สัปดาห์แรกของการเปิดเรียนในฐานะนิสิตหลายคาบเรียนไม่ได้เข้าบทเรียน มีแต่แนะนำรายวิชาเพื่อให้เด็กใหม่ได้ปรับตัวและเรียนรู้แนวทางการเรียนคร่าว ๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ในสัปดาห์ถัด ๆ ไป
น้ำอิงรู้สึกกระตือรือร้นมากกว่าช่วงแรก อาจจะเพราะว่าสังคมและกลุ่มที่เธออยู่ด้วย ตอนนี้เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มของนธี และเธอก็ตรัสรู้ได้ว่าพวกเขาค่อนข้างจะหัวดีกันมาก และสิ่งที่ภูวินท์เคยบอกว่านธีเป็นคนที่คะแนนสอบเข้าสูงที่สุดในคณะเป็นเรื่องจริง
เธออึ้งมากที่มีอาจารย์ให้เขาไปพูดวิธีการเรียนและการเตรียมตัวสอบที่ผ่านมา ซึ่งพอได้ฟังก็รับรู้เลยว่าวิถีชีวิตของเขาค่อนข้างจะตึงอยู่เหมือนกัน หมายถึงสมองเขาน่ะโคตรตึง เพราะเขาเล่าแค่ว่าก็เรียน ๆ เล่น ๆ มีเวลาก็อ่านหนังสือ ใกล้สอบหน่อยก็เรียนกวดวิชา อาจารย์ที่คาดหวังว่าเพื่อน ๆ จะได้เทคนิคดี ๆ จากเขาถึงกับเหวอ
ก็อย่างว่าแหละ สมองคนเราทำงานเท่ากันเสียที่ไหน บางคนก็มีสูตรโกงมาตั้งแต่เกิด เขาก็แค่คนที่เผลอเกิดมาฉลาด เผลออ่านหนังสือแล้วจำมันได้ทั้งหมดเท่านั้นแหละ
“ง่วงนอนจังเลย”
เธอพึมพำเพราะนั่งฟังอาจารย์เมาท์อะไรไม่รู้อยู่นานไม่ได้เข้าเนื้อหาอะไรทั้งนั้น แถมวันนี้เธอเรียนอยู่เซคใหญ่รวมกับสาขาอื่นด้วย และการที่เธอนั่งเป็นเด็กหลังห้องกับพวกหัวกะทิทำให้กาดำแบบเธอสัปหงกไปหลายรอบเพราะอากาศในห้องเรียนที่เย็นเฉียบเหมาะแก่การเอาหัวปักโต๊ะเป็นที่สุด
“ช่วยนั่งให้มันตรง ๆ หน่อยเถอะ” นธีเอ่ยดุเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งข้าง ๆ เขาโอนเอนเป็นตุ๊กตาล้มลุก
“ง่วงอ่า กลัวอาจารย์เห็น”
“ฉันว่าอาจารย์จะเห็นก็เพราะโยกไปโยกมานี่แหละ จะนอนก็นอนลงไปเลย”
มือหนากดศีรษะทุยสวยให้ฟุบลงไปนอนกับโต๊ะเลคเชอร์ ก่อนที่เสื้อจะคลุมหัวเธอจนมิด จนกลิ่นหอมอ่อน ๆ อันเป็นเอกลักษณ์โชยเข้าจมูกคนตัวเล็กอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เทสต์ดีชะมัดเลย...
แต่ก่อนจะผล็อยหลับคนที่ยังเป็นห่วงกลัวอาจารย์จะด่าก็เลิกเสื้อขึ้นจนเห็นดวงตากลมก่อนจะพูดกับเขา
“ถ้าอาจารย์ให้ทำอะไรปลุกด้วยนะ เข้าใจไหม แล้วถ้าเขาปล่อยไปกินข้าวต้องเรียกด้วยนะ อย่าแกล้งฉันนะ!” เธอพูดอย่างจริงจังเพราะเคยเห็นตอนมอปลายมีคนแกล้งเพื่อนที่หลับ พอเปลี่ยนคาบก็ไม่ปลุกจนถูกทิ้งไว้อยู่แบบนั้น
“อย่าเพ้อเจ้อ”
เขาไม่ตอบตกลงแต่ใช้มือปิดรูที่เธอเลิกเสื้อมาคุยให้ปิดลงไป แรงหนัก ๆ ที่เขาใช้แขนพาดเข้ามาบนหัวทำให้เธอสบายใจพอสมควร ถ้าเขาลุกเธอคงจะรู้สึกตัวบ้างแหละ...
ซะที่ไหนล่ะ!
เมื่อเธองัวเงียตื่นเพราะรู้สึกถึงเสียงวุ่นวายของห้องเรียนซึ่งเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ เธอเอาเสื้อคลุมออกก็เห็นว่าคนข้างตัวหายไปแล้วแต่มี มาร์ช อาร์เจ และปูนที่กำลังเขียนอะไรยุกยิก ๆ อยู่กับกระดาษแผ่นเดียว
คนที่เพิ่งตื่นยังคงงุนงงจับอะไรไม่ถูก พอกวาดตาไปทั่วก็เห็นว่าคนที่เธอหมายมั่นว่ามีอะไรคงจะช่วยปลุกบัดนี้ไปยืนคุยอยู่กับสาว ๆ สาขาอื่นเรียบร้อยแล้ว
สุดยอดของความพึ่งพาได้!
“เขาให้ทำอะไรอ่ะ”
เธอเดินไปหาเพื่อนที่ยังสุมหัวกันอยู่พบว่าพวกเขากำลังเขียนชื่อลงไปในกระดาษก่อนเงยหน้ามองเธอพอดี
“อ้าวตื่นพอดี” มาร์ชเงยหน้ามาหาก่อนจะอธิบาย “อาจารย์เขาให้จับกลุ่มทำโปรเจ็คสิบคนน่ะ”
“อ่อ...แล้วได้ครบยังเหรอ อยู่ด้วยคนสิ”
“ยังไม่ครบ แต่ว่าไอ้ธีบอกว่าอย่าเพิ่งเขียนชื่อเธอกับมันอ่ะ” สิ่งที่ได้ฟังทำให้เธองงคิ้วเล็กขมวดเป็นปม ทำไมเขาทำงั้นเนี่ย? “ยังไม่ได้ถามว่าทำไม มันก็โดนสาว ๆ ดึงไปคุยแล้ว สงสัยมันจะไปอยู่กลุ่มกับสาขาอื่นมั้ง”
“งั้นช่างเขาสิ เขียนชื่อฉันลงไปเลยก็ได้”
“เธอไม่อยู่กับไอ้ธีเหรอ บอกมันยังว่าจะมาอยู่กับพวกเรา” ปูนถามขึ้นมาก่อน
น้ำอิงจึงทำหน้าไม่เข้าใจ ทำไมทุกคนต้องคิดแบบนั้นด้วย เธอไม่ได้ตัวติดกับนธีซักหน่อย เขาไปอยู่กับใครนั่นมันเรื่องของเขา แล้วเธอจะอยู่กลุ่มไหนก็เป็นสิทธิ์ของเธอเหมือนกัน
“ไม่ถาม จะอยู่กับพวกนายนั่นแหละ”
“อ่าเค...งั้นเธอเขียนชื่อเลย” เมื่อกระดาษถูกยื่นมาไว้ตรงหน้าเธอก็เขียนทันที หูก็ได้ยินอาร์เจคุยกับคนมาใหม่ที่อยู่ข้างหลังเธอไปด้วย
“น้ำอิงเขียนชื่อไปแล้วนะ”
“อ้าว...ก็บอกว่าอย่าเพิ่งเขียนไง” นธีงง เขาบอกเพื่อนไว้ว่าอย่าเพิ่งเขียนแต่สุดท้ายเพื่อนก็ยังปล่อยให้เธอเขียนมันอีก
“ถ้าฉันอยู่กลุ่มนี้แล้วมันจะทำไมล่ะ” จู่ ๆ น้ำอิงก็หน้าบูดหลังจากยื่นใบรายชื่อกลับไปให้เพื่อน “ทำไมต้องไม่ให้เพื่อนเขียนชื่อฉันด้วย”
“ฉันคิดว่าเธออยู่กลุ่มอื่นน่าจะดีกว่าไง”
โปรเจ็คที่ได้ฟังจากอาจารย์ดูเหมือนว่าค่อนข้างจะยาวและกินเวลานานเพราะส่งทีเดียวตอนปลายภาค แน่นอนว่ามันจะต้องมีการนัดทำกันนอกรอบ หรือบางทีหากใกล้ถึงเวลาส่งคงมีทำกันข้ามวันข้ามคืน เขาเลยคิดว่าหากลุ่มที่มีผู้หญิงเยอะหน่อยไม่ใช่ผู้ชายล้วนเธออาจจะสบายใจมากกว่า ไหน ๆ ก็เรียนรวมกับสาขาอื่นที่มีผู้หญิงเยอะแล้ว
แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นใบหน้าบูดบึ้งหาเรื่องของคนที่นอนอุตุเพิ่งตื่นซะงั้น
นธีไม่เข้าใจน้ำอิง เช่นเดียวกับน้ำอิงที่ไม่เข้าใจสิ่งที่นธีทำเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไร้คำอธิบายออกมาจากปากของคนทั้งสองนานจนเพื่อนคนอื่นเริ่มเลิ่กลั่ก
“ไม่อยากให้ฉันอยู่ด้วยเหรอ” เธอหน้าง้ำไม่พอใจทำให้เขาถึงกับถอนหายใจ “งั้นเดี๋ยวไปหากลุ่มอื่นก็ได้”
เพื่อนคนอื่นพอเห็นหน้าหงอยของน้ำอิงถึงกับหน้าเสียและอดลนทนไม่ได้รีบเข้ามาแก้สถานการณ์
“เฮ้ยไอ้ธี มึงนี่นะ! เธออยู่กับพวกเรานี่แหละ ไอ้ธีมึงไปกลุ่มมึงเลยนะ ไปไป้” มาร์ชดึงชายแขนเสื้อของน้ำอิงไว้ แล้วไล่นธีไปไกล ๆ โดยมีอาร์เจ และปูนพยักหน้าเห็นด้วยว่า...น้ำอิงอยู่ต่อ ส่วนไอ้แว่นออกไป!
คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรผิดยืนงง น้ำอิงก็หน้าหงอย เพื่อนก็มาไล่อีก อะไรวะ!?
“งั้นก็เขียนชื่อกูลงไปด้วยเลย”
“พวกกูไม่ให้อยู่ ทำน้ำอิงงอน ไปหากลุ่มอื่นอยู่ไป้!”
“เป็นเหี้ยอะไรไอ้มาร์ช รายชื่อมีแต่ผู้ชาย อิงมันจะอยู่ได้ไง”
นธีหงุดหงิดที่ทุกคนเอาแต่โอ๋คนตัวเล็กอยู่ได้ไม่ดูสถานการณ์ เมื่อเพื่อนไม่ยอมเขียนเขาจึงดึงใบรายชื่อมาเขียนเอง อุตส่าห์ไปคุยกับกลุ่มอื่นให้จะได้ทำงานง่าย ๆ ก็ไม่เอา
ขี้งอน! เอาใจยาก!
“ทำพูดดีว่ากลุ่มกูมีแต่ผู้ชาย แล้วมึงไม่ใช่ผู้ชายหรือไง?” อาร์เจพูดบ้างทำเอาปลายปากกาชะงัก ก่อนที่เขาจะเขียนมันต่อไม่สนใจที่เพื่อนพูด
ผู้ชายเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน...เข้าใจยากตรงไหนเหรอ?
“พูดมากมึงเอาไปส่งหน้าห้องเลย คนครบแล้วหนิ”
ผลักกระดาษไปให้เพื่อนเขาก็กลับมานั่ง แต่เพราะก่อนหน้านั้นเขานั่งข้างเธอเลยจำเป็นที่ต้องไปที่เดิมอีกครั้งเพราะอาจารย์กลับเข้าห้องแล้ว
“...”
คนตัวเล็กหันใบหน้าออกไปอีกด้าน เธอไม่ได้โกรธอะไรเขา เพียงแค่ไม่เข้าใจเพราะอีกคนไม่มีคำอธิบายให้ การกระทำแบบนั้นเหมือนกับจงใจผลักเธอออกไป
สิ่งที่นธีเคยพูดมันก็ถูกเธอไม่มีเพื่อนจริง ๆ ตอนนี้เธอก็มีแค่มาร์ช อาร์เจ ปูน และเขาเท่านั้น ซึ่งเพราะว่ามีแค่พวกเขาเท่านั้น และมาทำกันแบบนี้ไม่ให้น้อยใจบ้างได้ยังไง
“เธอ”
“...”
“น้ำอิง”
นธีตัดสินใจเรียกคนข้างตัวถึงสองรอบเมื่อเธอเอาแต่เบี่ยงหน้าไปอีกทางแล้วเงียบไป
“ว่า?” เธอตอบรับอย่างเสียไม่ได้
เมื่อทุกครั้งที่เขาเรียกแล้วเธอไม่ตอบกลับไป เขาจะเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นและกลัวว่าหากครั้งนี้เธอไม่ตอบเขาอาจจะตะโกนจนโดนอาจารย์เพ่งเล็งทางนี้ได้
“ใกล้เที่ยงแล้วจะกินอะไร”
ฮะ? เธอเลิกคิ้วงง ปกติร่างสูงเคยสงสัยที่ไหน พอถึงเวลาหากไปกินข้าวโรงอาหารก็ต่างคนต่างซื้อ วันนี้เป็นอะไรมาใส่ใจอาหารการกินของเธออีก
“จะไปกินก๋วยเตี๋ยวใต้หอ”
เนื่องจากไม่มีเรียนต่อทำให้เธอไม่มีเหตุผลที่จะอยากเบียดเสียดตัวเองเข้าไปในโรงอาหาร แถมร้านก๋วยเตี๋ยวใต้หอพักยังเป็นเจ้าประจำที่เธอชอบไปฝากท้องบ่อย ๆ คุณป้าใจดี อาหารอร่อยและราคาย่อมเยา
“เดี๋ยวไปส่ง”
ทำพูดแปลก ๆ ที่เขาตอบกลับมาทำให้คนตัวเล็กหันหน้าไปหา เห็นเขาก็ดูปกติดีสีหน้าเขาเฉย ๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์ สิ่งที่ไม่ปกติเดียวก็คือคำพูดคำจาแปลก ๆ ที่ปกติไม่เคยพูด
“กลับเองได้”
“จะไปกินก๋วยเตี๋ยวเหมือนกัน ยังไงก็ต้องไปอยู่แล้ว” เขาตีหน้าดุใส่เฉย ซึ่งเธอก็ชะงักก่อนจะกลอกตามองบน อย่าบอกนะ...นี่คือเขากำลังง้อเหรอ
เหอะ! ไม่อยากจะเชื่อ ขนาดง้อยังหน้ามึนเลย แต่ไม่ต้องไปต่อแถวรอวินมอไซต์แถมไม่ต้องเสียตังด้วย ไม่เสียอะไรซักอย่าง เรื่องไรจะปฏิเสธ
“งั้นก็แล้วแต่นาย”
หลังจากที่ฟังอาจารย์แจ้งเวลาและกำหนดการทยอยส่งงานแต่ละรอบเรียบร้อยก็เลิกคลาสให้ก่อนเวลาเกือบ ๆ ครึ่งชั่วโมง เดินแยกกับเพื่อนคนอื่นก็เหลือเพียงแค่คนตัวสูงกับคนตัวเล็กที่แม้จะเดินไปตามทางเดียวกันแต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาซักคำ จนกระทั่งขึ้นมาในรถที่เจ้าของกดสตาร์ทไว้ก่อนนานแล้วทำให้เข้ามาด้านในก็รับรู้ถึงความเย็นต่างจากอุณหภูมิร้อนระอุของด้านนอกลิบลับ
“นี่เธอเป็นโคอาล่าเหรอ นิ่งเป็นหลับ นิ่งเป็นหลับ”
นธีเห็นคนเล็กช่วงสองสามวันมานี้ทำหน้าเหมือนหมดแรงอยู่ตลอดเวลา แถมเป็นเจ้าประจำที่ชอบหลับในห้องเรียน จนเพื่อนต้องพากันไปนั่งเชหลังห้องเพราะกลัวอาจารย์จะด่าเธอ ยังดีที่ช่วงนี้เป็นสัปดาห์แรกจึงไม่ได้ลงเนื้อหา
“ใกล้เป็นประจำเดือนแล้วมันเพลียอ่ะ”
น้ำอิงตอบไปไม่ได้คิดอะไร เพราะเมื่อก่อนพูดกับเพื่อนแบบนี้จนเป็นเรื่องปกติ ลืมไปว่าคนด้านข้างไม่ใช่เพื่อนผู้ชายแถวบ้านที่เกิดและเติบโตกันมาแต่เล็ก แต่เป็นเด็กผู้ชายที่เรียนชายล้วนตั้งแต่เด็กและแน่นอนเรื่องนี้มันไม่ปกติเลยซักนิด
คนที่นั่งหลังพวงมาลัยชะงักงัน เขาพูดไม่ออกเพราะเกิดมาไม่เคยมีผู้หญิงที่พูดถึงเรื่องแบบนี้โดยไม่มีท่าทีเนียมอายซักนิด นี่มันสิ่งมีชีวิตเพศหญิงสายพันธุ์ใหม่ชัด ๆ
ถ้าพวกเพื่อนคนอื่นรู้ว่ายัยนี่กำลังจะป่วยคงเอาเสลี่ยงให้เธอนั่งแล้วยกพาไปไหนมาไหนแหงเลย น่าหมั่นไส้จริงสิ่งมีชีวิตที่ทุกคนอยากประคบประหงมเนี่ย