หลายวันผ่านไป...
กว่าที่จะจัดการงานศพของผู้เป็นพ่อและแม่จนผ่านพ้นไป เขาเองก็ทำใจมาได้บ้างแล้ว ก่อนหน้าก็บวชหน้าไฟให้พ่อกับแม่ที่เสียชีวิตไป อยู่วัดอีกหลายวันก็พอปล่อยวางและอยู่กับความจริงได้
อีกอย่างเขาก็ไม่ได้คลุกคลีอยู่กับผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ท่านทั้งสองฝากเขาให้ยายเลี้ยงตั้งแต่เด็ก จนยายเสียตอนที่เขาอายุสิบห้าถึงกลับมาอยู่บ้านดูแลเขาต่อ เขาอยู่กับพ่อแม่เพียงห้าปีเท่านั้นก็ถูกส่งไปอยู่กับญาติที่กรุงเทพ หากถามหาความผูกพันธ์ก็คงไม่มากมายขนาดนั้น
“เอ้ากล้ากลับมาอยู่บ้านแล้วเหรอ?” เสียงป้าจันทร์คนบ้านใกล้เรือนเคียงเอ่ยทักทายเขา เขาขับรถกระบะลดกระจกลงเพื่อชื่นชมบรรยากาศ ขับผ่านชาวบ้านก็มีคนรู้จักทักทายบ้างเล็กน้อย
“เปล่าครับ เดี๋ยวก็กลับแล้ว” เขาชะลอรถพูดคุยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เขากลายเป็นคนเย็นชาและเข้าถึงยากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว หากเป็นเขาคนก่อนก็คงพูดเป็นต่อยหอยแล้วล่ะ
“อ๋อ” ป้าจันทร์เพียงตอบกลับสั้น ๆ ก่อนที่กล้าจะขับรถออกไป
เขาขับรถวนดูบ้านเกิดของตัวเองอยู่นาน ขับไปตามทางที่เคยไปในเมื่อก่อน หายไปหลายปีบ้านไร่ปลายนาก็ไม่ต่างจากเดิมมากนัก ยังคงกลิ่นไอบรรยากาศเก่า ๆ ให้พอนึกถึงเรื่องราวในอดีต
อดีตที่มีทั้งดีและขมขื่น...
“อึก”
จู่ ๆ เขาก็ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง ภาพเบื้องหน้าทำเอามือหนาบีบพวงมาลัยแน่น หัวใจก็พลันเต้นเร็วขึ้นจนน่าโมโห
เหอะ! ก็แล้วทำไมเขาต้องโมโหงั้นหรือ ก็แค่เธอกับเด็ก ก็คงเป็นลูกเธอกับไอ้เพื่อนเวรนั่นสินะ
“แม่เป็นคนเดินให้ไผ่นั่งเฉย ๆ งี้ แม่ไม่เหนื่อยเหรอครับ?” เด็กน้อยในชุดยักเรียนเอ่ยถามเจื้อยแจ้ว ข้างหลังยังสะพายกระเป๋าใบเล็กรูปช้างก้านกล้วยที่แม่เพิ่งซื้อให้
เด็กน้อยบังคงนั่งเบาะหลังของจักรยานคันเก่าเช่นเคย เวลานี้เพิ่งจะบ่ายสามครึ่ง เธอเพิ่งไปรับลูกมาและกำลังจะพากลับบ้าน จริง ๆ ที่บ้านมีรถเครื่องคันเก่าอยู่คันหนึ่ง แต่เพราะมันเก่ามากขี่ไปก็ซ่อมไป แถมยังเปลืองน้ำมันสุด ๆ เธอจึงไม่ค่อยใช้หากไม่ใช่จำเป็นต้องเข้าไปตลาดในเมือง
พาลูกขี่จักรยานทุกวันเป็นกิจวัตรไปแล้ว แม้เธอไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ลูก แต่เธอก็ทำหน้าที่แม่สุดความสามารถ เธออยากมอบความสบายที่พอจะให้ได้ทั้งหมดให้ลูกแล้ว
“ไม่เหนื่อยเลยจ้ะ” เธอหันหน้ากลับมาบอกลูกชาย ก่อนจะหยุดรถและลูบศีรษะเล็กอย่างรักใคร่
“แต่แม่เหงื่อไหลเยอะ” เด็กน้อยมองตาใสแจ๋ว พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย เจ้าเด็กนี่ตัวยังไม่ถึงเอวก็เป็นห่วงแม่ได้แล้ว มันน่าภูมิใจนัก
“แม่แค่ร้อน”
“ถ้าไผ่โตขึ้นจะซื้อรถยนต์ให้แม่ขับด้วย ถ้าเราขี่จักรยานก็จะให้แม่ซ้อนท้ายจักรยานนั่งเฉย ๆ ไม่เหนื่อยแล้ว”
ดูพูดเข้าสิ... ความฝันเด็กน้อยทำผู้เป็นแม่อุ่นวาบในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
“ดีเลยลูก แม่จะรอนะ” เธอหันมาส่งยิ้มให้ลูกชายตัวน้อย บังเอิญหางตาเหลือบไปเห็นรถกระบะคันใหญ่ขับตามอยู่ด้านหลัง จึงรีบเบี่ยงหลบข้างทางอย่างเกรงใจ
“หึ”
“…”
จนกระทั่งรถคันนั้นขับมาเลียบข้างเธอจึงเห็นว่าเป็นเขาที่เปิดกระจกรถออกมา เขาไม่ได้ทักทาย ไม่แม้กระทั่งมองเธอกับต้นไผ่ ขับรถคันละหลายแสนซึ่งเธอคงไม่มีวาสนาได้นั่งอย่างคนอื่นเขา เขาขับออกไปแล้ว เขาไม่มีทางเหลียวมองผู้หญิงแบบเธออยู่แล้ว
ไม่มีสิ่งใดนอกจากยอมรับในโชคชะตา และความต่างของโลกใบนี้ เธอกับเขามันอยู่กันคนละชั้น ไม่ควรแม้แต่จะคิด…
“หู้ววว ใครเหรอแม่? หล่อจัง”
ไม่รู้ว่าทำไมถึงตาไวได้ขนาดนี้กันนะ เพียงแค่แวบเดียวก็เห็นความหล่อเหลาของเขาแล้วหรือ ก็ไม่แปลกหรอก เขาน่ะหล่อมากเลยล่ะ เมื่อก่อนก็เป็นอันดับหนึ่งของหมู่บ้าน มาตอนนี้ก็ยิ่งหล่อเหลา แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความเย็นชาไร้อารมณ์ ไม่เหมือนกับพี่กล้าในอดีตเลยสักนิด
“หล่อเหรอ? แม่มองไม่ชัดน่ะ”
เธอรีบจูงจักรยานพาลูกเข้าบ้านทันที กลัวอยู่นานกว่านี้แล้วลูกจะร้อน โชคร้ายอาจจะป่วย แต่ก็ไม่วายมองตามรถคันนั้นอีกหน เธอส่งยิ้มบาง ๆ ในใจพลันชื่นชมเขาคนนั้น พี่กล้าคงมีหน้าที่การงานมั่นคง มีบ้านมีรถที่กรุงเทพไปแล้ว ตอนนี้ก็คงมีครอบครัวมีลูกเมีย เธอก็ได้แต่ยินดี ได้เพียงแค่มองเท่านี้ก็ดีแล้ว ห้าปีที่ไม่ได้เจอ แค่เพียงได้แอบมองเสี้ยวหน้าของเขาเล็กน้อยก็นับว่าบุญตาแล้ว
“แม่ครับ ๆ ไผ่อยากกินไข่เจียว”
เสียงลูกซึ่งยืนเรียกเธอที่กำลังยืนรดน้ำผักอยู่ นี่เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว เธอคิดอะไรเพลินหน่อยจึงทำงานเสร็จช้า เลยเวลากินข้าวเย็นของต้นไผ่ไปแล้ว
“อะ อ๋อ ได้จ้ะ ๆ เดี๋ยวแม่รีบไปทำให้นะ”
“ไม่ต้องรีบครับแม่ เดี๋ยวล้มนะครับ ไผ่แค่บอกแม่ไว้ยังไม่หิวมาก ไผ่รอแม่ได้”
เด็กน้อยเดินเข้ามากอดขาผู้เป็นแม่ไว้พร้อมกับยิ้มกว้าง เธอมองใบหน้าดวงน้อยก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งยังทำให้เธอหายคิดถึงใครบางคน ลูกเธอเป็นเหมือนตัวแทนของเขา ต้นไผ่ถอดแบบเขาคนนั้นออกมาจริง ๆ
“งั้นเดี๋ยวรอแม่แป๊บหนึ่งนะลูกนะ”
เธอวางบัวรดน้ำในมือลง ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน พร้อมกับลากขาที่มีเจ้าลูกชายเกาะเป็นตุ๊กแก ทำเอาผู้เป็นแม่อดเขกหัวไปทีหนึ่ง แต่เธอไม่กล้าทำลูกแรงหรอก เธอเพียงหยอกล้อเช่นเดียวกับที่ลูกหยอกเธอเท่านั้น
“แม่อุ้มไผ่หน่อยครับ” เด็กน้อยเอ่ยพลันทำตาแป๋ว อายุเท่านี้แต่ทำไมแผนสูงได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้ เหมือนใครกันนะ...
“แม่อุ้มก็หลังหักพอดีสิจ๊ะ โตแล้วแม่อุ้มไม่ไหวหรอก”
“งั้นพ่ออุ้มได้ไหม?”
“...”
น้ำค้างสะอึกจนพูดไม่ออก ในใจพลันปวดหนึบราวกับมีของหนักหลายกิโลวางทับ เธอควรบอกลูกอย่างไรดี ควรบอกลูกว่าพ่อเขาคงไม่กลับมาอุ้มหนูแล้ว หรือควรบอกแบบเดิมที่เคยบอก
“เดี๋ยวพอกลับมาจากทำงานพ่อก็จะมาอุ้มไผ่เอง”
เธอไม่กล้าทำร้ายจิตใจลูก ไม่กล้าเลยสักนิดเดียว...