บทที่6:แพ้คนขี้อ้อน

1932 คำ
เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้นภายใต้โรงอาหารคณะแพทยศาสตร์ที่นธีพามาคนเยอะมาก ๆ ไม่ต่างกับคณะของเธอเลย “คนเยอะจัง แน่ใจนะว่ามีที่นั่ง” “มีดิ เพื่อนจองให้” เมื่อเขาให้ความมั่นใจแบบนั้นก็เบาใจเพราะหากต้องรอที่นั่งอีก สู้เธอกลับหอพักแล้วสั่งอาหารมาน่าจะเร็วกว่า หลังจากที่รออีกฝ่ายคุยโทรศัพท์กับเพื่อน เขาก็พาเธอเดินเข้ามากลางโรงอาหารจนเจอกับผู้ชายสามคนที่นั่งเรียงรายอยู่แถบเดียวโดยที่อีกด้านของโต๊ะเว้นว่างไว้ให้ พวกเขาใส่เสื้อยืดสีชมพูเหมือนกับคนส่วนมากที่อยู่บริเวณนี้ คล้ายจะเป็นชุดกิจกรรมของคณะของเขาโดยที่ตรงหน้ามีอาหารอยู่แล้ว และเมื่อนธีเดินเข้าไปนั่งพวกเขาก็เงยหน้ามามองก่อนจะยักคิ้วทักทาย “ไปซื้อข้าวเลยพวกกูหิวจะตายห่าแล้ว...” คนตัวเล็กที่สุดในนั้นซึ่งหน้าค่อนข้างจะหวานเหมือนผู้หญิงมองเลยมาทางด้านหลังร่างสูงปะทะกับเธอ ก่อนจะผงกศีรษะแล้วเลื่อนสายตาไปถามกับเพื่อนตัวเองว่าพาใครมา “คนน่าสงสารที่ไม่มีเพื่อนน่ะ” “อ๋อ...หวัดดีครับ” พออีกฝ่ายเอ่ยทักทาย เพื่อนอีกสองคนที่นั่งเล่นโทรศัพท์ไม่ได้สนใจก่อนหน้านี้ก็เงยหน้ามามอง ก่อนที่เขาจะก้มหัวเล็กน้อยตามมารยาทแม้จะงง ๆ กับการมาเยือนของเธอก็ตาม “ค่อยทำความรู้จักกันได้ป่ะ หิวไส้จะขาดอยู่แล้วเนี่ย” ใบหน้าคมของนธียุ่งเหมือนคนโมโหหิวทำให้เธอพยักหน้าแล้วเดินตามเขาไปยังร้านอาหาร ไม่ได้คุยกับเพื่อนเขาต่อ หลังจากที่แยกต่างคนต่างไปซื้อข้าวของตัวเอง น้ำอิงจึงเดินไปต่อคิวร้านที่คนน้อยที่สุดไม่นานก็เดินกลับมาที่โต๊ะ เห็นว่าตรงที่เธอมีน้ำเปล่าสองขวดวางไว้อยู่ก่อนแล้ว คาดว่าเพื่อนของนธีเป็นคนซื้อมาให้ เพื่อนเขาดูนิสัยดีกันทุกคนเลยนะเนี่ย ทำไมนธีไม่ซึมซับด้านดี ๆ แบบนั้นจากเพื่อนบ้างนะ “นี่เธอชื่ออะไรเหรอ” ผู้ชายตัวเล็กตรงข้ามเริ่มชวนเธอคุยด้วยใบหน้าอยากรู้อยากเห็นไม่คิดปิดบัง “เราชื่อน้ำอิง พวกนายล่ะ” “เราชื่อภูวินท์ ไอ้นี่เต้ย ส่วนอีกคนชื่อเจโร” เขาแนะนำตัวชี้เข้าที่ตัวเอง แล้วชี้ไปที่เพื่อนอีกสองคนซึ่งนั่งถัดไปทางด้านขวาของตัวเองตามลำดับ น้ำอิงรู้สึกเกร็งขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อภูวินท์แนะนำตัวพวกเขาก็เงยหน้ามายิ้มให้และเป็นอีกครั้งที่เธอต้องตะลึง เพื่อนของนธีแต่ละคนโคตรหน้าตาดี คือแบบโคตรหล่อเลย ถึงว่าเธอรับรู้ถึงสายตาหลายคู่ที่กำลังมองเข้ามาที่พวกเขาอย่างรู้สึกได้ คนชื่อเต้ย บุคลิกคล้ายกับนธี เขาดูมีมาด แต่ก็ดูไม่ได้เข้าถึงยากขนาดนั้น อีกฝ่ายมองเธอตลอดเวลาแต่ก็ไม่ได้ชวนคุยอะไร หน้าเขาตี๋ ๆ เหมือนคนที่มีเชื้อสายจีนอย่างเข้มข้น ดูสะอาดสะอ้าน บุคลิกเหมาะกับเรียนหมอสุด ๆ โดยเฉพาะคนที่ชื่อเจโร เขาหล่อและดูดีแบบมีชาติตระกูลมาก ๆ เพิ่งเคยเจอคนที่หล่อแบบพูดไม่ออกขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลย เขาดูเข้าถึงยากที่สุดในบรรดาเพื่อนแล้ว “ไอ้เจมันหล่ออะดิ แต่มันมีแฟนแล้วนะน้ำอิง” ภูวินท์ดึงเธอออกจากภวังค์ด้วยน้ำเสียงติดหัวเราะ คงเพราะเธอมองเพื่อนเขาตาค้างไปหน่อย และเมื่อเจโรจับสังเกตเธอได้เขาก็มองเธอแปลก ๆ คงจะกำลังระวังตัวว่าเธอคิดจะเข้าหารึเปล่า แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลยนะ! “ไม่ต้องกลัวฉันนะ ฉันแค่ชื่นชมเฉย ๆ ก็นายหล่อจริง ๆ นี่” พอพวกเขาได้ฟังสิ่งที่เธอพูดออกมาแบบตรงเผงทั้งสามก็หลุดหัวเราะทันที “พูดงี้ไอ้ธีมันไม่ว่าเอาเหรอ” เป็นเต้ยที่เอ่ยถามเธอจากที่นิ่งอยู่นาน พอน้ำอิงได้ฟังก็ละสายตาจากเจโรไปมองเต้ยทันทีก่อนที่จะงงกับคำถามนั้น “เขาจะว่าอะไรฉันล่ะ หรือเขาเป็นพวกยอมรับความจริงไม่ได้หรือไงว่าเพื่อนตัวเองหน้าตาดี” จากที่เขาพูดโพล่งกลางลานคณะว่าตัวเองหล่อไม่รู้เวล่ำเวลาแบบเมื่อเช้านี้ ก็พอจะรู้ว่าเขาหลงตัวเองเข้าขั้น “เธอไม่ได้คุยกับมันอยู่เหรอ ชมคนอื่นว่าหล่อมันไม่ดีนะ เดี๋ยวพวกเราก็มีปัญหากันหรอก” เธอเหม่อไปในทันที สิ่งที่เมื่อครู่เต้ยได้พูดออกมามันเป็นไปไม่ได้แบบสุด ๆ คุยกันอยู่งั้นเหรอ? ถ้าถามว่าทะเลาะกันอยู่หรือเปล่า น่าจะเข้าข่ายมากกว่า “ไม่ได้คุยกัน” เสียงเข้มที่ตอบกลับเมื่อครู่ไม่ใช่เสียงของเธอ แม้เธอกำลังอ้าปากพูด แต่เป็นเสียงของคนที่เพิ่งได้ข้าวและเดินมายังโต๊ะพอดีอย่างนธีต่างหาก “พวกมึงนี่สุดยอดเลยนะ นินทากูกับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่นาทีได้ แบบนี้เรียกว่าพรสวรรค์รึเปล่าวะ” นธีมองหน้าเพื่อนของตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ และคนที่เริ่มสนทนาคงเป็นคนปากมากและขี้เสือกอย่างภูวินท์แบบไม่ต้องสงสัย “ใครจะรู้วะ ก็เห็นพาสาวมา นึกว่าฟีลเปิดตัวไรแบบนี้ไง” ภูวินท์หัวเราะอย่างกะล่อน ก่อนคนหน้าหวานจะหันไปหาเต้ยด้วยใบหน้าเซ็งนิดหน่อย เขาคิดว่าไม่น่าพลาดแล้วนะ เซนส์เขาไม่น่าพลาดเลยเชียว “อ๋ออ...งั้นก็ดี พวกกูจะได้ไม่เกร็ง” คราวนี้เต้ยเริ่มพูดมากขึ้นต่างจากก่อนหน้านี้หลังจากที่รับรู้ว่าทั้งสองไม่ได้คุย ๆ กันอยู่ เขาจึงเอ่ยถามคนที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ตรงหน้า “แล้วเธอมากับไอ้ธีได้ไงล่ะ คนสวย” “พอดีเรียนสาขาเดียวกับนธีอ่ะ...” “บอกเขาไปให้หมดดิ ว่าไม่มีเพื่อนด้วย” เสียงนธีแว่วมาทำคนตัวเล็กหน้าตึง แต่ก็เถียงอะไรไม่ออกเพราะเป็นเรื่องจริง “ก็นั่นแหละ...สาขาเราไม่ค่อยมีผู้หญิงเลย ก็เลยเลือกเพื่อนนิสัยดี ๆ ไม่ค่อยได้น่ะ ที่ได้มาก็ตามมีตามเกิด” ในเมื่อเขาแซะเธอ เธอก็แซะเขากลับ ใจจริงเธอไม่ได้อยากจะว่าเขาเลยนะ มีแต่เขานั่นแหละชอบจิกกัด ไม่ว่าจะตอนไหนก็ชอบขัดตลอดเวลา ถ้าเธอเงียบเดี๋ยวจะหาว่าเธอไม่สู้คน “เฮ้ยพูดไรแบบนั้นอ่ะ ไอ้ธีมันเรียนเก่งนะเธอ เธอเป็นเพื่อนกับคนที่ได้คะแนนสอบเข้าอันดับหนึ่งของคณะเลยนะ” ภูวินท์บอกสรรพคุณเพื่อนของตัวเองให้เธอรับรู้ “จริงอ่ะ...ดูไม่ออกเลยแฮะ” เธอพึมพำกับตัวเองเสียงเบา ก่อนจะเลิกคิ้วอย่างคิดอะไรดี ๆ ออก จะว่าไปนธีถือว่าตรงคุณสมบัติเพื่อนที่เป้บอกให้หาเกือบทุกอย่าง ใส่แว่น เรียนเก่ง มีรถขับ ถึงเรื่องใจดีนี่จะผีเข้าผีออก ไม่ค่อยเสถียรซักเท่าไหร่ก็เถอะ “งี้ขอเกาะเรื่องเรียนด้วยได้ไหม” “ฮะ?” นธีถึงกับงงเมื่อน้ำอิงโพล่งออกมาหน้ามึนสุด ๆ ปกติเวลาคนเขาอยากจะใช้ประโยชน์จากใคร ใครเขามานั่งบอกตรง ๆ แบบนี้ด้วยเหรอ พูดทุกอย่างที่คิดจริง ๆ “ไม่เอา ไม่อยากแบกคนสมองขี้เลื่อย” เขาพูดปัดเพราะเพื่อน ๆ เอาแต่ยิ้มกริ่มล้อเลียนเขาอยู่ได้ ไม่รู้สมองพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่บ้าง แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่หรอก “เพื่อนพวกนายใจร้ายเนอะ พวกหัวดีก็หวงวิชางี้แหละ” น้ำอิงฟ้องเพื่อนของเขาแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ ภูวินท์เห็นท่าทางของคนทั้งคู่ก็รู้สึกนึกสนุกเข้าไปใหญ่ เขารู้ว่านธีเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจ ปากหมา แล้วก็ชอบทำตัวเก๊กดุ แต่ความจริงแล้วเป็นคนประเภทใจดี ใจอ่อน แล้วก็ขี้ตามใจจะตายไป พวกเขาเรียนโรงเรียนชายล้วนตั้งแต่มัธยมฯ ต้น ถึงจะมีแฟนมาบ้างก็ใช่ว่าจะรู้จักหรือคลุกคลีกับผู้หญิงมากมาย การที่ปากแบบนี้คงเพราะทำอะไรไม่ค่อยถูก และไม่รู้จะปฏิบัติตัวกับอีกฝ่ายยังไงมากกว่า “อย่าไปถือสามันเลยนะน้ำอิง ความจริงไอ้ธีมันแบ๊วมาก” “พูดเหี้ยอะไรของมึง” นธีถลึงตาใส่ เมื่อคิดไม่ถึงว่าขนาดเขานั่งอยู่ตรงนี้เพื่อนยังนินทาเขาอย่างหน้าด้าน ๆ “มึงแพ้คนขี้อ้อนใช่ไหมล่ะ น้ำอิงทำตัวน่ารัก ๆ ดิไอ้ธีมันทนอะไรแบบนั้นไม่ไหวหรอก เนอะ!” “เนอะแม่มึงสิ! นี่...เธออย่าไปฟังไอ้วินนะ มันหลอก…” ร่างสูงถอนหายใจเมื่อเพื่อนเวรกำลังพยายามทำห่าอะไรซักอย่าง แต่แล้วเขาก็ชะงักพูดไม่ออกดื้อ ๆ เมื่อเห็นนัยน์ตาประกายวาววับของคนตรงหน้ามองเข้ามา ด้วยสีหน้าเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิด... แม่งเอ้ย! เมื่อคืนรู้ตัวอีกทีก็เสียเสื้อคลุมราคาหลายหมื่นภายในเวลาไม่กี่นาที แถมเป็นคนวิ่งเอาไปให้อีกฝ่ายถึงที่อีกด้วย ก็เพราะหน้าแบบนี้ไม่ใช่หรือไง ยังจะคิดเอาอะไรอีก “อย่าสอนอะไรมั่วซั่ว” คนที่เธอแทบจะลืมไปแล้วว่านั่งอยู่ตรงนี้ด้วยอย่างเจโรพูดออกมาเบา ๆ ก่อนกระตุกยิ้ม “เดี๋ยวเพื่อนมึงก็หมดตัวหรอก” “เออจริงรุ่นนี้ยิ่งโดนหลอกง่าย ๆ อยู่ด้วย” เต้ยพูดตอกย้ำทำให้ทั้งภูวินท์และเจโรหัวเราะล้อเลียน “กูเกลียดพวกมึงฉิบหาย ไอ้สัส” คนที่เอ่ยปากด่าเริ่มปั้นหน้าไม่ถูก ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตก ต่อให้ด่าพวกแม่งไปก็ไม่สะเทือนหรอก ชอบเล่นอะไรเป็นสนุกไปหมดทุกเรื่อง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็ไม่ได้คิดว่ามันแย่อะไร เพราะถ้าให้เทียบระหว่างคนคนที่ต่อต้าน ก้าวร้าว กับคนที่ขี้อ้อน มันก็เป็นความจริงที่เขาชอบอย่างหลังมากกว่า และถ้าคนข้างตัวจะเชื่อแล้วจำไปใช้จริง ๆ ก็ถือว่าดี แมวที่เชื่อง ดีกว่าแมวที่หยิ่งเป็นไหน ๆ คนตัวเล็กนิ่งงันไปเหมือนกำลังคิดหนักกับสิ่งที่เพื่อนของนธีพูด ท่าทางแบบนั้นราวกับเธอกำลังติดกับที่ภูวินท์วางไว้อย่างไม่รู้ตัว และการที่เธอติดกับ ผลน่าจะตกไปอยู่กันธีที่ต้องรับดาเมจไปเต็ม ๆ ภูวินท์ได้แต่ลอบยิ้ม มันช่วยไม่ได้จริง ๆ ก็เวลาเสือกเรื่องของคนอื่นมันสนุกนี่นา และไม่รู้ว่าเพื่อนแว่นของพวกเขาจะรู้ตัวแล้วหรือยัง ว่าผู้หญิงที่เผลอเก็บมาไว้ข้างตัวเป็นคนที่พวกเขาซึ่งเป็นเพื่อนกันมาแสนนานขอลงประชามติอย่างเห็นพ้องต้องกันว่า... ผู้หญิงแบบน้ำอิงเนี่ยเทสต์มันเลย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม