สนามบินสุวรรณภูมิ
ภายในสนามบินผู้คนต่างพลุกพล่าน บ้างก็เพิ่งมาจากที่อื่น บ้างก็กำลังจะเดินออกจากประเทศ มีทั้งไปเที่ยว ไปทำงานหรือไปใช้ชีวิตหาหนทางในอนาคต เช่นเดียวกันกับหญิงสาวที่ถูกผู้เป็นพ่อรั้งไว้ไม่ยอมให้ไปเช็คอินเพื่อเตรียมตัวเดินทางสักที
"ไม่ไปได้ไหมลูก เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ เอาแบบนี้ถ้าลูกยกเลิกการไปเรียนที่นู่นพ่อจะซื้อบ้านตากอากาศริมทะเลที่ลูกขอให้เลย" พงศ์ยื่นข้อเสนอที่ลูกสาวเคยบอกว่าอยากได้เพื่อล้อใจไม่ให้ลูกสาวไป ทำเอาคนเป็นภรรยาตีแขนเบาๆ เพื่อเตือน
"พอเลยค่ะคุณ ลูกจะไปเรียนนะคะ ไม่ใช่ไปออกรบจะได้ห่วงขนาดนั้น"
"จริงด้วยค่ะพ่อ อีกอย่างพ่อก็ให้เพื่อนพ่อ...ลุงเดฟดูแลหนูให้แล้วไม่ใช่เหรอคะ"
เพียงแค่นึกถึงใบหน้าของเพื่อนสนิทพ่อที่เคยเจอหัวใจดวงน้อยก็เต้นแปลกจนเจ้าของหัวใจต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
"มันก็ใช่แต่ไอ้บ้านั่นที่พ่อเจอล่าสุดตั้งแต่มันละ..."
แต่ยังไม่ทันที่พงศ์จะพูดจบเสียงประชาสัมพันธ์ของสนามบินในไฟล์ที่พราวจะขึ้นนั่งก็ดังขึ้น ทำให้สามคนพ่อแม่ลูกเลยไม่มีเวลาคุยกันต่อ หญิงสาวเลือกที่จะกอดพ่อกับแม่และยกมือไหว้ท่านทั้งสอง ถึงเธอจะดูเข้มแข็งแต่ภายในใจก็อดกลัวไม่ได้เพราะเป็นครั้งแรกเลยที่ต้องห่างจากพ่อกับแม่ถึงขนาดนี้ แต่เอาเถอะในเมื่อเธอตัดสินใจแล้วก็คงต้องเดินหน้าต่อไป
เพียงไม่นานเครื่องบินลำใหญ่ที่พราวนั่งอยู่ก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
พราวเลือกที่จะนั่งริมหน้าต่างเพื่อมองวิวท้องฟ้าและเมฆที่กว้างใหญ่ไพศาล แสงแดดสาดส่องผ่านเมฆลงมาเป็นลำๆ บรรยากาศภายในเครื่องบินเงียบสงบ หลังจากที่เครื่องบินได้เกือบชั่วโมงผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็ต่างกำลังหลับใหล ตอนนี้เธอรู้สึกผ่อนคลายและปลอดโปร่งจึงเลือกที่จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านบ้างหรือผ่อนคลายด้วยการนอนบ้าง
ดูเหมือนว่าหลังจากเปลี่ยนเครื่องมาแล้วสองครั้งตอนนี้พราวและผู้โดยสารในเครื่องก็ใกล้จะถึงที่หมายแล้ว พราวที่จดจ่อกับเรื่องราวในหนังสือจนลืมเวลาไป เสียงประกาศจากกัปตันดังขึ้น ทำให้เธอรู้ว่าเครื่องบินกำลังจะลงจอดแล้ว เธอรีบเก็บหนังสือเข้าในกระเป๋าใบเล็กพร้อมกับยิ้มให้ตัวเอง เพื่อเป็นการเรียกขวัญกำลังใจในการเหยียบประเทศที่ตัวเองจะใช้ชีวิตต่อในอีกหลายปี
London Heathrow Airport
"โอ๊ยยยยย!! ทำไมยังไม่มารับเนี่ย"
เสียงโวยวายเป็นภาษาบ้านเกิดดังขึ้นอย่างขัดใจ เมื่อหญิงสาวที่ออกมาจากเครื่องได้เกือบสามสิบนาทีแล้ว พยายามที่จะโทรศัพท์หาคนที่พ่อบอกว่าจะดูแลตัวเองในช่วงที่เธอมาอาศัยอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้เธอพยายามที่จะติดต่อยังไงปลายสายก็ไม่ยอมรับสักทีจนเธอเริ่มที่จะโมโหแล้วนะ
พราวเริ่มมองไปรอบๆอีกครั้ง ผู้คนในสนามบินต่างพลุกพล่านไม่ต่างจากที่ไทยผิดแค่ที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติผมทอง แต่แล้วเธอก็ไปสะดุดตากับร่างสูงใหญ่ที่ยืนจ้องเธออยู่เหมือนกัน ท่าทางและบุคลิกของผู้ชายคนนั้นทำให้เธอรู้สึกใจคอไม่ดีเลย ร่างสูงใหญ่สมาร์ท แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา สวมแว่นตาดำปิดบังใบหน้า ผมเพ้าก็ดูรุงรังและดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นจะเริ่มก้าวขาเดินมาทางที่เธอยืนอยู่ ทำเอาตอนนี้เธอรู้สึกใจไม่ดีมากเลยตัดสินใจที่จะลากกระเป๋าเพื่อเดินออกไป แต่ยังไม่ทันที่จะเดินไปถึงไหน แขนของเธอก็ถูกกระชากให้หันตัวกลับไปอีกด้าน จนร่างกายบอบบางของเธอไปปะทะกับอกกว้างของคนที่ดึงไว้
"กรี๊ดดดด บ่อยนะไอ้โจรชั่ว!!" พราวตะโกนด่าออกมาเป็นภาษาท้องถิ่นเสียงดัง หวังว่าจะให้เจ้าหน้าที่ในสนามบินช่วยถ้าเกิดอะไรขึ้น
"พราว! พราวใช่ไหม ลุงเอง! เดวิสเพื่อนพ่อเรา" เสียงทุ้มพูดขึ้นก่อนที่หญิงสาวตรงหน้าจะตะโกนดังกว่านี้จนเป็นเรื่องแค่นี้คนก็แทบจะมองทั้งสนามบินแล้ว
"เดวิส...คุณลุงเดฟเหรอคะ?"
คนที่โวยวายเมื่อกี้ ตอนนี้ก็ลดเสียงลงแล้ว แต่ก็ยังไมาไว้ใจอยู่ดี จนกระทั่งแว่นดำราคาแพงที่อีกฝ่ายสวมใส่ถูกถอดออกจากใบหน้าที่บดบังดวงตาสีฟ้าสวยไว้ เพียงแค่ได้สบตากับดวงตาคู่นี้อีกครั้ง หัวใจของเธอก็เต้นแรงจนผิดจังหวะ...เป็นเขาจริงๆ ผู้ชายที่ทำให้เราใจเต้นแรงได้
"เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ"
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบินวิ่งมาดูหลังจากมีคนแจ้งว่ามีเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลตรงนี้
"ไม่มีอะไรค่ะ พอดีเป็นเรื่องเข้าใจผิด ต้องขอโทษด้วยนะคะ"
พราวรีบบอกเจ้าหน้าที่ ก่อนจะโค้งตัวให้เป็นการขอโทษที่เธอทำให้วุ่นวาย หลังจากนั้นไม่นานหญิงสาวและชายต่างวัยก็เข้ามานั่งอยู่ในรถยนต์สีดำคันหรู ตลอดทางในรถเต็มไปด้วยความเงียบ เธอก็ไม่กล้าที่จะชวนเขาคุยได้แต่เงียบและลอบมองคนที่กำลังขับรถเป็นระยะ เพื่อนสนิทของพ่อเธอเป็นไปมากถ้านับจากหลายปีก่อนที่เธอเคยเจอ แต่ถึงแบบนั้นความหล่อเหลาก็ยังไม่จางหาย แม้ว่าตัวเลขของอายุจะเพิ่มมากขึ้นก็ตาม
"หิวไหม"
เดฟเลือกที่จะพูดขึ้นเพื่อทำร้ายความเงียบของบรรยากาศภายในรถ เขาเหลือบมองลูกสาวของเพื่อนสนิทก่อนจะถอนหายใจเบาๆ หลายอาทิตย์ก่อนหน้าหญิงสาวจะมา เขาอยู่ที่เกาะฟาร์มไข่มุกกำลังเพาะพันธุ์ไข่มุกแบบใหม่ แต่จู่ๆ ลูกน้องคนสนิทก็มารายงานว่ามีชาวไทยมาหา ตอนแรกเขาก็สงสัยว่าเป็นใคร พอเห็นว่าเป็นพงศ์เขาก็อดดีใจไม่ได้
'ไงมึงทำไมมาหากูถึงที่นี่ได้'
'ไอ้เชี้ยเดฟ กูคิดว่ามึงตายแล้วนะ เงียบหายไปตั้งหลายปี'
'ฮ่า ๆ พอดีกูสนุกกับการทำฟาร์มไข่มุกไปหน่อยเลยลืมติดต่อมึงไป ว่าแต่มึงรู้ได้ยังไงกูอยู่ที่นี่' เดฟอดแปลกใจกับการปรากฏตัวของเพื่อนไม่ได้
'กูไปที่คฤหาสน์มึงมา พ่อบ้านบอกว่ามึงอยู่ที่เกาะกูก็รีบจองเครื่องบินแล้วก็นั่งเรือข้ามฝากมาหาที่นี่ทันที'
'ที่จริงมึงให้พ่อบ้านโทรศัพท์หากูก็ได้นะ เดี๋ยวกูบินไปหา ไม่เห็นต้องลำบากมาถึงที่นี่เลย'
'กูใจร้อนนะ'
'มีอะไรหรือใครเป็นอะไร? นิชาเหรอทำไมไม่เห็นมาด้วย' พอเห็นท่าทางร้อนรนของเพื่อนเขาก็อดห่วงไม่ได้จริงๆ
'ไม่ๆ คือ...แค่กูมีเรื่องอยากให้มึงช่วย'
'เรื่องอะไร? เงินเหรอ บอกมาได้เลยจะเอากี่บาทเดี๋ยวกูเซ็นเช็คให้'
'ไม่ใช่เรื่องเงิน...คือกูอยากของร้องให้มึงช่วยดูแลลูกกูให้หน่อย มึงจำลูกสาวกูได้ไหม'
'ลูกสาวมึง...อ่ออออ ตุ๊กตาบาร์บี้น้อยน่ะนะ' เขายังจำเด็กหญิงดวงตากลมโต ริมฝีปากแดงระเรื่อตอนนั้นได้อยู่เลย
'ใช่!'
'แล้วทำไมต้องให้กูดูแล'
'คือพอดีว่าลูกกูสอบติดมหาลัยที่พวกเราเคยเรียน แต่กูไม่ไว้ใจให้อยู่คนเดียวเลยอยากมึงดูแลหน่อย'
'ได้สิ! อาทิตย์หน้ากูก็จะเข้าบริษัทแล้ว เดี๋ยวช่วยดูแลให้'
'ขอบคุณมึงมากเดฟ อย่างน้อยกูก็สบายใจไปเบาะหนึ่ง'
เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนถึงได้ห่วงลูกสาวมากมายขนาดนี้ เพราะโตขึ้นมาเด็กสาวที่แสนน่ารักก็โตมาเป็นหญิงสาวสวยจนน่าตะลึงขนาดนี้ ตอนที่อยู่สนามบินเขาแทบจะจำเธอไม่ได้ ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดภาษาไทยออกมา
"คุณลุงเดวิสคะ! คุณลุงคะ!!"
"โทษทีพอดีลุงคิดอะไรเพลินๆ ว่ายังไงตัดสินใจได้หรือยังว่าจะกินอะไรรองท้องก่อนไหม"
"ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ พอดีพราวกินอาหารบนเครื่องมาแล้ว เลยไม่ค่อยหิว"
"อย่างนั้นก็ได้ ถ้างั้นลุงจะตรงกลับบ้านเลย ถ้าง่วงก็นอนก่อนได้นะ"
เดฟพูดทั้งที่ตายังมองไปที่ถนนเบื้องหน้า ส่วนคนที่บอกให้นอนก็ไม่ได้ง่วงเลยสักนิด เธอเลือกที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นแทนเพราะระหว่างที่เดินทางมาเธอนอนเต็มอิ่มแล้ว หลังจากนั้นภายในรถก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง