาน!
หลิงอวิ๋นรู้ดีว่าคำพูดนี้จงใจให้เขาได้ยิน ช่างเถอะ เขาเดินตรงเข้าไปที่จัดงาน
“คุณดูเขาสิ ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาคงควักออกมาได้ไม่ถึงหมื่นหยวน ยังจะกล้ามาวุ่นวายอีก?” ซ่งอวี่โหมวพูดอย่างดูแคลน
“อ้าว ไม่ว่ายังไง เขาก็เป็นน้องเขยของคุณนะ ทำไมคุณพูดแบบนี้ล่ะ? ”
“คุณลองถามคุณแม่และน้อง ๆ ดูสิ เขาเป็นลูกเขยของบ้านนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน ก็ไม่ต่างกับคนรับใช้เท่าไรหรอก”
คังเล่อเหว่ยมองดูท่าทางได้ใจของซ่งอวี่โหมว ทั้งคู่อดหัวเราะไม่ได้ พวกเขาสนุกกับการล้อเลียนหลิงอวิ๋นจริง ๆ
หลิงอวิ๋นเข้าไปในสถานที่จัดงาน พบว่าผู้คนมาร่วมกันไม่น้อยเลย มีหลายคนที่หน้าตาคุ้นเคย โดยพื้นฐานแล้วคนมีหน้ามีตาในเมืองนี้ต่างมารวมกันที่นี่แล้ว
หวางอวิ๋นมาถึงก่อนหน้าแล้ว ครั้งนี้บริษัทอสังหาฯ ฝูติ่งและจาวฮุยกรุ๊ปเป็นผู้สนับสนุนหลัก วันนี้ซ่งเหรินฮุยติดธุระ หวางอวิ๋นจึงเป็นตัวแทนของจาวฮุยกรุ๊ปในครั้งนี้
โดยทั่วไปแขกผู้มีเกียรติจะนั่งตรงแถวแรก หลิงอวิ๋นเจาะจงเลือกที่นั่งแถวที่สอง ตำแหน่งด้านหลังของซ่วอวี่ถงและเหลิวจื่อหราน เขาอยากจะดูว่าสองคนนี้จะมีลูกเล่นอะไร
เวลานี้ ผู้ชมพร้อมใจกันลุกขึ้น เสียงปรบมือดังขึ้น
ผู้ว่ามณฑลและนายกสมาคมการกุศลแห่งมณฑลได้เดินเข้ามาในงานประมูลการกุศลพร้อมกัน นั่นแสดงว่างานกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
ตามด้วยคำปราศรัยและการแสดงความยินดีแด่แขกผู้มีเกียรติของผู้ว่าฯ หวางอวิ๋นและคังเล่อเหว่ยในฐานะประธานผู้สนับสนุนก็ขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์ด้วย
นับแต่นี้ต่อไป การประมูลจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
สมบัติแต่ละชิ้นถูกทยอยนำขึ้นมาโชว์ ผู้เข้าประมูลต่างแข่งขันกันเสนอราคา ไม่นานนักสมบัติเหล่านี้ก็มีเจ้าของจับจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ระหว่างนี้ หลิวจื่อหรานและซ่งอวี่ถงพูดคุยหัวเราะกัน ทำประหนึ่งหลิงอวิ๋นเป็นธาตุอากาศ ทำเหมือนกับไม่มีเขาอยู่ตรงนั้น
ทุกการกระทำตกอยู่ในสายตาของหลิงอวิ๋น สำหรับเขาแล้ว สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องน่าอัปยศอดสู
นี่เป็นการทำให้หลิงอวิ๋นเป็นตัวตลกต่อสาธารณชน มีใครไม่รู้บ้างว่าซ่งอวี่ถงเป็นภรรยาของเขา
ไม่ต่างกับการถูกสวมเขา หลิงอวิ๋นทำได้เพียงอดกลั้น เพราะเขากำลังรอให้สมบัติชิ้นสุดท้ายขึ้นประมูล และนั่นจะเป็นเวลาของเขา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สมบัติส่วนใหญ่ได้รับการประมูลไปอย่างสมบูรณ์แบบ
เวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เวลานี้ “น้ำตาแห่งฟิกริส” สมบัติชิ้นสุดท้ายกำลังจะถูกนำขึ้นแสดง
ตำนานเล่าว่านี่เป็นสมบัติล้ำค่าที่เป็นของหมั้นหมายของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ เป็นเพชรสีอำพันรูปลูกแพร์ที่มีขนาดถึง 131.4 กะรัต เป็นมรดกตกทอดของตระกูลฟิกริส เนื่องจากพระนางเอลิซาเบธไม่อภิเษกสมรสเลยตลอดพระชนม์ชีพ ดังนั้นจึงเรียกว่า “น้ำตาแห่งฟิกริส”
ตำนานเดียวกันนี้เล่าว่า เจ้าชายฟิกริสเป็นผู้มอบเพชรสีอำพันนี้เม็ดโตให้แก่พระองค์ โดยหวังว่าจะได้เกี่ยวดองครองคู่กัน แต่เรื่องราวกลับดำเนินไปทางตรงกันข้าม เจ้าชายฟิกริสไม่สามารถสมหวัง และจากโลกนี้ไปพร้อมน้ำตา
เพชรสีอำพันรูปลูกแพร์เม็ดโตเม็ดนี้สาบสูญไปหลายร้อยปีแล้ว คาดไม่ถึงเลยว่าจะปรากฏขึ้นในงานประมูลครั้งนี้ เศรษฐีและผู้มีชื่อเสียงต่างก็มารวมตัวกันเพราะสมบัติล้ำค่าแห่งศตวรรษเม็ดนี้
เวลานี้ ไฟในห้องดับลง แสงไฟสาดไปที่กลางเวที นักบัลเลต์รุ่นเยาว์สองคนปรากฏตัวขึ้นบนนั้น คนหนึ่งสวมชุดกระโปรงสไตล์อังกฤษโบราณ อีกคนหนึ่งสวมชุดเจ้าชาย เรื่องราวสวยงามก็ได้ถูกถ่ายทอดผ่านศิลปะการระบำบนปลายเท้า
ถึงเวลานี้ ผู้ชมล้วนเข้าใจว่านี่เป็นการแสดงเรื่องราวความรักที่สวยงามระหว่างเจ้าชายฟิกริสและพระนางเอลิซาเบธที่ 1
และในเวลานี้ แสงไฟทั้งหมดส่องไปยังศีรษะของนักบัลเลต์หญิง จากนั้นนักบัลเลต์ชายก็ถือมงกุฎและนำไปสวมบนศีรษะของเธอ ”น้ำตาแห่งฟิกริส” ก็ได้ทอประกายอยู่บนมงกุฎนั้นแล้ว
ผู้ชมต่างตะโกนและโห่ร้อง สุภาพสตรีจำนวนนับไม่ถ้วนต่างตกตะลึงกับสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้
หลิงอวิ๋นก็อยู่ในอาการตะลึงเช่นกัน เขาอยู่ในตระกูลที่มั่งคั่ง ได้เห็นสมบัติล้ำค่ามานับไม่ถ้วน แต่ไม่มีสิ่งใดที่พร่างพรายได้เท่ากับ ”น้ำตาแห่งฟิกริส” แสงประกายอันเจิดจ้าแทบจะทำให้ตาของเขาบอด
นี่เป็นสมบัติที่ประเมินค่ามิได้จริง ๆ !
ละครเวทีสิ้นสุดลง บนเวทีคงเหลือไว้เพียงมงกุฎที่ประดับด้วย “น้ำตาแห่งฟิกริส” นั้น
ผู้ดำเนินการประมูลยกค้อนประมูลขึ้นและตะโกนราคาเริ่มต้น
“สมบัติลำดับที่ 88 สมบัติล้ำค่าที่ตกทอดมาจากอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร “น้ำตาแห่งฟิกริส” ราคาเริ่มต้นที่ 10 ล้านหยวน และราคาจะเพิ่มขึ้น 100,000 หยวนทุกครั้งที่ยกป้ายประมูล การประมูลจะเริ่มต้น ณ บัดนี้! "
นักข่าวที่อยู่ในงานต่างต้องกลั้นหายใจ ถึงแม้ว่าอัญมณีจะเลิศล้ำ แต่ราคานี้ก็ทำให้ผู้คนต่างพูดไม่ออก มันสูงมากเหลือเกิน
แต่แล้ว ก็มีคนเริ่มเปิดราคาอย่างรวดเร็ว!
“หมายเลข 10 สิบล้านหนึ่งแสน! ”
“หมายเลข 19 สิบล้านสองแสน! ”
……
ตลอดเวลาหลิงอวิ๋นเฝ้าสังเกตการณ์หลิวจื่อหรานและคังเล่อเหว่ย พวกเขาถึงจะเป็นผู้ซื้อที่มีความสามารถต่อกรกับเขาเพื่อแย่งชิงสมบัติล้ำค่าในวันนี้ได้
ราคาขยับไปถึง 12 ล้านอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผู้ที่ยกป้ายทยอยลดน้อยลง
เป็นไปตามที่หลิงอวิ๋นคาดไว้ เวลานี้หลิวจื่อหรานยกป้ายขึ้น และตะโกนราคาประมูลเป็น 13 ล้านในคราวเดียว ใช่แล้ว เขาเพิ่ม 1 ล้านในครั้งเดียว
ทุกคนต่างหันมามองเขาเป็นตาเดียว สายตาทุกคู่ล้วนอิจฉาริษยาชายหนุ่มผู้นี้
หลิงจื่อหรานพึงพอใจ ผงกหัวให้กับผู้คน จากนั้นก็หันไปกระซิบกระซาบกับซ่งอวี่ถง ทั้งสองดูสนิทสนมกันอย่างยิ่ง
ซ่งอวี่ถงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง การยื่นมือเข้ามาของหลิวจื่อหรานนำพาให้การประมูลเข้าสู่จุดไคลแม็กซ์ กิจกรรมจะจบลงด้วยความสำเร็จ ชื่อเสียงของจาวฮุยกรุ๊ปจะดียิ่งขึ้นไปอีกระดับ
“14 ล้าน! ”
ในที่สุดคังเล่อเหว่ยก็ยื่นมือเข้ามา! ”
นักข่าวหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพ หัวใจของทุกคนต่างสั่นระรัว มันช่างน่าตื่นเต้น ตอนนี้ราคาขยับขึ้นทีละหนึ่งล้านแล้ว
“15 ล้าน! ”
“16 ล้าน! ”
……
ต่างสลับกันประกาศราคา การประชันกันระหว่างคังเล่อเหว่ยและหลิวจื่อหราน ต่างไม่มีใครยอมใคร
และแล้วราคาก็พุ่งขึ้นถึงมา 25 ล้าน ในที่สุดหลิวจื่อหรานก็ต้องยอมยกธงขาวยอมรับความพ่ายแพ้ ราคานี้มันเกินกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้เสียอีก
ซ่งอวี่ถงตบที่หลังมือของหลิวจื่อหรานเบา ๆ บ่งบอกว่าไม่เป็นไร ได้พยายามอย่างที่สุดแล้ว
หลิวจื่อหรานฝืนยิ้มออกมา ทำได้เพียงเท่านี้จริง ๆ
“25 ล้านครั้งที่หนึ่ง 25 ล้านครั้งที่สอง...”
ในขณะที่ผู้คนในงานต่างคิดว่าสมบัติชิ้นนี้จะต้องตกเป็นของคังเล่อเหว่ยอย่างแน่นอน เวลานี้มีเสียงดังลอยมาประหนึ่งระเบิดขนาดใหญ่ ซึ่งระเบิดลูกนั้นได้สร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คนทั้งงาน
“30 ล้าน! ”