“น้ำค้างเอ้ย มา ๆ ลูกเอาปลาทอดไปให้ต้นไผ่มันหน่อย”
“นี่ ๆ ข้าวด้วยตักข้าวให้น้ำค้างมันด้วยหน่อย”
“แกงจืดน่ะ ตักเลย ๆ”
เสียงป้า ๆ แม่ครัวทั้งหลายร้องเรียกกันหาข้าวหาปลาให้หญิงสาวที่มาช่วยงานศพ เจ้าของร่างบอบบางดูเหมือนเด็กสาวแรกรุ่น มองครั้งแรกคงไม่รู้ว่าเธอนั้นมีลูกแล้วคนหนึ่ง เธอมีชื่อว่า ‘น้ำค้าง’ คนทั่วทั้งหมู่บ้านต่างก็รู้จักเป็นอย่างดี เพราะเธอได้ฉายาสาวงามอมตะ ตั้งแต่สมัยเรียนจนลูกเข้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแล้ว เธอก็ยังครองตำแหน่งนั้นมาตลอด
ใบหน้ารูปไข่บวกกับคิ้วตาจมูกรับกันอย่างดี ผิวพรรณสะอาดสะอ้านแม้จะทำงานหนักทุกวันก็ตาม เธอเป็นคนหน้าตาดีมาตั้งแต่ยังเล็ก ใครเห็นก็รักและเอ็นดู อีกทั้งชีวิตเธอยังแอบน่าสงสาร
“ไม่เป็นไรจ้ะป้า หนูแค่มาช่วยงาน ไม่เป็นไรจริง ๆ จ้ะ”
น้ำค้างโบกมือปฏิเสธเพราะเกรงใจ เธอเพียงมาช่วยงานศพอย่างเต็มใจ ไม่คิดอยากได้อะไรติดไม้ติดมือไปเด็ดขาด เพราะเธอนั้นไม่กล้าจริง ๆ
“เอาไปเถอะลูกเอ้ย ตอนอยู่ข้าวสารถ้วยเดียวก็ไม่ให้ ตอนนี้ไปแล้วเขาไม่หวงแล้วมั้ง” ป้าอีกคนที่ดูท่าจะไม่ชอบครอบครัวเจ้าภาพสักเท่าไหร่ เลยหลุดปากพูดเสียดสีไป ไม่ทันรู้สึกเกรงใจร่างที่นอนอยู่ในโลงทั้งสองร่าง ซึ่งเป็นบุคคลที่สามที่เอ่ยถึงนั่นเอง
“ไม่เป็นไรจริง ๆ จ้ะป้า เก็บไว้ให้แขกในงานเถอะจ้ะ หนูไปรับลูกก่อนนะจ๊ะ”
หญิงสาวรีบลุกขึ้นและขอตัวออกไปจากตรงนั้นทันที เธอรู้ดีว่าหากนั่งอยู่ต่อจะได้ยินคำพูดแบบใดบ้าง เมื่อไม่อยากจะได้ยินก็ต้องรีบเผ่น เธอไม่อยากนึกถึงเรื่องราวในอดีตนั่นแล้ว คนก็ตายไปแล้วถือว่าจบกันเสียเถอะ
“น้ำค้างเอ้ย ป้าล่ะยอมใจเอ็ง”
“...”
น้ำค้างทำเพียงส่งยิ้ม เธอไม่ตอบกลับเลยสักนิด เธอก็เป็นซะแบบนี้ มองโลกในแง่ดีเสมอมา ไม่ว่าโลกจะใจร้ายหรือคนรอบข้างจะทำให้เจ็บช้ำแค่ไหน เธอก็ไม่โกรธเคืองใคร สำนึกในใจว่ามันเป็นสิ่งที่เธอเกิดมาก็สมควรได้รับ
แต่คนอื่นไม่คิดเช่นเธอน่ะสิ ชาวบ้านต่างไม่ชมชอบครอบครัวนี้เท่าไหร่ แต่ที่ต้องมาช่วยงานก็คงเป็นเพราะประเพณีและความเป็นญาติพี่น้องกัน ต่อให้จะไม่ชอบตาสันกับยายแหว๋วที่นอนอยู่ในโลงก็เถอะ
“หนูไปแล้วนะจ๊ะ”
กึก! ยังไม่ทันสาวเท้าไปไหนไกล หญิงสาวถึงกับชะงักเท้าในทันที ดวงตาคู่กลมสั่นระริกราวกับคนกำลังจะร้องไห้ ซ้ำยังเหมือนกำลังหวาดกลัวกับบางสิ่งที่เผชิญหน้า
“พะ พี่กล้ากลับมาแล้วหรือจ๊ะ?”
เธอยังฝืนยิ้มให้คนผู้มาใหม่ เจ้าของร่างสูงโปร่งจมูกโด่งเป็นสัน ปากหยักดูคล้ายเย่อหยิ่ง ใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ขั้นสุด ดูน่ากลัวอยู่หลายส่วน
“ยืนหัวโด่อยู่นี่ยังไม่กลับมั้ง แม่กับพ่อฉันตายจะไม่ให้มางานศพรึไง ไม่เจอกันหลายปียังโง่เหมือนเดิมสินะ”
“บ้านนี้มันเป็นคว_ไรนักหนา พูดจาดี ๆ มันจะชักตายหรือไง”
โชคดีเหลือเกินที่ป้าอีกคนซึ่งไม่ชอบบ้านนี้ไม่เอ่ยเสียงดังมาก แน่นอนว่าไม่เพียงไม่ชอบพ่อกับแม่ แม้แต่ลูกชายคนเดียวของบ้านก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบเท่าไหร่นัก ใช่แล้ว... คนที่ยืนขวางน้ำค้างอยู่ตอนนี้คือ‘กล้า’ เขาเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านนี้ แต่ถูกส่งไปอยู่กับลุงกับป้าที่ต่างจังหวัดเมื่อห้าปีก่อน เพราะเรื่องราวในครั้งนั้น ทำให้เขาตัดสินใจไปจากบ้านเกิดตั้งแต่จบปวส. อายุเพียงยี่สิบเท่านั้น
และกลับมาเพราะพ่อกับแม่เกิดอุบัติเหตุรถตกคลองเสียชีวิตทั้งคู่ เขาเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน บังเอิญมาเจอเข้ากับเธอคนนี้พอดิบพอดี
“อะ เอ่อ... น้ำค้างไปก่อนนะจ๊ะ ไว้ตอนเย็นจะมาช่วยงานอีกรอบ”
แม้จะถูกด่าขนาดนั้นแต่น้ำค้างกลับยังพูดจาดีกับเขาอยู่ หากเป็นคนอื่นล่ะก็ คงถอดรองเท้าแตะฟาดไอ้คนปากไม่ดีนั่นเลือดกลบปากไปแล้ว ไม่รู้ว่าในปากนั้นเลี้ยงหมาไว้กี่ตัวกันแน่
“อือ” ชายหนุ่มตอบกลับโดยไม่ชายตามองเธอเลยสักนิด เธอใจกล้ามองใบหน้าหล่อเหลานั่นเพียงแวบเดียว เท่านี้เป็นพอแล้ว เธอรู้ดีว่าเขานั้นรังเกียจเธอมากแค่ไหน ได้แต่ทำใจและยอมรับ รู้ว่าเขาไม่ชอบก็ไม่เอาตัวเองไปเสนอหน้าอยู่ให้เขาเห็นนาน
เป็นการพบเจอกันในรอบห้าปี ทว่ากลับเย็นชาและห่างเหินได้ขนาดนี้เชียวหรือ เชื่อแล้วว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ จากคนที่รักกันจะเป็นจะตายในวันนั้น มาวันนี้กลับเหมือนคนคิดแค้นกันมาตั้งแต่ชาติก่อน
เพราะเธอหรือ? อือ ก็คงเพราะเธอสินะ...
หญิงสาวร่างบางในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาว เธอสวมผ้าถุงแบบบ้าน ๆ รองเท้าแตะคู่เก่าพาเจ้าของเดินจูงจักรยานไปตามถนนดินทราย ทั้งหลุมทั้งยังมีน้ำขังเพราะเมื่อคืนฝนเพิ่งตกไป ข้างทางรายล้อมไปด้วยป่าข้าวเขียวขจี หน้าฝนมาแล้วฤดูทำนาก็มาถึง
น้ำค้างพยายามข่มใจไม่ให้คิดมาก แต่พอเธอนึกถึงหน้าของใครบางคนก็อดไม่ได้จริง ๆ ไม่รู้ว่าตัวเองเดินเหม่อลอยนานแค่ไหน จนกระทั่งมาถึงหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ก็มีเสียงใสดังขึ้นเรียกสติเธอให้เข้าร่าง
“แม่~~~”
“จะ จ้า เป็นยังไงบ้างเด็กดี”
เด็กชายวัยสี่ขวบวิ่งเข้ากอดเธอด้วยความคิดถึง เด็กชายกอดแน่นทั้งยังเกาะแม่อีกต่างหาก ดีที่ผ้าถุงไม่หลุดจนทำอายผู้คนมากมายที่มารับลูก
“คุณครูพาท่องABCด้วยครับ ไผ่ได้ร้องเพลงด้วยนะแม่”
เจ้าเด็กน้อยตัวดุ๊กดิ๊กที่ส่วนสูงเลยเข่าแม่มานิดเดียว แต่ทว่ากลับพูดจาเจื้อยแจ้วน่ารักน่าชัง ใบหน้าเค้าโครงต่างไม่มีส่วนใดคล้ายเธอเลยสักนิด มีแววหล่อเหลาตั้งแต่เด็กขนาดนี้ คงไม่เหมือนใครนอกจากเขาคนนั้น...
“อย่าบอกนะว่าร้องเสียงเป็นเป็ดเหมือนตอนร้องให้แม่ฟัง”
“โห~ต้นไผ่ร้องเพราะจะตาย คุณครูยังชมเลย”
เด็กน้อยทำหน้ายู่หน่อย ๆ คล้ายกลับไม่ถูกใจในสิ่งที่ได้ยิน เด็กน้อยที่พูดจาเก่งฉะฉานคนนี้ไม่เหมือนเธอเลยสักนิด เธอน่ะพูดไม่ค่อยเก่ง เมื่อก่อนเงียบกว่านี้หลายเท่า แต่พอมีลูกก็เริ่มคุยกับลูกบ่อย สอนการบ้านบ้าง ก็มีกันอยู่สองคนแม่ลูกนี่นา
“จ้า ๆ ลูกแม่เก่งอยู่แล้ว มาลูกมา เดี๋ยวแม่พาแวะไปกราบลาย่าแหว๋วกับปู่สันนะลูก” เธอเอ่ยพลันยิ้มน้อย ๆ ให้ลูกชาย ก่อนที่ต้นไผ่จะปีนขึ้นซ้อนท้ายจักรยานคันเก่า
“ต้นไผ่จะไม่ได้เจอย่าแหว๋วกับปู่สันอีกแล้วใช่ไหมครับแม่”
“อะ เอ่อ... ใช่แล้วจ้ะ จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว”